[爆卦]Sha512 npm是什麼?優點缺點精華區懶人包

雖然這篇Sha512 npm鄉民發文沒有被收入到精華區:在Sha512 npm這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章

在 sha512產品中有3篇Facebook貼文,粉絲數超過4萬的網紅คุยการเงินกับที,也在其Facebook貼文中提到, รู้หรือไม่ Defi Wallet มีโอกาสซ้ำกันได้ !! การสร้าง Wallet ทุกครั้งนั้นจริงๆแล้วเป็นการสร้าง Private key ขึ้นมา 1 ชุดซึ่ง Private key นี้เองเราจะคุ้น...

sha512 在 拎thefoodie | 小鈴的吃貨日誌 Instagram 的最佳解答

2021-08-18 08:40:58

📍Cheung Sha Wan • @labarra_csw 長沙灣新開西班牙Tapas小店🇪🇸 好有特色 而且價錢都幾親民❤️ 西班牙海鮮飯 Paellas. Seafoods $248 有幾樣海鮮嫁😍分別係青口 蜆肉 大蝦 佢個飯真係充滿好香嘅海鮮味❤️ 而且口感都好好👍🏻 份量都剛剛好添✨...

  • sha512 在 คุยการเงินกับที Facebook 的最讚貼文

    2021-05-08 10:00:01
    有 104 人按讚

    รู้หรือไม่ Defi Wallet มีโอกาสซ้ำกันได้ !!

    การสร้าง Wallet ทุกครั้งนั้นจริงๆแล้วเป็นการสร้าง Private key ขึ้นมา 1 ชุดซึ่ง Private key นี้เองเราจะคุ้นเคยกันในรูปแบบของ seed recovery phase 12,24 คำ ซึ่งคำแต่ละคำนั้นจะถูกเลือกแบบสุ่มๆมาจาก BIP39 wordlist ซึ่งเป็น List คำทั้งหมด 2048 คำ จากตรงนี้จะเห็นว่ามีโอกาสที่คนสองคนจะบังเอิญสร้างกระเป๋า ที่มี Private key เดียวกันได้

    คำถามคือ อย่างนี้เกิดเราสร้าง Wallet ที่ซ้ำกับ คนที่มีเงินอยู่แล้ว เราก็สามารถเอาเงินนั้นไปใช้ได้เลยสิ ? คำถามคือ ถูกต้องครับ แต่สิ่งนี้ได้ถูกออกแบบไว้แล้วโดยการ ทำให้โอกาสที่จะซ้ำกันนั้นน้อยมาก

    โดยโอกาสที่คนสองคนจะสร้าง wallet ที่มี private key ซ้ำกันนั้น สามารถคำนวณได้จากคณิตศาสตร์ดังนี้ โอกาสที่การสร้าง Private key 1ครั้งซ้ำกับคนอื่นกรณี 24 Recovery phase คือ 1 ใน (2048)^24 = 2.9642774844752946028434172162224e+79

    แนวคิดการพยายาม สุ่ม Private key เพื่อค้นหา wallet ที่มีเงินเป็นรางวัลนั้นได้เคยถูกนำมาทดลองโดยใช้ชื่อโปรเจค Large Bitcoin Collider โดยการใช้ SHA512 ASIC ที่มีกำลังสุ่ม 10 ล้านล้าน private key ต่อวินาที จำนวน 1000 เครื่อง มาจำการสุ่มแบบไม่หยุดพักเป็นเวลา 3 ปี ซึ่ง ความเป็นไปได้ก็ยังใกล้ 0 มากๆอยู่ดีเมื่อเทียบกับ 2.9642774844752946028434172162224e+79 และแม้จะมีความสามารถในการประมวลผลที่มากขึ้น 100 ล้านเท่าความเป็นไปได้นี้ก็ยังคงต่ำมากๆเช่นกัน โดยมีคำกล่าวหนึ่งได้เปรียบเทียบไว้ว่า “จำนวน Private key ทั้งหมดที่มีนั้นมีจำนวนใกล้เคียงกับดวงดาวทั้งหมดบนท้องฟ้า”
    ........................................

