[爆卦]STEC是什麼?優點缺點精華區懶人包

雖然這篇STEC鄉民發文沒有被收入到精華區:在STEC這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章

在 stec產品中有10篇Facebook貼文,粉絲數超過178萬的網紅ลงทุนแมน,也在其Facebook貼文中提到, ทำไม KTBSTMR REIT คือช่องทางลงทุนอสังหาฯ ที่ดี ในช่วงเวลานี้ ถ้าพูดถึงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลานี้ ต้องยอมรับว่า หลายคนเลือกที่จะมองข้ามไป เพ...

 同時也有4部Youtube影片,追蹤數超過18萬的網紅MONEY HERO,也在其Youtube影片中提到,เปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศ http://partners.etoro.com/B12996_A84803_TClick_Smoneyhero.aspx สมัครเรียน line@ : https://lin.ee/iDPznwt เปิดพอร์ตหุ้นแบบ onli...

  • stec 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文

    2021-09-28 13:00:00
    有 1,976 人按讚

    ทำไม KTBSTMR REIT คือช่องทางลงทุนอสังหาฯ ที่ดี ในช่วงเวลานี้

    ถ้าพูดถึงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลานี้
    ต้องยอมรับว่า หลายคนเลือกที่จะมองข้ามไป
    เพราะกลัวขาดทุน กลัวความเสี่ยง และกลัวว่าลงทุนแล้วจะไม่เติบโต

    รู้หรือไม่ว่า.. ความกลัวเหล่านี้จะหายไป
    หากเราเลือกลงทุนในกอง REIT ที่ดี
    มีการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง
    และยังมีแผนการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินกอง REIT
    จาก 3,015 ล้านบาท ไปสู่ 20,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า
    แล้วช่วงนี้ยังถือเป็นจังหวะที่ดีที่จะลงทุนกอง REIT เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ต เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนอีกด้วย

    กอง REIT ที่ว่านี้ คืออะไร ?
    แล้วเราจะลงทุนในกอง REIT นี้ได้อย่างไร ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง..

    อย่างที่ทราบกันว่า..
    การรักษาเงินต้น การกระจายความเสี่ยง และการสร้างการเติบโต
    คือ หลักการพื้นฐานในโลกการลงทุน
    แม้จะฟังดูง่าย แต่กลับยากเมื่อลงมือปฏิบัติจริง

    หลายคนจึงเลือกลงทุนทรัพย์สินที่ตนเองสนใจ
    ในรูปแบบที่จะมีผู้เชี่ยวชาญในทรัพย์สินนั้น ๆ คอยดูแลบริหารการลงทุนให้
    อย่างเช่นการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ผ่านรูปแบบของกอง REIT

    REIT ย่อมาจาก Real Estate Investment Trust
    หรือก็คือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบต่าง ๆ
    เช่น สิทธิการเช่าศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โกดังคลังสินค้า

    หนึ่งในกอง REIT ที่น่าสนใจในขณะนี้..
    ก็คือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เคทีบีเอสที มิกซ์
    หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า KTBSTMR REIT

    แล้ว KTBSTMR REIT น่าสนใจอย่างไร ?

    ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เคทีบีเอสที มิกซ์
    หรือ KTBSTMR REIT เป็นกอง REIT อิสระกองแรกในประเทศไทย
    ที่มีการลงทุนในสิทธิการเช่าระยะยาว 30 ปี ใน 3 ประเภทอสังหาริมทรัพย์
    แถมยังมีการจดจำนองหลักประกันซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง นั่นคือ

    1. ประเภทคลังสินค้า/โรงงาน 64.53% ของสินทรัพย์รวม

    มีพื้นที่ให้เช่ารวมประมาณ 121,619.67 ตารางเมตร อัตราการเช่าเฉลี่ยของทั้ง 3 โครงการอยู่ที่ 85%
    ประกอบด้วย

    -อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ 1 โครงการ คือ Rich Asset
    ที่มีอัตราการเช่า 90% คือมีผู้เช่าแล้ว 38 จากทั้งหมด 41 คลังสินค้า/โรงงาน
    พร้อมรองรับผู้เช่า SME ขนาดเล็ก-กลาง ที่ต้องการเก็บสินค้า
    และผู้ผลิตขนาดเล็ก ตอบรับเทรนด์ธุรกิจ E-commerce ในอนาคต

