วันนี้มีโอกาสได้คุยกับพี่วู้ดดี้-ธนพล ศิริธนชัย ในหัวข้อความสัมพันธ์ พี่ที่เคารพอธิบายลักษณะความสัมพันธ์สามระดับได้น่าสนใจ โดยบอกว่าให้ลองมองเพื่อนพี่น้องที่คบหารู้จักกันว่าจะมีคนสามแบบ

แบบแรกคือ independence คือคนที่เป็นอิสระ ไม่ต้องการการดูแลห่วงใยอะไรมากมาย

สองคือ dependence คือคนที่ต้องการความใกล้ชิดสนิทสนม ให้ความใส่ใจ ให้เวลา

แบบแรกอาจเป็นไปในลักษณะตัวใครตัวมัน เป็นอิสระจากกัน แบบสองก็จะตัวติดกันหน่อย เรียกร้องจากอีกฝ่ายมากหน่อย แต่พี่วู้ดดี้มองว่าความสัมพันธ์ที่ดีน่าจะเป็นแบบที่สามคือ interdependence หรือพึ่งพาอาศัยกัน

เวลาคนเรารู้จักกัน เราอาจไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะดูแลหรือช่วยเหลือเราได้สมบูรณ์แบบ แต่เราน่าจะ 'หวังได้' ว่าถ้าเกิดมีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อนที่แท้จริงของเราจะยื่นมือเข้ามาช่วย

ฟังแล้วผมคิดถึงคำว่า "ไม่ต้องตัวติดกัน แต่อยู่ตรงนี้เสมอ หันมาก็เจอ"

...

ผมชอบการไล่เรียงความแตกต่างของความสัมพันธ์ที่พี่วู้ดดี้บอก เมื่อคิดดูดีๆ ก็พบว่าคนที่คบหาด้วยแล้วสบายใจมักจะมีลักษณะแบบ 'พึ่งพากัน' มากกว่าแบบ 'ต่างคนต่างอยู่' หรือ 'ตัวติดกัน' ในทุกแบบของความสัมพันธ์เลย ไม่ว่าครอบครัว คนรัก เพื่อน หรือพี่น้องที่รู้จัก

มีพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่รู้กันว่ารักกัน ปรารถนาดีต่อกัน แต่ก็ไม่ได้พบเจอพูดคุยทุกวัน ทุกสัปดาห์ เจอกันเป็นระยะ แต่รู้กันว่าเราสามารถพึ่งพากันได้

เรื่องพึ่งพาก็น่าสนใจ

คุยกันลงลึกไปอีก พี่วู้ดดี้บอกว่า ถ้าเราไม่พึ่งพากันก็ไม่รู้จะสัมพันธ์กันยังไง ผมตอบไปว่าเหมือนหนังสือเล่มหนึ่งที่เพิ่งเล่าไปในรายการ Have a nice day! ที่บอกว่า ในความสัมพันธ์ที่ดี เราจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มอบความช่วยเหลือบ้าง ไม่ใช่แข็งแกร่ง ซ่อนความเปราะบางเสียจนเขาไม่รู้จะช่วยเหลือยังไง

ขอความช่วยเหลือบ้างกลับทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดี เพราะอีกฝ่ายก็รู้สึกดีที่ได้เป็นฝ่ายให้ สลับกันไปเช่นนี้ คือตัวเราเองก็ได้อยู่ในบทบาทของผู้ให้บ้างในยามที่เขาต้องการความช่วยเหลือ

แบบนี้ทำให้ความสัมพันธ์ไม่ใช่เป็นแบบ 'ฉันก็อยู่ของฉันได้'

"ถ้าไม่ขอความช่วยเหลือกันเลยเราก็ไม่รู้ว่าจะสัมพันธ์กันยังไง" พี่วู้ดดี้แถมให้อีกว่า "บางครั้งแกล้งเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มีบทบาทในการช่วยเหลือเกื้อกูลบ้างก็เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้วยซ้ำไป ในกรณีที่เหมาะสม"

