【杏仁大不同】此杏仁不同彼杏仁

⭐杏仁奶以堅果杏仁製造
⭐中式甜品則採用南杏
#星期四食材

堅果杏仁 vs 南北杏
植物奶選擇眾多，杏仁奶是熱門選擇之一，如想自製杏仁奶，購買杏仁時要認清是哪一種杏仁，我們常吃到的杏仁有三種：南杏、北杏及堅果杏仁，製作杏仁奶最常用為啡色皮的堅果杏仁 (almond)，又名巴旦杏，是扁桃或巴旦杏的種子，顆粒較大，屬性平和，有潤肺及潤腸功效，多作為堅果零食或食材之用。
而中式甜品的杏仁茶、杏仁豆腐、杏仁霜，則以南杏 (sweet almond) 及北杏 (bitter almond) 製成，南杏及北杏取自杏 (apricot) 果樹的種子，所以又叫 apricot kernel。南杏性平，有潤肺、潤腸通便功效，尤其適合肺氣虛弱人士飲用；而北杏主要為入藥用途，有袪痰止咳、平喘及潤腸的功效，治外感咳嗽、氣喘的功效較強，亦能紓緩便秘症狀。北杏帶有小毒，必須經過處理及烹煮才能食用。如煲湯時使用南北杏，比例至少為一比一。

堅果杏仁 — 又名巴旦杏，是扁桃或巴旦杏的種子，比南北杏較大得多。屬性平和，有潤肺及潤腸的功效，多作為堅果零食或食材之用。

南杏 — 產於南方，又稱甜杏仁，杏仁茶多用南杏。外觀上較北杏大。性平，有潤肺、潤腸通便功效，尤其適合肺氣虛弱人士飲用。感冒未清者、容易反覆腹瀉者都不適合飲用。

北杏 — 盛產於北方，又稱苦杏仁，主要為入藥用途。味苦，有少毒。有袪痰止咳、平喘及潤腸的功效；治外感咳嗽、氣喘的功效較強，亦能紓緩便秘症狀。因帶有少許毒性，切忌服用生或未經處理的北杏。

留言或按讚👍🏻支持一下我們吧！❤️ 歡迎 Follow 我們獲得更多養生資訊。

Almond vs sweet/bitter almond
There are many different types of plant based milk, and almond milk is one of them. If we wish to make our own almond milk, make sure we understand the different types of almonds.

There are three common types of almonds: sweet almond, bitter almond, and almond. Almond, which has a coffee-colored skin, is commonly used in making almond milk. This kind of almond, also known as badam in Persian, is the seed of Amygdalus communis. It is larger and mild in nature. It can also moisten the lungs and the intestines. People would use it in cooking or consume it as a snack.

On the other hand, sweet almond and bitter almond are the main ingredients used to make Chinese almond tea, almond tofu, and almond powder. These two almonds came from the apricot tree, hence they are also called apricot kernels. Sweet almonds are mild in nature, can moisten the lungs and intestines. Hence, it is suitable for individuals with weak lungs qi to consume.

Bitter almond is used as Chinese Medicine, as it can clear phlegm, relieve cough and asthma, and moisten the intestines. Hence, individuals would consume them to relieve cough, asthma, and constipation. Bitter almonds are slightly poisonous, hence, they must be processed and cooked properly beforehand. When making soup with both sweet and bitter almonds, make sure the two ingredients have an equal ratio.


Almonds - also known as baadaam, and they are much larger than sweet and bitter almonds. They are mild in nature, and can moisten the lungs and bowels. Typically almonds are eaten as snacks or used as a cooking ingredient.

Sweet almonds - produced in the south and usually used in almond tea. They look larger than bitter almonds. They are mild in nature and can moisten the lungs and bowels, and relieve constipation. They are especially suitable for those with weak lung qi. They are not suitable for those recovering from a cold or flu, or those prone to diarrhea.

Bitter almonds - produced in the north and mainly used medicinally. They taste bitter and naturally contain small amounts of toxins. They can relieve phlegm, cough and wheezing as well as moisten the bowels. They are effective to treat external coughs and help to relieve constipation as well. Due to the toxins, do not eat them raw or unprocessed.

