"ปูหลนใส่ยาปลุกเซ็กส์ จนควบคุมตัวเองไม่ได้ ... ไม่น่าเป็นเรื่องจริงครับ"

วันนี้นักข่าวมาขอสัมภาษณ์แต่เช้า ถึงกรณีที่มีพระวัดป่ารูปหนึ่ง (ล่าสุดคือสึกไปแล้ว) ได้ปฏิเสธการรับผิดชอบที่ทำให้สาวคนหนึ่งตั้งท้อง 4 เดือน โดยอ้างว่า "สาวคนนั้นเอาปูหลน มาถวาย กินเข้าไปแค่ 3 ช้อน ก็รู้สึกเกร็ง ตัวสั่น อวัยวะเพศแข็งตัว มีน้ำไหลออกมา ควบคุมตัวเองไม่ได้ จนกระทำชำเราไป" ... เรื่องนี้เป็นไปได้แค่ไหน ?

แม้ว่าจะมีสารเคมีหลายชนิด หลายกลุ่ม ที่ถูกเอามาเรียกปนๆ กันว่า "ยาปลุกเซ็กส์" เช่น กลุ่มที่ทำให้เกิดการระคายเคืองของอวัยวะเพศ กลุ่มที่ทำให้เลือดสะสมในอวัยวะเพศได้ดีขึ้น หรือกลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท จนทำให้มึนงงหรือสลบ แต่ก็ไม่ได้มีตัวไหนที่จะถึงขั้น "ควบคุมตัวเองไม่ได้" อย่างที่เอามากล่าวอ้าง .... เป็นเรื่องของจิตใจตนเองอยู่ดี ที่จะกระทำการเช่นนั้นไป

มาสรุปความรู้เกี่ยวกับ "ยาปลุกเซ็กส์" ว่ามีอะไรบ้าง และมีข้อควรระวังเช่นไร

1. สารเคมีที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย และเข้าใจกันไปว่าเป็นการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ

1.1 แมลงวันสเปน (Spanish fly) หรือ ทิงเจอร์ขาว

- ตั้งแต่ในอดีตกาล มีการเอาด้วงน้ำมัน (blister beetles) บางสปีชีส์ (เป็นที่มาของชื่อ แมลงวันสเปน) มาใช้ โดยหวังผลด้านการกระตุ้นทางเพศ จากการที่แมลงพวกนี้มีสารเคมีชื่อ แคนธาริดิน (cantharidin) (ดู https://en.wikipedia.org/wiki/Cantharidin)
- สารแคนธาริดิน ได้ถูกผลิตสังเคราะห์ออกมาหลายรูปแบบ เช่น เป็นของเหลวใส เป็นผง หรือเกล็ด (นำมาสู่ชื่อเรียกที่ต่างกันไป) โดยเมื่อก่อนนี้เคยใช้ในการเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น ใช้ในการผสมพันธุ์ม้า แต่เลิกใช้ไปแล้วเพราะเป็นอันตรายต่อสัตว์ได้
- ปัจจุบัน มีการนำมาใช้ในทางที่ผิด โดยการหยดหรือผสมลงไปในเครื่องดื่มของคน เพราะสารแคนธาริดินนั้นไม่มีสี ไม่มีกลิ่น
- ผลจากการที่สารแคนธาริดิน มีฤทธิ์กัดกร่อนสูง จึงทำให้เมื่อกินเข้าไปแล้ว จะเกิดการระคายเคืองในทุกอวัยวะที่สารไปถึง โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศและทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้มีเลือดไปคั่งที่หลอดเลือด รวมทั้งมีการอักเสบที่บริเวณดังกล่าว
- ผลจากการระคายเคืองอวัยวะเพศของสารนี้ รวมถึงอาการร้อนวูบวาบ ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ แต่จริงๆ แล้ว ไม่มีหลักฐานว่ามีผลต่ออารมณ์ทางเพศ
- ฤทธิ์กัดกร่อนของสารแคนธาริดิน ทำให้เกิดแผลและเลือดออกได้ทุกบริเวณ ตลอดทางเดินอาหาร ตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนัก ปัสสาวะเป็นเลือด อาจมีเลือดออกที่อวัยวะเพศ และยังมีผลทำลายไต จนไตวายได้