    ติดตามข้อมูล เศรษฐกิจ การลงทุนในต่างประเทศ ในไทย ได้ที่คุยการเงินกับที

    ........................................

    Ref : https://blog.lumiwallet.com/can-someone-actually-guess-your-mnemonic

    แอดตอง

  • sha512 在 โปรแกรมเมอร์ไทย Thai programmer Facebook 的最佳貼文

    2020-10-19 13:15:38
    有 192 人按讚


    #โปรแกรมเมอร์ เก็บ Password แบบไหน? ถึงจะปลอดภัย
    ในทางโปรแกรมมิ่งการเก็บ password ลงฐานข้อมูล (Database) ไม่ได้เก็บกันตรงโต้งๆ ไม่งั้นใครมาเห็นก็อ่านได้หมด ซวยกันพอดี
    :
    วิธีเก็บ password ที่ปลอดภัย
    จะนำมาผ่าน Hash function เสียก่อน เช่น
    hash("1234") ได้คำตอบออกมาเป็น
    a591a6d40bf420404a011733cfb7b190d62c65bf0bcda32b57b277d9
    :
    หน้าที่ hash function จะแปลงพาสเวิร์ด "1234"
    เป็นข้อความลับอะไรซักอย่างที่อ่านไม่ออก
    ทั้งนี้ขนาดข้อความที่ได้จาก hash function จะคงที่ (fixed size)
    :
    สำหรับค่าที่ได้จาก Hash function มีหลายชื่อให้เรียกขาน เช่น
    hash values, hash codes, digests
    แต่ผมจะเรียกสั้นๆ ว่า "ค่า hash" แล้วกัน
    :
    ส่วนฟังก์ชั่นที่ใช้เป็น Hash function ในโลกนี้มีหลายตัว เช่น
    MD5, SHA256, SHA512, RipeMD, WHIRLPOOL เป็นต้น
    :
    +++++
    👉 ตัดกลับมาตอนนี้เราเก็บ password ในฐานข้อมูลเป็นค่า hash แล้วเวลายูสเซอร์ล็อกอินกรอก user name ป้อน password เข้ามาในระบบ
    .
    ก็จะมีสเตปการตรวจสอบ password ประมาณเนี่ย
    .
    1) ระบบจะเอา password มาเข้า hash funcion ได้เป็นค่า hash
    2) เอาค่า hash ในข้อ 1 ไปเทียบดูในฐานข้อมูล (ของยูสเซอร์นั้น)
    3) ถ้าค่าตรงกันแสดงว่ายูสเซอร์ป้อน password ได้ถูกต้อง แสดงว่าล็อกอินสำเร็จ
    :
    👉 เหตุผลที่ hash function มัน ok เพราะอาศัยคุณสมบัติดังนี้
    1) hash function มันทำงานทางเดียว (one-way)
    หมายถึงเราไม่สามารถนำค่า hash มาย้อนหาข้อความต้นฉบับได้เลย
    .
    ในกรณีนี้ต่อให้ hacker เห็นค่า hash เขาจะไม่สามารถถอดกลับ
    มาเป็น "1234" ได้เลย
    .
    ด้วยเหตุนี้ค่า hash บางทีเขาจึงเรียกว่า "message digest" หมายถึง "ข้อความที่ย่อยสลาย" ...จนไม่รู้ต้นฉบับหน้าตาเป็นแบบไหนแล้ว
    :
    2) ถ้าข้อความต้นฉบับหน้าตาเดียวกันเป๊ะทุกกะเบียดนิ้ว
    เวลาผ่าน hash function จะได้ค่า hash เหมือนเดิม
    พอเปลี่ยนข้อความต้นฉบับนิดหนึ่ง
    แม่เจ้า ....ค่า hash เปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว ต่างกันมาก
    .
    จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเก็บ password ต่างกัน
    แล้วได้ค่า hash เดียวกัน ...เป็นไปไม่ด้ายยยย