    -อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 1 โครงการ
    คือ เอสที บางบ่อ ที่มีอัตราการเช่า 63% คือมีผู้เช่าแล้ว 6 จากทั้งหมด 9 คลังสินค้า/โรงงาน
    พร้อมรองรับกลุ่มผู้เช่าขนาดกลาง กลุ่มผู้ผลิต และส่งออกอะไหล่ขนาดกลาง ซึ่งในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2564 มีผู้เช่าหมดสัญญา จากนั้นมีผู้เช่าเข้ามาเพิ่มเติม ทำให้โครงการ ST Bang Bo มีอัตราการเช่า ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ขึ้นมาอยู่ที่ 80%

    -อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 1 โครงการ
    คือ เอสที บางปะอิน ที่มีอัตราการเช่า 100% จากผู้เช่ารายใหญ่รายเดียว
    คือ LF Logistics ตัวแทนขนส่งสินค้าตามจุดสาขาทั่วประเทศ
    ให้กับธุรกิจหลากหลายประเภท เช่น ธุรกิจอาหาร เสื้อผ้า เครื่องดื่ม ให้กับบริษัทชั้นนำ
    และมีการจดทะเบียนสิทธิการเช่าถึงธันวาคม 2573 (สัญญาเช่าเหลืออีกประมาณ 10 ปี)

    ที่น่าสนใจคือ ทั้ง 3 โครงการ ล้วนเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เหมาะแก่การเป็นศูนย์การกระจายสินค้าที่ดี

    นอกจากนี้ ยังตั้งอยู่บนทำเลที่จะมีเส้นทางสัญจรใหม่ ๆ เกิดขึ้น อาทิ
    -ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองถนนมอเตอร์เวย์ หมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา ได้เปิดให้ประชาชนทดลองใช้เดินทาง
    -ถนนวงแหวนรอบนอก ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการ

    ทั้งหมดนี้ หากมีการเปิดใช้เต็มรูปแบบ ย่อมส่งเสริมให้การคมนาคมของโครงการคลังสินค้า/โรงงานทั้งหมดของ KTBSTMR REIT สะดวกสบายมากขึ้นได้

    2. ประเภทอาคารสำนักงาน 13.85% ของสินทรัพย์รวม

    คือ อาคาร Summer Hub อยู่ติดกับ BTS สถานีพระโขนง
    รองรับกลุ่มธุรกิจไทยและต่างชาติ ขนาดเล็ก-กลาง
    ด้วยพื้นที่ให้เช่ารวมประมาณ 5,147 ตารางเมตร
    และมีอัตราการเช่า 93.3% โดยมีจำนวนผู้เช่า 15 ยูนิตจากทั้งหมด 17 ยูนิต

    ที่น่าสนใจคือ ย่านพระโขนง ถือว่าเป็น New CBD ที่ค่อย ๆ ได้รับการพัฒนา
    และ Summer Hub ยังเป็นโครงการที่มีคู่แข่งในอนาคตต่ำ
    เพราะเป็นอาคารสำนักงานใหม่แห่งเดียว (อายุเพียง 2 ปี) ที่อยู่ติดกับ BTS สถานีพระโขนง

    3. ประเภทอาคารศูนย์การค้า 21.62% ของสินทรัพย์รวม

    คือ อาคาร Summer Hill อยู่ติดกับ BTS สถานีพระโขนง
    แวดล้อมไปด้วยคอนโดมิเนียม 14 โครงการ ในระยะ 1 กิโลเมตร
    พร้อมรองรับกลุ่มผู้อยู่อาศัยที่มีศักยภาพการจับจ่ายระดับกลาง-บน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
    ด้วยพื้นที่ให้เช่ารวมประมาณ 5,138 ตารางเมตร
    และมีอัตราการเช่า 93.9% โดยมีจำนวนผู้เช่า 16 ยูนิตจากทั้งหมด 18 ยูนิต

    โดยขณะนี้ Summer Hill มีผู้เช่ารายใหญ่ทั้งหมด 3 แบรนด์ ประกอบด้วย
    -Regus ในนามสเปซเซส ซัมเมอร์ ฮิลล์ ให้บริการพื้นที่ทำงานแบบ Co-working Space
    พื้นที่เช่า 37.35% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด
    -Fitness24Seven ฟิตเนสเปิด 24 ชั่วโมง พื้นที่เช่า 18.44% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด
    -Tops Daily พื้นที่เช่า 5.06% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด

    ที่น่าสนใจคือ โครงการ Summer Hill มียูนิตไม่มาก
    ทำให้หาผู้เช่าเต็มพื้นที่ได้ไม่ยาก จึงมีโอกาสรับรายได้จากการเช่าแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นเอง

    จะเห็นได้ว่า KTBSTMR REIT มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี
    ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งได้
    ทั้งในแง่ของประเภทอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มผู้เช่า และทำเลที่ตั้ง
    จึงช่วยให้มีโอกาส “จ่ายเงินปันผล” อย่างสม่ำเสมอได้

    ที่น่าสนใจคือ KTBSTMR REIT ยังมีการรับประกันรายได้ปีแรก จากเจ้าของทรัพย์สินที่มีความน่าเชื่อถือ
    นั่นคือ

    -บริษัท เอสที พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ โลจิสติกส์ จำกัด (STPL) ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และให้บริการเกี่ยวกับงานโลจิสติกส์ เป็นบริษัทในกลุ่ม STPI และ STEC

    -กลุ่มบริษัท ริช แอสเซ็ท ผู้มีประสบการณ์ด้านการดูแลสินทรัพย์ประเภทโรงงานและคลังสินค้าในพื้นที่บางพลี มากว่า 20 ปี และได้พัฒนาโครงการมาแล้วกว่า 200,000 ตารางเมตร รวม 81 แห่ง
    และยังเป็นผู้บริหารทรัพย์สินในส่วนของตนให้กับกองทรัสต์อีกด้วย
    จึงมั่นใจได้ว่า การบริหารจัดการทรัพย์สินจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

    จุดนี้เองที่ทำให้ KTBSTMR REIT คาดว่าจะสามารถจ่ายอัตราผลตอบแทนแก่นักลงทุนได้ 7.02% ในปีแรก
    ขณะที่ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนตลาด อยู่ที่ 5.47%

    นอกจาก “การกระจายความเสี่ยงที่ดี” และ “การรับประกันรายได้ปีแรก”
    จะทำให้ KTBSTMR REIT มีอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจแล้ว

    รู้หรือไม่ว่า KTBSTMR REIT ยังเรียกจดจำนองหลักประกันทรัพย์สิน
    ซึ่งมีมูลค่ารวมสูงกว่ามูลค่าสิทธิการเช่า 30 ปี อีกด้วย

    พูดง่าย ๆ ว่า หากทรัพย์สินข้างต้น ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับกอง REIT ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่างอายุสัญญาเช่า และส่งผลให้ REIT ไม่สามารถจัดหาประโยชน์บนทรัพย์สินที่เช่าได้ครบ 30 ปี

    เจ้าของทรัพย์สินจะต้องคืนเงินค่าเช่าตามมูลค่าสิทธิการเช่าคงเหลือ ณ ขณะนั้น
    ซึ่งจะคำนวณตามวิธีเส้นตรง ให้แก่กอง REIT
    หากไม่ชำระ กอง REIT สามารถบังคับหลักประกัน และบังคับขายสินทรัพย์
    ซึ่งมูลค่าของหลักประกันจะครอบคลุมมูลค่าสิทธิการเช่า (คงเหลือ) ตลอดอายุการลงทุน

    จึงสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ว่า..
    การลงทุน KTBSTMR REIT ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์เลวร้ายใดก็ตาม
    นักลงทุนจะได้รับ “เงินค่าเช่าตามมูลค่าสิทธิการเช่าคงเหลือ” อย่างแน่นอน

    แล้วการเติบโตของ KTBSTMR REIT ในอนาคตเป็นอย่างไร ?