Comment below or like 👍🏻 this post to support us. ❤️ Follow us for more healthy living tips.

#男 #女 #氣虛 #咳嗽

โพสต์นี้ว่าด้วยเรื่องของ "น้ำหนักร่างกาย"
ที่ผมต้องมาพูดประเด็นนี้ เรื่องจากตอนนี้การป้องกันโรคดูจะเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กับการรักษาโรคไปแล้ว ณ ตอนนี้ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อต่างๆ
.
และหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้อาการต่างๆแย่ลงได้ นั่นก็คือ "ภาวะน้ำหนักเกิน" (overweight) นั่นเองครับ เพราะน้ำหนักที่เกินในระยะเวลานานๆจะทำให้ร่างกายมีปัญหาของเรื่องความดันโลหิตสูง เบาหวาน metabolic syndrome และอะไรตามอีกมากมาย ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของอัตราการเสียชีวิตอย่างเห็นได้ชัด
.
น้ำหนักที่เกิน (overweight) นี้ ขอใช้นิยามเดียวกับคนทั่วไป คือ ไม่ได้มีสัดส่วนของกล้ามเนื้อที่มากกว่าปกติ เช่น คนเล่นกล้าม ที่น้ำหนักอาจจะเกินเกณฑ์มาตรฐานได้ โดยที่ทั้งๆที่สัดส่วนของร่างกายดูปกติ เพราะบางครั้งการวัดน้ำหนักตามเกณฑ์ BMI อาจจะทำให้เราพลาดในส่วนนี้ไปได้ แต่รายละเอียดตรงนี้อาจจะไม่จุดประสงค์ที่จะพูดกันในวันนี้ครับ
.
ผมอยากจะขอพูดเรื่องสิ่งที่เรียกว่า "ความอ้วน" เป็นหลักมากกว่า โดยไม่ได้พูดเรื่องน้ำหนักที่เกินเกณฑ์ตามประโยคข้างต้น เอาแบบให้เห็นภาพคือ เราอ้วน เราใส่กางเกงตัวเดิมไม่ได้ทั้งๆที่เราใส่ได้ น้ำหนักเราขึ้นมาหลายสิบกิโลกรัมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทั้งๆที่เราไม่ได้อยู่ในวัยที่เจริญเติบโตของร่างกายใดๆ หรือใครที่กำลังคิดถึงรูปร่างของเราเมื่อสักช่วงสมัยเรียนมหาวิทยาลัยอะไรประมาณนั้นครับ
.
ผมขอยกเนื้อหาบางส่วนมาจากหนังสือที่มีชื่อว่า "The Obesity Code" ของ Dr.Jason Fung ซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสนใจ โดยขอสรุปใจความเนื้อหาไว้ดังนี้ครับ
.
หลายๆคนอาจจะเข้าใจว่า "ความอ้วน" มาจาก แคลอรี่ที่กินเข้าไป > แคลอรี่ที่ใช้ออกมา เช่น เราจะคิดว่า เพราะเรากินมาก แต่ออกกำลังกายน้อย นั่นทำให้เราอ้วน ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะจริงๆแล้วร่างกายมีการปรับระดับอัตราการเผาผลาญให้มากขึ้นหรือลดลงได้ตามพลังงานที่ร่างกายได้รับเข้ามา
.
Total Energy Expenditure ตัวย่อ TEE แปลว่า พลังงานที่ร่างกายได้เผาผลาญไปในวันนั้นๆ จะมาจาก 3 ส่วน คือ 70% มาจาก Basal metabolic rate ซึ่งร่างกายจะปรับขึ้นลงโดยอัตโนมัติ 10% มาจาก Thermic Effect of food ซึ่งก็คือพลังงานที่ต้องใช้ในการย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป โดยโปรตีนจะใช้พลังงานมากที่สุด และ อย่างสุดท้าย 20% เป็น Physical Activity ของเรานั่นเอง นั่งดูทีวี เดินไปทำงาน เดินไปซื้อกาแฟ พลังงานที่ใช้จะอยู่ในส่วนนี้ ซึ่งถ้าสมมติว่าคนๆหนึ่งใช้พลังงานต่อวันคือ 2,000 Kcal เท่ากับ พลังงานที่เกิดจากกิจกรรมนั้นจะอยู่ที่ราวๆ 300-400 Kcal เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะเรามีผลวิจัยมากมายที่ชี้ว่า ถ้าเรากินมากขึ้น พลังงานจะถูกเผามากขึ้นจาก (BMR + TEF ที่มากขึ้น)