    (ไม่มีการชนกันหรือ crash)
    :
    +++++
    👉 เพราะข้อดีของ hash function ที่ยกมา
    เวลาเก็บ password ลงฐานข้อมูล จึงควรเปลี่ยนไปใช้ค่า hash แทน
    .
    รับรองได้ว่าต่อให้ hacker เจาะระบบเข้ามาได้ (กรณีเลวร้ายสุดๆ แหละ)
    ...แล้วอ่าน password ที่ถูกเข้ารหัส ก็จะอ่านไม่รู้เรื่อง
    ...ต่อให้พยายามถอดกลับมาเป็นข้อความต้นฉบับ ก็ทำไม่ได้นะจ๊ะ
    :
    ฟังเหมือนปลอดภัยนะ ถ้าเก็บรักษา password ด้วยวิธี hash function แต่ทว่า hacker ก็ยังสามารถใช้วิธีเดาสุ่มหา password ได้อยู่ดี ...ไม่ยากด้วย ขอบอกเลย
    :
    👉 ยกตัวอย่างง่ายๆ วิธี hack พาสเวิร์ดเบสิกสุดๆ
    - ให้คิดว่าตอนนี้ hacker เจาะระบบเข้าไปอ่าน password ในฐานข้อมูลได้แล้ว
    - จากนั้น hacker จะมองหาค่า hash (ของ password) ในฐานข้อมูลที่ซ้ำๆ กันอยู่
    - นั่นหมายถึงเจอยูสเซอร์ใช้ password ซ้ำกัน จึงเจอค่า hash ซ้ำกันนั่นเอง
    - แล้วการที่ยูสเซอร์ใช้ซ้ำ แสดงว่ามันเป็น password ง่ายนะซิ เช่น
    123456, 1111, Baseball, Qwerty, password
    .
    ดังนั้น hacker ก็แค่ค้นหาในตาราง
    ตารางที่ว่าจะเก็บ password พร้อมค่า hash
    (เก็บพวก password ที่คนใช้กันเยอะ)
    ซึ่ง hacker ก็จะค้นหาหาในตารางดังกล่าว
    แบบไล่สุ่มไปเรื่อยๆ เดี่ยวก็เจอไม่ยาก
    :
    ++++
    👉 ก็เพราะเหตุนี้จึงต้องหาวิธีแก้ทาง hacker
    ให้เดาสุ่มหา password มันทวีความยุ่งยากไปอีก
    (จุดประสงค์ป้องเทคนิคพวกเดาสุ่ม เช่น
    dictionary attacks, Brute Force Attacks, Lookup Tables,
    Reverse Lookup Tables, Rainbow Tables)
    :
    👉 สำหรับวิธีการป้องกัน ก็จะทำประมาณเนี่ย
    ก่อนที่จะเก็บ password ลงฐานข้อมูล ระบบจะต้องทำเยี่ยงนี้
    1) จะนำ password มากบวกกับค่า salt
    2) จากนั้นนำค่าที่ได้จากข้อ 1 มาเข้า hash function
    แล้วเก็บค่า hash ที่ได้ลงฐานข้อมูล
    .
    ขออธิบายข้อ 2 เพิ่มเติม
    จากเดิมเราเรียกใช้ hash function เช่น
    hash("1234")
    แต่เราจะเปลี่ยนมาเรียก
    hash("1234" + "QxLUF1bgIAdeQX")
    hash("1234" + "bv5PehSMfV11Cd")
    hash("1234" + "YYLmfY6IehjZMQ")
    .
    ซึ่ง "QxLUF1bgIAdeQX", "bv5PehSMfV11Cd", "YYLmfY6IehjZMQ" ที่ยกตัวอย่าง
    มันก็คือค่า "salt" (ที่แปลว่า "เกลือ")
    เป็นค่า radom ที่แจกให้แต่ละยูสเซอร์ ไม่ซ้ำกันเลย
    เราจะนำมาบวกกับ password ก่อนเข้า hash function
    :
    เวลาเก็บ password ในฐานข้อมูล
    แต่ละยูสเซอร์จะต้องเก็บทั้งค่า hash กับ salt เอาไว้
    .
    👉 พอเวลายูสเซอร์ล็อกอินใส่ user name / password
    1) ระบบก็เอา password มาบวกกับ salt
    (แต่ละยูสเซอร์เก็บค่า salt คนละค่า)