    สำหรับทรัพย์สินประเภทคลังสินค้าและโรงงาน
    ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    ปกติแล้วจะมีการปรับขึ้นค่าเช่าเฉลี่ย 5-10% ต่อรอบสัญญาทุก ๆ 3 ปี
    ทำให้ผลตอบแทนของกอง REIT มีแนวโน้มสูงขึ้นในอนาคต

    ขณะเดียวกัน ทรัพย์สินประเภทอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า
    ที่ตั้งอยู่ติดกับ BTS สถานีพระโขนง ก็ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
    จากการขยายตัวของความเจริญจากสุขุมวิท
    และแปลงที่ดินที่มีจำกัด ยากจะขึ้นโครงการใหม่ ๆ
    ประกอบกับราคาค่าเช่าที่ต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้มีโอกาสที่ค่าเช่าในอนาคตจะปรับตัวสูงขึ้นได้

    ที่น่าสนใจคือ KTBSTMR REIT ยังมีอิสระในการเลือกลงทุนทรัพย์สินใหม่ ๆ
    เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตได้ ไม่จำกัดว่าต้องเลือกทรัพย์สินจากเจ้าของเจ้าใดเจ้าหนึ่ง

    ซึ่งภายใน 5 ปีนับจากนี้..
    KTBSTMR REIT มีแผนจะสร้างการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินกอง REIT
    จาก 3,015 ล้านบาท ไปสู่ 20,000 ล้านบาท
    โดยมีการศึกษาโครงการต่าง ๆ มากกว่า 40 โครงการ
    เพื่อคัดสรรทรัพย์สินที่เหมาะสมที่สุด มาอยู่ในกอง REIT อีกด้วย

    มาถึงตรงนี้ คงเห็นแล้วว่า..

    ภายใต้ช่วงเวลาวิกฤติ ก็สามารถเป็นโอกาสในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ดีได้
    หากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์นั้น.. ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี

    เช่นเดียวกัน KTBSTMR REIT ที่ถูกออกแบบเพื่อรองรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์
    ที่สร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน ครบทั้ง 3 ประการ นั่นคือ

    -มีหลักประกันเป็นการจดจำนอง
    -ลดความเสี่ยง สร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ ด้วยการกระจายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ
    -เป็นการลงทุนที่มีการเติบโตในอนาคต

    KTBSTMR REIT จึงกลายเป็นหนึ่งโอกาสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ดี ภายใต้วิกฤติโควิด 19 นี้ นั่นเอง..

    สำหรับใครที่สนใจลงทุนในกอง KTBSTMR REIT
    สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ktbstmr.com หรือ www.ktbstreit.co.th

    โดยจะเปิดให้จองซื้อในวันที่ 19-29 ตุลาคม 2564 นี้ สามารถติดต่อจองซื้อได้ที่ 02-351-1800 กด 5 หรือสามารถลงทะเบียนจองซื้อ KTBSTMR ได้ที่ http://bit.ly/3bSk1oy
    ที่สำคัญ เปิดพอร์ตกับบริษัทหลักทรัพย์ใดก็สามารถจองซื้อได้ แต่หากยังไม่มีพอร์ตสามารถเปิดบัญชีออนไลน์ ยืนยันตัวตนด้วย NDID กับ KTBST SEC ได้เลย

    คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน
    ที่มา: หนังสือชี้ชวนเสนอขายหน่วยทรัสต์ เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เคทีบีเอสที มิกซ์ ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564

  • stec 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文

    2021-07-03 13:00:42
    有 5,577 人按讚

    STECH ธุรกิจคอนกรีตรายได้พันกว่าล้าน กำลังจะ IPO
    STECH x ลงทุนแมน
    ศูนย์การค้า บ้านจัดสรร รถไฟฟ้ารางคู่ มอเตอร์เวย์
    รู้หรือไม่ว่า จุดเริ่มต้นของการก่อสร้างโครงการเหล่านี้
    ล้วนต้องผ่านงานฐานราก ที่ต้องใช้วัสดุก่อสร้าง อาทิ เสาเข็มคอนกรีต, คานสะพานคอนกรีต
    เพื่อช่วยรับน้ำหนักโครงสร้างมาสู่พื้นระดับชั้นดินแข็งได้อย่างปลอดภัย

    แน่นอนว่า ยิ่งโครงการเหล่านี้ มีจำนวนมากขึ้นเท่าไร
    หนึ่งธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์ตามไปด้วยก็คือ ธุรกิจผลิตสินค้าคอนกรีตอัดแรง
    ซึ่งล่าสุดได้มีหนึ่งบริษัทมหาชนกำลังจะ IPO เร็ว ๆ นี้
    นั่นคือ บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า STECH

    ความน่าสนใจของ STECH จะเป็นอย่างไร ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