.
การกินน้อยเพื่อลดน้ำหนัก (Caloric restriction) อาจจะได้ผลในช่วงแรก แต่ผลลัพธ์สุดท้าย ร่างกายจะปรับ BMR ให้ลดต่ำลงจากพลังงานที่เข้ามาน้อย เพราะร่างกายจะเข้าสู่โหมด starvation คือต้องสงวนพลังงานเอาไว้ใช้
.
ลองคิดภาพตามนะครับ ถ้าจริงๆแล้ว ร่างกายเราต้องใช้พลังงาน 2,000 kcal ต่อวัน แล้วเราทานวันละ 1,500 kcal ต่อวัน จนสุดท้ายร่างกายปรับ TEE มาเหลือ 1,500 kcal ต่อวัน นั่นแปลว่า Calories in - Calories out = 0 นั่นคือทางตันของน้ำหนักที่ลดแล้วใช่ไหมครับ ??? อันนี้คือจุดเริ่มต้นของ Yoyo effect ที่เราพยายามหลีกเลี่ยงนั่นเอง เพราะถ้าเรากินแค่วันละ 1,000 kcal ต่อวัน เราไม่สามารถทำได้ในระยะยาว เพราะร่างกายจะทรุดโทรมอย่างมาก จนสุดท้ายเราจะกลับมากินอย่างมากมาย และน้ำหนักจะขึ้นพรวดพราด และสิ่งที่เร็วร้ายที่สุดคือ การกู้ metabolic rate ให้กลับมาเท่าเดิม นั้นต้องใช้เวลานานมากครับ และนั่นถืงเป็นสาเหตุว่า ทำไมเวลาเกิน Yoyo effect แล้ว น้ำหนักถึงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมักกลับขึ้นเกินน้ำหนักเดิมที่ก่อนตั้งใจลดน้ำหนักเสียอีก
.
จากบทสรุปด้านบน อาจจะบอกได้จริงๆแล้ว ความอ้วน ไม่ได้มาจาก แคลอรี่ แล้ว ความอ้วน มาจากอะไร???
.
เมื่อเราเริ่มต้นหาจุดกำเนิดของความอ้วนที่เกิดขึ้นทั่วโลก เราจะพบว่าความอ้วนของมนุษย์พึ่งมาเกินในช่วงหลังราวๆสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ก่อนหน้านี้ประวัติศาสตร์ของความอ้วนมีอยู่เพียงกลุ่มเฉพาะ ไม่ได้เป็นโรคระบาดเหมือนในปัจจุบัน โดยความอ้วนที่เกิดแบบชุกที่สุดจะเกิดในชาติตะวันตก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อเราไปสังเกตว่าสิ่งใดที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในช่วงนี้ เราจะพบว่า "อาหาร" คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด โดยอาหารที่ว่าก็คือ "บรรดาอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต + แป้ง" หรือ Fast food นั่นเอง ที่คนอเมริกันบริโภคกันอย่างมหาศาล แล้วตอนนี้เราจะเหมารวมว่า "แป้งหรือคาร์โบไฮเดรต" เป็นผู้ร้ายได้หรือไม่
.
ในขณะเดียวกันถ้าเราไปดูประเทศอย่างจีน หรือ ญี่ปุ่น ที่เรียกกว่ากินข้าวกันเป็นกระสอบในช่วงเวลาเดียวกัน ภาวะโรคอ้วนกลับไม่พบอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นผู้ต้องสงสัยที่เรากำลังหมายหัวอาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว แสดงว่าต้องมีอะไรที่อยู่ในแป้งที่เรากำลังสงสัยอยู่
.
นั่นคือที่มาของคาร์โบไฮเดรตที่มีคำว่า unprocessed กับ processed นั่นเองครับ สิ่งที่คนอเมริกันกินประจำคือ processed carb หรือพวกบรรดาขนมปังเบอร์เกอร์ ขนมเค๊ก ในขณะที่คนเอเชียทาน ข้าวเจ้า หรือ unprocessed carb ความแตกต่างของการขัดสีแป้ง ทำให้พวกบรรดาใยอาหารต่างๆนั้นสูญหายไประหว่างการผลิตซึ่งถือเป็นจุดสำคัญที่สุดของเรื่องราว เพราะเมื่ออาหารที่ไม่มีกากใยย่อมดูดซึมได้ง่ายและเราจะทานได้มากกว่าปกติเพราะอิ่มยาก ในขณะที่อาหารที่มีกากใยทุกอย่างจะเกิดขึ้นในทางตรงกันข้าม ในคิดภาพ ระหว่างทานข้าวกล้อง กับ ขนมปัง ดูครับ จะเห็นได้ชัด