    2) นำค่าที่ได้จากข้อ 1 มาเข้า hash funcion
    3) นำค่าที่ได้จากข้อ 2 ไปเปรียบเทียบกับ ค่า hash ในฐานข้อมูล
    4) ถ้าตรงกันแสดงว่ายูสเซอร์ป้อน password ถูกต้อง แสดงว่าล็อกอินสำเร็จ
    ..
    แต่มีข้อแม้ hash function ที่ควรใช้ได้แก่
    Argon2, bcrypt, scrypt ($2y$, $5$, $6$), หรือ PBKDF2
    มันถึงจะปลอดภัย ทำให้การเดาสุ่มหา password ทำได้ยากขึ้น
    .
    ส่วนพวก hash function ที่ทำงานได้รวดเร็ว เช่น
    MD5, SHA1, SHA256, SHA512, RipeMD, WHIRLPOOL, SHA3, etc.
    เนี่ยห้ามใช้นะครับ
    หรืออย่าง crypt (เวอร์ชั่น $1$, $2$, $2x$, $3$) ก็ไม่ห้ามใช้นะครับ
    :
    +++++
    👉 ในแง่การเขียนโปรแกรม
    เข้าใจว่าแต่ละภาษาโปรแกรมมิ่ง หรือพวกเฟรมเวิร์ค
    เขาคงเตรียมไลบรารี่ หรือเครื่องมือ
    เอาไว้ให้ใช้ hash function รวมกับค่า salt อยู่แล้ว
    เราสามารถเปิดคู่มือ แล้วทำตามได้เลยครับ
    :
    ++++
    👉 ย้ำที่อธิบายทั้งหมดนี้
    เป็นการป้องกันการเจาะระบบฝั่งแอพ หรือระบบเท่านั้น
    hacker ยังสามารถเดาสุ่มป้อน password
    ได้โดยตรงที่หน้าแอพ หรือฝั่งล็อกอินหน้าโปรแกรมได้เลย (Brute Force Attacks)
    .
    ทางที่ดีระบบต้องเช็กว่าถ้ายูสเซอร์กรอก password ผิดติดต่อกันกี่ครั้ง?
    ถึงจะระงับการใช้ user name นี้ชั่วคราว หรือจะแบน IP ที่ล็อกอินเข้ามาไปเลยก็ยังได้
    .
    ยิ่งถ้าเป็นการล็อกอินผ่านเว็บไซต์
    ก็ควรให้เว็บเราใช้โปรโตคอล https ขืนไปใช้ http ธรรมดา
    โอกาสเจอ hacker ดักจับ user name/ passwod กลางทางมีสูงมาก
    .
    เว้นแต่เราจะใช้เทคนิค Digest Access Authentication เข้าช่วย
    ทำให้การส่ง user name/password ผ่าน http ธรรมดาได้อย่างปลอดภัย (แต่โค้ดดิ่งก็จะยุ่งยากตาม)
    :
    +++
    😁 สรุป
    1) เก็บพาสเวิร์ดตรงๆ โดยไม่เข้ารหัส -> hacker ชอบนักแล
    2) เก็บพาสเวิร์ดโดยเข้ารหัสในรูป Hash values -> hacker อ่านไม่ออกก็จริง แต่ไม่ยากที่จะเดา password
    3) เก็บพาสเวิร์ดโดยเข้ารหัสในรูป Hash values + salt vaues
    -> hacker อ่านไม่ออก ต่อให้ไปเดาสุ่ม ก็จะทำได้ยากขึ้น
    จุดประสงค์ข้อ 3 นี้เพื่อป้องกันด้วยเทคนิค ..... dictionary attacks, Brute Force Attacks, Lookup Tables, Reverse Lookup Tables, Rainbow Table
    .
    สุดท้ายขอจบเรื่อง hash funcion กับ password
    ให้รอดพ้นจาก hacker ไว้เพียงเท่านั้น
    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านนะครับ
    .
    ++++++
    เขียนโดย โปรแกรมเมอร์ไทย thai programmer
    อ้างอิง
    https://crackstation.net/hashing-security.htm
    https://en.wikipedia.org/wiki/Hash_function