1.2 สารระเหยกลุ่มไนไตรท์

- เป็นสารที่มีกลิ่นฉุน อยู่ในรูปของเหลว มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด จึงทำให้รู้สึกอุ่นๆ หรือร้อนวูบวาบหลังสูดดม โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้าและลำคอ ทำให้มีอาการมึนงง เวียนศีรษะ
- จากผลดังกล่าว ทำให้เชื่อกันว่าเป็นการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ
- แต่หากเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือกำลังใช้ยาขยายหลอดเลือด รวมทั้งยาไวอากร้า อาจทำให้หลอดเลือดขยายตัวมาก จนเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสมอง ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
- ไนไตรท์สามารถเข้าไปในเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงจับกับออกซิเจนได้น้อยลง ร่างกายขาดออกซิเจน
- ผู้ที่มีภาวะพร่องเอ็นไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency) อาจเกิดเม็ดเลือดแดงแตกได้
- นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ข้างเคียงต่อระบบประสาท อาจขาดความยั้งคิด จนมีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงมากขึ้น เช่น ถูกล่อลวงให้มีเพศสัมพันธ์ ไม่ใช้ถุงยางอนามัย

2. สารที่ทำให้เกิดการสะสมตัวของเลือดที่อวัยวะเพศดีขึ้น

- ตัวอย่างเช่น ยาไวอากร้า ที่มักใช้รักษาผู้ที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โดยเฉพาะในชายวัยกลางคน แต่ปัจจุบัน พบว่ามีวัยรุ่นหันไปกินกัน ด้วยความเชื่อผิดๆ ว่าจะกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้
- จริงๆ แล้ว ยากลุ่มนี้ ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดที่องคชาติ ไม่ได้กระตุ้นอารมณ์ทางเพศ รวมทั้งไม่ได้ช่วยชะลอการหลั่งด้วย
- นอกจากขยายหลอดเลือดที่องคชาติแล้ว ยัง็ขยายหลอดเลือดส่วนอื่นด้วย จึงอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ขยายหลอดเลือดที่จอประสาทตา ทำให้เห็นภาพเป็นสีฟ้าๆ จนกว่ายาจะหมดฤทธิ์
- ผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น หายใจไม่ออก แต่มักไม่รุนแรงและหายได้เมื่อยาหมดฤทธิ์
- ยากลุ่มนี้ จะทำให้ตับและไตทำงานหนัก และส่งผลให้เกิดอาการต่อมลูกหมากโตด้วยหากใช้ต่อเนื่องไปนานๆ
- ในคนที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดถ้าหากทานยาตัวนี้อาจเสียชีวิตได้
- ก่อนทานจึงควรแน่ใจจริงๆ ว่าตนเองมีปัญหาที่จำเป็นต้องใช้ยา และควรปรึกษาแพทย์

2.1 ซิลเดนาฟิล (Sildenafil)
- เป็นยากลุ่มที่ใช้รักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ
- มีผลข้างเคียงทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทตา ถึงขั้นตาบอดได้ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง หัวใจเต้น ผิดจังหวะ เกิดอาการเจ็บปวดที่อวัยวะเพศ ความดันโลหิตสูง และอาจเป็นภัยร้ายรุนแรงถึงชีวิตโดยคาดไม่ถึง

2.2 ทาดาลาฟิล (tadalafil)
- อยู่ในกลุ่มเดียวกับซิลเดนาฟิล ออกฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือด
- มีข้อควรระวังในการใช้ในผู้ป่วยโรคตับและไต ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำ โรคหัวใจล้มเหลว โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และผู้ป่วยที่มีภาวะเจ็บหน้าอกแบบไม่คงที่

3. สารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการมึนเมา หรือสลบ

- ยากลุ่มนี้ มักจะปรากฏเป็นข่าวว่าเป็น “ยาเสียสาว” โดยผู้ประสงค์ร้ายแอบลักลอบใช้กับเหยื่อ เพื่อรูดทรัพย์หรือล่วงละเมิดทางเพศ
- ตัวอย่างเช่น ยามิดาโซแลม (Midazolam) หรือชื่อการค้า โดมิคุม (Dormicum) ยาอัลปราโซแลม (Alprazolam) ยาฟลูไนตราซีแปม (Flunitrazepam) หรือชื่อการค้า โรฮิบนอล (Rohypnol) สารจีเอชบี (GHB = gamma-hydroxybutyrate) และยาเค หรือ เคตามีน (ketamine)
- ยาพวกนี้มักทำให้เกิดอาการมึนงง ง่วงซึม ไม่มีสติ หรือสลบไปได้ ยาบางตัวมีฤทธิ์คลายกังวล หรือทำให้รู้สึกเคลิ้มสุขคล้ายการดื่มแอลกอฮอล์
- มักออกฤทธิ์ได้รวดเร็ว ไม่เกิน 30 นาทีหลังจากรับประทานยา
- สามารถละลายได้ดีในน้ำ ทำให้มีการนำยาเหล่านี้ไปละลายในเครื่องดื่มต่าง ๆ ให้คนดื่มไปโดยที่ไม่รู้ว่ามีการผสมยาลงไป ซึ่งหากใส่ไปในเครื่องดื่มพวกแอลกอฮอล์จะยิ่งเพิ่มการออกฤทธิ์ของยาเหล่านี้
- มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการสูญเสียความทรงจำไปชั่วขณะ จึงอาจทำให้เหยื่อไม่สามารถจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
- ยาเหล่านี้อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตหากใช้เกินขนาด เนื่องจากมีฤทธิ์การกดการหายใจ จนเกิดอาการโคม่าเสียชีวิตได้
- อาการเตือนที่บ่งบอกว่าอาจได้รับสารเหล่านี้ คือ อาการคลื่นไส้อาเจียน มึนงง เดินเซ หายใจลำบาก มีอาการคล้ายเมาสุรา แม้ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มไปเพียงเล็กน้อย