.
แต่ความแตกต่างที่มากที่สุดต่อ แป้ง 2 ชนิดนี้คือ ผลลัพธ์ของการกระตุ้นฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) นั่นเอง โดย processed carbohydrate จะทำให้อินซูลินหลั่งอย่างมากมาย เนื่องจากอินซูลินมีหน้าที่เก็บ กลูโคส (Glucose) หน่วยที่เล็กที่สุดของแป้งหลังจากผ่านการย่อยในระบบทางเดินอาหารเมื่อเข้าไปสู่ในกระแสเลือด โดยอินซูลินจะทำการเก็บกลูโคสไปไว้ในเซลล์เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดลง โดยที่ในขณะที่อินซูลินกำลังทำงาน สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ ร่างกายจะปิดระบบการเผาผลาญพลังงานด้วยไขมันในทันที ร่างกายจะใช้โหมด energy storage แทน อินซูลินที่หลั่งกำลังบอกเราเรากำลังเอาอาหารเข้าไปสะสมนั่นเองครับ ซึ่งอาหารที่เป็น unprocessed carbohydrate จะเกิดในลักษณะที่ใกล้เคียงกันแต่ความชันของกราฟการหลั่งอินซูลินนั้นจะต่ำกว่าและชันน้อยกว่ามาก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในร่างกายเลยไม่เหมือนกัน
.
เราพอจะมองเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า จริงๆแล้วผู้ต้องสงสัยจริงคือใคร ณ ตอนนี้ มันไม่ใช่ แป้ง ไม่ใช่ข้าว แต่มันคือ "น้ำตาล" (sugar) นั่นเอง เพราะน้ำตาลทำให้อินซูลินหลั่งอย่างรวดเร็ว อธิบายให้เห็นภาพว่า ถ้าเรากินน้ำอัดลม 3 กระป๋อง (600 kcal) กับ การทานข้าวกล้อง 600 kcal เช่นเดียวกัน ตัวเลขพลังงานเท่ากัน แต่ความอ้วนที่เกิดขึ้นไม่เท่ากันแน่นอน
.
ทีนี้เราอาจจะบอกว่า ในเมื่อสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะแป้งอะไรก็ตามก็ต้องย่อยเป็นกลูโคสอยู่ดี แล้วมันจะแตกต่างกันได้อย่างไร เราอธิบายได้ด้วยเรื่องของกราฟการหลั่งอินซูลินด้านต้นนั่นเองครับ ยิ่งร่างกายหยุดหลั่งอินซูลินได้เร็วเท่าไรคือกลับมาแตะเลข 0 ร่างกายเราก็จะเปลี่ยนโหมดพลังงานจากการเก็บ (storage) ไปเป็นการใช้นั่นเองครับ ซึ่งจริงๆโทษของคาร์โบไฮเดรต เราอาจจะโทษน้ำตาลไม่ได้ แต่เราต้องไปโทษที่ ระบบการขัดสีหรือปรุงแต่งอาหาร (process) มากกว่าครับ อะไรก็ตามที่มีรูปร่างแตกต่างจากธรรมชาติมากเท่าไร นั่นแปลว่ายิ่งผ่านการแปรรูปมามากเท่านั้น ในอีกนัยยะคือยิ่งทำให้อินซูลินหลั่งมากขึ้นนั่นเอง
.
ทวนอีกครั้งนะครับ คร่าวๆ
อินซูลิน (Insulin) หลั่งมาก ทำให้ ร่างกายอยู่ในสภาวะสะสมพลังงาน เปลี่ยน glucose ให้กลายเป็น triglyceride (fat) ลดการเผาผลาญไขมัน (lipolysis)
อินซูลิน ไม่หลั่ง ทำให้ ร่างกายอยู่ในสภาวะการใช้พลังงาน เกิดการเผาผลาญไขมัน (lipolysis) เกิดการสร้างกลูโคสใหม่จากไขมัน (gluconeogenesis)
.
ผลลัพธ์ของการทำให้อินซูลินหลั่งมากและหลั่งอยู่ตลอดระยะเวลาเป็นเวลานานๆ คืออะไรครับ นั่นคือ ภาวะการดื้ออินซูลิน (Insulin resistance) นั่นเอง และภาวะการดื้ออินซูลินคือจุดเริ่มต้นของปัญหาอีกทั้งปวงที่จะตามมา
.