  • sha512 在 โปรแกรมเมอร์ไทย Thai programmer Facebook 的精選貼文

    2020-07-19 10:28:55
    有 412 人按讚


    #โปรแกรมเมอร์ เก็บ Password แบบไหน? ถึงจะปลอดภัย
    ในทางโปรแกรมมิ่งการเก็บ password ลงฐานข้อมูล (Database) ไม่ได้เก็บกันตรงโต้งๆ ไม่งั้นใครมาเห็นก็อ่านได้หมด ซวยกันพอดี
    :
    วิธีเก็บ password ที่ปลอดภัย
    จะนำมาผ่าน Hash function เสียก่อน เช่น
    hash("1234") ได้คำตอบออกมาเป็น
    a591a6d40bf420404a011733cfb7b190d62c65bf0bcda32b57b277d9
    :
    หน้าที่ hash function จะแปลงพาสเวิร์ด "1234"
    เป็นข้อความลับอะไรซักอย่างที่อ่านไม่ออก
    ทั้งนี้ขนาดข้อความที่ได้จาก hash function จะคงที่ (fixed size)
    :
    สำหรับค่าที่ได้จาก Hash function มีหลายชื่อให้เรียกขาน เช่น
    hash values, hash codes, digests
    แต่ผมจะเรียกสั้นๆ ว่า "ค่า hash" แล้วกัน
    :
    ส่วนฟังก์ชั่นที่ใช้เป็น Hash function ในโลกนี้มีหลายตัว เช่น
    MD5, SHA256, SHA512, RipeMD, WHIRLPOOL เป็นต้น
    :
    +++++
    👉 ตัดกลับมาตอนนี้เราเก็บ password ในฐานข้อมูลเป็นค่า hash แล้วเวลายูสเซอร์ล็อกอินกรอก user name ป้อน password เข้ามาในระบบ
    .
    ก็จะมีสเตปการตรวจสอบ password ประมาณเนี่ย
    .
    1) ระบบจะเอา password มาเข้า hash funcion ได้เป็นค่า hash
    2) เอาค่า hash ในข้อ 1 ไปเทียบดูในฐานข้อมูล (ของยูสเซอร์นั้น)
    3) ถ้าค่าตรงกันแสดงว่ายูสเซอร์ป้อน password ได้ถูกต้อง แสดงว่าล็อกอินสำเร็จ
    :
    👉 เหตุผลที่ hash function มัน ok เพราะอาศัยคุณสมบัติดังนี้
    1) hash function มันทำงานทางเดียว (one-way)
    หมายถึงเราไม่สามารถนำค่า hash มาย้อนหาข้อความต้นฉบับได้เลย
    .
    ในกรณีนี้ต่อให้ hacker เห็นค่า hash เขาจะไม่สามารถถอดกลับ
    มาเป็น "1234" ได้เลย
    .
    ด้วยเหตุนี้ค่า hash บางทีเขาจึงเรียกว่า "message digest" หมายถึง "ข้อความที่ย่อยสลาย" ...จนไม่รู้ต้นฉบับหน้าตาเป็นแบบไหนแล้ว
    :
    2) ถ้าข้อความต้นฉบับหน้าตาเดียวกันเป๊ะทุกกะเบียดนิ้ว
    เวลาผ่าน hash function จะได้ค่า hash เหมือนเดิม
    พอเปลี่ยนข้อความต้นฉบับนิดหนึ่ง
    แม่เจ้า ....ค่า hash เปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว ต่างกันมาก
    .
    จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเก็บ password ต่างกัน
    แล้วได้ค่า hash เดียวกัน ...เป็นไปไม่ด้ายยยย
    (ไม่มีการชนกันหรือ crash)
    :
    +++++
    👉 เพราะข้อดีของ hash function ที่ยกมา
    เวลาเก็บ password ลงฐานข้อมูล จึงควรเปลี่ยนไปใช้ค่า hash แทน