คุยกันจบผมได้ทบทวนความสัมพันธ์ของตัวเองเลยว่า กับใครเป็นแบบไหน independence, dependence หรือ interdependence

ซึ่งผมเห็นด้วยเลยว่า สัมพันธ์ที่ดีคือแบบที่เราผลัดกันพึ่งพากัน

ได้เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ

#อ่านจบคิดถึงใครบ้างครับ

POWER錕狂語錄》婚姻有條件嗎？100萬年的經驗。

有人問我：
有意中人，考慮結婚，
想知道婚姻是否有些必要條件？

人是政治動物，
這個政治就是從祖先擇偶成雙，共同生活開始。
婚姻的制度只有幾千年的歷史，
婚姻的生活方式至少上推100萬年。
從中，我們可以歸納幾個特點，
姑且說是結婚的必要條件，
以供想結婚（或離婚）的人參考。

① 婚姻的前提：真愛。
真愛出於心靈的反應，超越利害的考量，
不受年齡、種族、背景所阻礙，
所謂 heart over mind。

② 婚姻的權利：自由選擇。
自由選擇所愛（free to love）
自由選擇分開（free to leave）
任何威迫利誘或情緒勒索，
企圖挽回失去的愛，
都是不厚道、不聰明，而且不會成功的。

③ 婚姻的義務：給多於取（give more than take）
婚姻是真愛的體現，不是利益的交換，
永遠要有自我犧牲高於自我滿足的心態。

④ 婚姻的境界：相互依賴（interdependence ）
婚姻是一個靈魂兩個肉體的生命共同體，
有福共享，有難同當的雙的力量（power of pair）
可以算是生物界的奇蹟。

結論：祝有情人堅信：
「在一起，我們將克服一切！」
（Together, we prevail!）

#李錫錕 #錕P #POWER錕

interdependence，這是今天首場台美企業對話當中，提到次數最多的單字，意思就是互相依賴，這也成為詮釋 #台美供應鏈合作 的重要關鍵字。
　　
去年11月，台灣與美國簽署「經濟繁榮夥伴對話(EPPD)合作備忘錄」，在這樣的架構之下，今天啟動第一場企業對話，透過 #供應鏈產業座談會，邀請雙方業者、智庫與產業協會對話，由業界先行提出建言，後續再透過政府對話形成政策。座談會凝聚哪些共識？#美花部長 來跟大家報告3⃣個重點：
　　
▶️科技產業長期緊密合作
早在1970年開始，台美就展開長期的合作，像是電腦、筆電等電子產品以及半導體產業，都有分工、互補、互助的緊密結合關係，為雙方帶來非常大的產值跟就業機會。隨著高階電腦5G、電動車、AI等發展，對半導體的需求，只會越來越高，在2025年，全球半導體產值可能會高達5500億美元。
　　
▶️強調智慧財產權與營業秘密保護的重要性
台美半導體供應鏈優勢互補且相互依賴，業者建議未來雙方應加強人才、研發與投資交流，也肯定台灣對智慧財產權與營業秘密的保護，造就台灣有這樣的發展，並認為台美應結合理念相同國家組成聯盟，共同保護科技研發成果。
　　
▶️業者呼籲台美應加入CPTPP及簽署雙邊貿易協定
在國際貿易的情況之下，因為半導體產業的重要性，產業界呼籲台灣與美國應加入CPTPP，甚至進一步簽署台美雙邊貿易協定，加深供應鏈合作，並建議雙方政府應透過WTO推動資訊科技協定進一步擴大，促進全球半導體貿易自由化。
　　
把握全球供應鏈重組契機，擴大台美關鍵性產業合作，經濟部將繼續與美方選擇5G、電動車等重點產業舉辦系列座談會，搭建溝通與合作平台，持續深化投資及經貿合作關係。