สวัสดีครับ ผมลองนำวิถีชีวิตที่ผมใช้อยู่ตอนนี้กลางทะเลมาแนะนำให้นะครับ รับรองสุขภาพดีขึ้นแน่นอน

1.) ลองเปิดใจให้กับการทำ IF หรือ Intermittent fasting ดูนะครับ ใน 1 วัน มี 24 ชั่วโมง ลองแบ่งเวลาทานอาหารเพียงแค่ 8 ชั่วโมงเท่านั้นอีก 16 ชั่วโมง ดื่มแต่น้ำหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลหรือครีมใดๆ ผมใช้เวลาศึกษามาพักใหญ่ๆถือว่าได้มาใช้จริงจังในชีวิตกลางทะเลครับ

2.) ชนิดของ "แป้ง" ที่ทาน ดีที่สุดคือทาน "Unprocessed food" แป้งแบบไหนหน้าตาไม่เหมือนธรรมชาติ ถ้าละได้ละ แต่ไม่ถึงกับห้ามนะครับ มื้อไหนเรากินคนเดียว ไม่ได้มีสังคมอะไรกับใคร เราคุมตัวเองได้ เน้น ข้าวกล้องถ้าได้ ขนมปังถ้าหนีได้ย่อมดีกว่า

2.) หลีกเลี่ยง "น้ำตาล" ถ้าเป็นไปได้ น้ำตาลคือตัวที่ทำให้เราอ้วน เราไม่ต้องกลัวขาดน้ำตาลครับ เราได้น้ำตาลเพียงพอจากแป้งที่เราทานไปแน่นอน

3.) โปรตีน กับ ไขมันดี (Good fat) อย่าให้ขาดนะครับ ไขมันดีอยู่ในพวกถั่วต่างๆ (seed, nut) และในสัตว์ทะเลในกลุ่มของปลาทะเล ส่วนโปรตีนก็เน้นเนื้อที่ไม่ติดมัน ถ้ากินปลาก็ได้ทั้งโปรตีนและไขมันดี

4.) นอนให้พอนะครับ จากหนังสือ Why we sleep บอกชัดเจนว่าช่วงเวลาของการหลับแบบ REM คือช่วงสำคัญที่สุดในการฟื้นฟูร่างกายของตนเอง (ช่วงที่ร่างกายอยู่ใน REM ที่นานสุดคือช่วงใกล้รุ่งจนถึงราวๆ 7 โมงเช้าครับ)

5.) ออกกำลังกายนะครับ ลองพิจารณาการออกกำลังกายแบบ ให้อัตราการเต้นหัวใจอยู่ในโซน 2 (Zone 2) คิดจากอะไร คือ เอา 220 - อายุ แล้วคูณ 0.6-0.7 เช่น ถ้าอายุ 30 ปี จะได้ 220-30 = 190 แล้วคูณ 0.6-0.7 จะเท่ากับ 114-130 นั่นคือ ชีพจร หรือ อัตราการเต้นหัวใจที่ควรจะเป็นของเรานั่นเอง วัดจากนาฬิกาข้อมือของเราได้เลยตอนออกกำลังกายครับ key คือมันต้องไม่เหนื่อยจนเกินไป จะเป็นการออกกำลังกายแบบสบายๆ ให้ทำวันละ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย ถามว่า ทำไมต้องโซน 2 คำตอบคือ เพราะโซนนี้ ร่างกายจะใช้พลังงานจาก ไขมัน ในสัดส่วนที่สูงที่สุดนั่นเองครับ