3.1 สารจีเอชบี (GHB = gamma-hydroxybutyrate)
- มักอยู่ในรูปของเหลวใสหรือเป็นผง ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสชาติ ซึ่งนำมาใช้ในทางที่ผิดโดยการหยดหรือผสมลงไปในเครื่องดื่ม
- สารชนิดนี้มีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับและยาสลบ ทำให้ง่วงซึม มึนงง เคลิบเคลิ้ม และไม่สามารถจำเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นขณะได้รับยา
- หากใช้ในปริมาณมาก หรือผสมกับแอลกอฮอล์ อาจเพิ่มฤทธิ์การกดสมอง จนทำให้กดการหายใจ กดการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ชักและหมดสติ ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิต

3.2 ยาอัลปราโซแลม (Alprazolam)
- เป็นยากลุ่มมิดาโซแลม ผลการกดสมองจึงคล้ายกัน ยานี้มีข้อบ่งใช้ในทางการแพทย์หลายอย่าง แต่มีการนำมาใช้ในทางที่ผิดโดยการผสมลงไปในเครื่องดื่มเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ
- หากใช้ในปริมาณมาก หรือผสมกับแอลกอฮอล์ อาจเพิ่มฤทธิ์การกดสมอง เช่น กดการหายใจจนเสียชีวิตได้เช่นกัน

สรุป : มีสารออกฤทธิ์ต่อร่างกายอยู่หลายชนิด ที่ถูกลักลอบนำมาซื้อขายกันผ่านอินเตอร์เน็ตในชื่อของ "ยาปลุกเซ็กส์" ซึ่งมีผลกระทบต่อร่างกายของผู้ที่ได้รับเข้าไป แตกต่างกันไปในแต่ละชนิดของสาร แต่ก็ล้วนมีผลข้างเคียงที่อันตรายได้ทั้งนั้น

ดังนั้น สำหรับใครที่คิดจะหามาใช้ ไม่ว่าจะเพื่อการกระทำความผิดทางเพศ หรือแม้แต่การใช้กับคู่รักของตนเอง (อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น คิดว่าแค่จะกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ) ก็ควรระงับยับยั้ง เพราะอาจจะนำมาสู่ผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น หรือถึงแก่ชีวิตได้ครับ

ภาพประกอบและข่าว จาก https://social.tvpoolonline.com/news/186749

ข้อมูลจาก https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/214/?fbclid=IwAR2z5rWvIQRSrrJShybLALsCIKbH-yjhQGTQ8zYL-i8vbjUyu_ia_7z5I2w และ https://oryor.com/%E0%B8%AD%E0%B8%A2/detail/media_news/1824 และ https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%8C-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AD/ และ https://www.voicetv.co.th/read/HJzY71N0Q

加護病房查房日誌20181126
最近幫實習生上課，什麼時候要用dormicum?什麼時候要用propofol?一般來說，神內的醫師喜歡用propofol, 因為常常需要做神經學的檢查，而propofol一停掉，病人就會醒過來了，很適合需要時常做神經學檢查的病人。但是如果要使用超過三天，guideline是建議我們可以換成dormicum或是ativan, 而肝臟功能不好的病人則是建議用ativan即可。當然這些藥物一定要監測鎮靜狀態，就是要用RASS評分表來評分。此外就是這些藥物的副作用監測一定要做好，才能讓病人有好的用藥安全。

新聞報導台大男護師
因注射Midazolam(Dormicum)死亡
可是怪怪, 照片中的藥瓶上寫的明明是
1. Furosemide (左 Rasitol/Lasix)
2. Lorazepam (右 Ativan)

https://tw.appledaily.com/new/realtime/20180118/1281401/