    .
    รับรองได้ว่าต่อให้ hacker เจาะระบบเข้ามาได้ (กรณีเลวร้ายสุดๆ แหละ)
    ...แล้วอ่าน password ที่ถูกเข้ารหัส ก็จะอ่านไม่รู้เรื่อง
    ...ต่อให้พยายามถอดกลับมาเป็นข้อความต้นฉบับ ก็ทำไม่ได้นะจ๊ะ
    :
    ฟังเหมือนปลอดภัยนะ ถ้าเก็บรักษา password ด้วยวิธี hash function แต่ทว่า hacker ก็ยังสามารถใช้วิธีเดาสุ่มหา password ได้อยู่ดี ...ไม่ยากด้วย ขอบอกเลย
    :
    👉 ยกตัวอย่างง่ายๆ วิธี hack พาสเวิร์ดเบสิกสุดๆ
    - ให้คิดว่าตอนนี้ hacker เจาะระบบเข้าไปอ่าน password ในฐานข้อมูลได้แล้ว
    - จากนั้น hacker จะมองหาค่า hash (ของ password) ในฐานข้อมูลที่ซ้ำๆ กันอยู่
    - นั่นหมายถึงเจอยูสเซอร์ใช้ password ซ้ำกัน จึงเจอค่า hash ซ้ำกันนั่นเอง
    - แล้วการที่ยูสเซอร์ใช้ซ้ำ แสดงว่ามันเป็น password ง่ายนะซิ เช่น
    123456, 1111, Baseball, Qwerty, password
    .
    ดังนั้น hacker ก็แค่ค้นหาในตาราง
    ตารางที่ว่าจะเก็บ password พร้อมค่า hash
    (เก็บพวก password ที่คนใช้กันเยอะ)
    ซึ่ง hacker ก็จะค้นหาหาในตารางดังกล่าว
    แบบไล่สุ่มไปเรื่อยๆ เดี่ยวก็เจอไม่ยาก
    :
    ++++
    👉 ก็เพราะเหตุนี้จึงต้องหาวิธีแก้ทาง hacker
    ให้เดาสุ่มหา password มันทวีความยุ่งยากไปอีก
    (จุดประสงค์ป้องเทคนิคพวกเดาสุ่ม เช่น
    dictionary attacks, Brute Force Attacks, Lookup Tables,
    Reverse Lookup Tables, Rainbow Tables)
    :
    👉 สำหรับวิธีการป้องกัน ก็จะทำประมาณเนี่ย
    ก่อนที่จะเก็บ password ลงฐานข้อมูล ระบบจะต้องทำเยี่ยงนี้
    1) จะนำ password มากบวกกับค่า salt
    2) จากนั้นนำค่าที่ได้จากข้อ 1 มาเข้า hash function
    แล้วเก็บค่า hash ที่ได้ลงฐานข้อมูล
    .
    ขออธิบายข้อ 2 เพิ่มเติม
    จากเดิมเราเรียกใช้ hash function เช่น
    hash("1234")
    แต่เราจะเปลี่ยนมาเรียก
    hash("1234" + "QxLUF1bgIAdeQX")
    hash("1234" + "bv5PehSMfV11Cd")
    hash("1234" + "YYLmfY6IehjZMQ")
    .
    ซึ่ง "QxLUF1bgIAdeQX", "bv5PehSMfV11Cd", "YYLmfY6IehjZMQ" ที่ยกตัวอย่าง
    มันก็คือค่า "salt" (ที่แปลว่า "เกลือ")
    เป็นค่า radom ที่แจกให้แต่ละยูสเซอร์ ไม่ซ้ำกันเลย
    เราจะนำมาบวกกับ password ก่อนเข้า hash function
    :
    เวลาเก็บ password ในฐานข้อมูล
    แต่ละยูสเซอร์จะต้องเก็บทั้งค่า hash กับ salt เอาไว้
    .
    👉 พอเวลายูสเซอร์ล็อกอินใส่ user name / password
    1) ระบบก็เอา password มาบวกกับ salt
    (แต่ละยูสเซอร์เก็บค่า salt คนละค่า)
    2) นำค่าที่ได้จากข้อ 1 มาเข้า hash funcion