เอาง่ายๆ 5 ข้อก่อน ลองปรับใช้ในช่วงนี้นะครับ สุขภาพดีเริ่มต้นที่ตัวเรา

Harvest Drum - 13" x 6.22" snare / maple shell
played by Wen-Shuo, from Taipei, Taiwan.

Totally unprocessed raw audio.

OH Mics: AEA KU5A / Preamps: TG2-500
Kick Mic: Telefunken M82 / Preamp: CAPI VP312
AD/DA: Apogee Symphony MKII/SE
Unprocessed audio, pan 100% L/R and only fader balanced.

Drums: Sakae Celestial Series
Snare: Harvest drums
Cymbals: Zildjian Cymbal

SUBSCRIBE for new videos every week! https://www.youtube.com/user/joannasohofficial "I only eat healthy food. I only eat REAL unprocessed food. But why can't I LOSE WEIGHT??!!!!" I hear your struggles.

When you eat healthy and you’re doing everything right, but the weight isn’t bugging, or you even end up gaining more weight, it can be extremely frustrating, and you don’t know what you’re doing wrong!

Watch this video and discover the sneaky diet saboteurs and how these “healthy” foods that can cause you to gain weight.

Joanna Soh is a certified Personal Trainer (ACE), Women’s Fitness Specialist (NASM) and Nutrition Coach (VN).

__________

Stay Connected & Follow us!
Joanna Soh:
http://joannasoh.com/
https://www.instagram.com/joannasohofficial/
https://www.facebook.com/joannasohofficial/
https://www.youtube.com/user/joannasohofficial
https://twitter.com/Joanna_Soh


HER Network:
https://www.hernetwork.tv
https://www.facebook.com/hernetwork.tv
https://www.instagram.com/hernetwork.tv

__________

11 Healthy Foods That Can Make You FAT
1) Trail Mix or Granola
2) Fruit Juices or Smoothies
3) Salad Dressings
4) Avocado
5) Coconut Milk
6) Natural Sweeteners
7) Energy Bars
8) Gluten-Free Foods
9) Vegetable Chips
10) Frozen Yoghurt
11) Nut Butter


I’m not saying you shouldn’t be eating all these foods, in fact, most of them should be part of your diet. But be aware that they are NOT “free” calories. Those calories can still add up, causing you to experience a weight loss plateau or even weight gain.

So what’s the key to not gaining weight on healthy foods? The answer is fairly simple – you should know what you’re eating and PORTION CONTROL is the key. Apply these tips and train yourself to be a MINDFUL eater.

What other healthy foods that are causing you to gain weight? Let me know in the comments below.
__________

More useful videos to guide you through your fitness journey:

10 Dieting Mistakes - Why You're Not Losing Weight
https://youtu.be/8jk-y-f_5Mw

Top 10 Diet & Fitness Myths to STOP Believing
https://youtu.be/9TVVQ0oPV8E

How to Break Bad Habits & Achieve Your Goals
https://youtu.be/LC0pASppDbs

Why Asians Are Slimmer (9 Tips for Weight Loss)
https://youtu.be/WS6xX72aM5E

How to Train & Eat According to Your Menstrual Cycle
https://youtu.be/PBd2CZC-JIE

Why I Eat White Rice
https://youtu.be/hUr9TLMJ5gI

28-Day Soup Detox Cleanse for Weight Loss
https://youtu.be/CusHEm0HTwI

5 Must Eat Food for a Flat Belly (Healthy Digestion)
https://youtu.be/SQoFM6EoQQ8

3 DIY Asian Detox Herbal Tea
https://youtu.be/DgGvp6vsHZg

Green Tea: Secret to Flat Belly, Youthful Skin & More
https://youtu.be/M5RVJY3ZCI4