    3) นำค่าที่ได้จากข้อ 2 ไปเปรียบเทียบกับ ค่า hash ในฐานข้อมูล
    4) ถ้าตรงกันแสดงว่ายูสเซอร์ป้อน password ถูกต้อง แสดงว่าล็อกอินสำเร็จ
    ..
    แต่มีข้อแม้ hash function ที่ควรใช้ได้แก่
    Argon2, bcrypt, scrypt ($2y$, $5$, $6$), หรือ PBKDF2
    มันถึงจะปลอดภัย ทำให้การเดาสุ่มหา password ทำได้ยากขึ้น
    .
    ส่วนพวก hash function ที่ทำงานได้รวดเร็ว เช่น
    MD5, SHA1, SHA256, SHA512, RipeMD, WHIRLPOOL, SHA3, etc.
    เนี่ยห้ามใช้นะครับ
    หรืออย่าง crypt (เวอร์ชั่น $1$, $2$, $2x$, $3$) ก็ไม่ห้ามใช้นะครับ
    :
    +++++
    👉 ในแง่การเขียนโปรแกรม
    เข้าใจว่าแต่ละภาษาโปรแกรมมิ่ง หรือพวกเฟรมเวิร์ค
    เขาคงเตรียมไลบรารี่ หรือเครื่องมือ
    เอาไว้ให้ใช้ hash function รวมกับค่า salt อยู่แล้ว
    เราสามารถเปิดคู่มือ แล้วทำตามได้เลยครับ
    :
    ++++
    👉 ย้ำที่อธิบายทั้งหมดนี้
    เป็นการป้องกันการเจาะระบบฝั่งแอพ หรือระบบเท่านั้น
    hacker ยังสามารถเดาสุ่มป้อน password
    ได้โดยตรงที่หน้าแอพ หรือฝั่งล็อกอินหน้าโปรแกรมได้เลย (Brute Force Attacks)
    .
    ทางที่ดีระบบต้องเช็กว่าถ้ายูสเซอร์กรอก password ผิดติดต่อกันกี่ครั้ง?
    ถึงจะระงับการใช้ user name นี้ชั่วคราว หรือจะแบน IP ที่ล็อกอินเข้ามาไปเลยก็ยังได้
    .
    ยิ่งถ้าเป็นการล็อกอินผ่านเว็บไซต์
    ก็ควรให้เว็บเราใช้โปรโตคอล https ขืนไปใช้ http ธรรมดา
    โอกาสเจอ hacker ดักจับ user name/ passwod กลางทางมีสูงมาก
    .
    เว้นแต่เราจะใช้เทคนิค Digest Access Authentication เข้าช่วย
    ทำให้การส่ง user name/password ผ่าน http ธรรมดาได้อย่างปลอดภัย (แต่โค้ดดิ่งก็จะยุ่งยากตาม)
    :
    +++
    😁 สรุป
    1) เก็บพาสเวิร์ดตรงๆ โดยไม่เข้ารหัส -> hacker ชอบนักแล
    2) เก็บพาสเวิร์ดโดยเข้ารหัสในรูป Hash values -> hacker อ่านไม่ออกก็จริง แต่ไม่ยากที่จะเดา password
    3) เก็บพาสเวิร์ดโดยเข้ารหัสในรูป Hash values + salt vaues
    -> hacker อ่านไม่ออก ต่อให้ไปเดาสุ่ม ก็จะทำได้ยากขึ้น
    จุดประสงค์ข้อ 3 นี้เพื่อป้องกันด้วยเทคนิค ..... dictionary attacks, Brute Force Attacks, Lookup Tables, Reverse Lookup Tables, Rainbow Table
    .
    สุดท้ายขอจบเรื่อง hash funcion กับ password
    ให้รอดพ้นจาก hacker ไว้เพียงเท่านั้น
    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านนะครับ
    .
    ++++++
    เขียนโดย โปรแกรมเมอร์ไทย thai programmer
    อ้างอิง
    https://crackstation.net/hashing-security.htm
    https://en.wikipedia.org/wiki/Hash_function

你可能也想看看

搜尋相關網站