    ย้อนกลับไปในปี 2544 STECH ถูกก่อตั้งขึ้นในนาม สระบุรีเทคนิคคอนกรีต
    เพื่อทำธุรกิจโรงงานผลิตสินค้า คอนกรีตอัดแรง ภายใต้เครื่องหมายการค้า STEC
    และจำหน่ายให้กับภาครัฐและภาคเอกชน
    (ตราสินค้าของบริษัทคือ STEC ส่วนชื่อย่อหุ้นคือ STECH)

    ที่น่าสนใจคือ คอนกรีตอัดแรง ที่ว่านี้
    เกิดจากการใช้กรรมวิธีทางวิศวกรรมในการใช้ลวดแรงดึงสูงบีบอัดคอนกรีต และใช้คอนกรีตที่มีกำลังอัดสูงเป็นพิเศษ จึงมีประสิทธิภาพในการใช้งานสูง ไม่เหมือนกับการเทคอนกรีตแล้วรอให้แห้งแบบทั่วไป

    จากนั้น STECH ก็เริ่มต่อยอดทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทั่วไปเพิ่มเติม..

    แต่ในปี 2561 ก็ได้หยุดรับงานรับเหมาก่อสร้างทั่วไป
    เหลือเพียงเฉพาะงานติดตั้งระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง และเคเบิลใยแก้วนำแสง
    โดยมีลูกค้าคนสำคัญคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่
    อาทิ ช.การช่าง, อิตาเลียนไทย, ออริจิ้น, ซีพี, ปตท. และบริษัทชั้นนำต่าง ๆ

    ส่วนธุรกิจคอนกรีตอัดแรง ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง..

    ปัจจุบัน STECH มีโรงงานผลิตสินค้าคอนกรีตอัดแรง 9 แห่ง
    ตั้งอยู่ในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    ซึ่งเป็นทำเลของเมกะโปรเจกต์สำคัญระดับประเทศ
    อาทิ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC), โครงการรถไฟความเร็วสูง (กรุงเทพฯ-หนองคาย)

    ไม่เพียง STECH จะมีทำเลที่ตั้งโรงงานสอดรับกับเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ
    แต่ยังผลิตและพัฒนาสินค้าคอนกรีตอัดแรง เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย อีกด้วย

    โดย STECH มีสินค้าและบริการด้านคอนกรีตอัดแรง 6 กลุ่มหลัก นั่นคือ

    1. เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง

    ซึ่งก็คือเสาเข็มของอาคาร,ตึก, คอนโดมิเนียม,โรงงาน
    ไปจนกระทั่ง บ้านเรือนที่เราอยู่ ล้วนต้องใช้เสาเข็ม และแผ่นพื้นคอนกรีตอัดแรง
    เรียกว่าเป็นวัสดุสำคัญของงานก่อสร้างฐานราก
    ที่จะรองรับกลุ่มลูกค้าอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท
    อาทิ ค้าปลีก บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์,โครงการจัดสรรบริทาเนีย

    นอกจากนี้ ยังใช้เป็นเสาเข็มกำแพงกันดินที่อยู่ตามริมน้ำ ริมทะเล ได้อีกด้วย

    2. เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประกอบเสาไฟฟ้า

    ซึ่งก็คือเสาไฟฟ้าที่มีตราปั้ม STEC ทั้งขนาดเล็กใหญ่ พบได้บริเวณข้างถนนหรือหน้าบ้าน
    โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักก็คือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)

    3. ผลิตภัณฑ์คานสะพาน และพื้นสะพานคอนกรีตอัดแรง

    เราคงเคยเห็นคานสะพาน ที่มีลักษณะเป็นซี่ ๆ ยาวพาดเป็นช่วง ๆ บริเวณใต้สะพาน
    ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในการรับน้ำหนักของตัวสะพาน และการจราจรบนสะพาน
    รองรับกลุ่มลูกค้าภาครัฐ อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางจิระ-ขอนแก่น, โครงการมอเตอร์เวย์เส้นบางปะอิน-โคราช

    4. เสาเข็มสปัน (เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยง)

    เป็นเสาเข็มชนิดพิเศษที่ใช้การปั่นให้คอนกรีตอัดแน่นอยู่ในแบบผลิต
    ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สูงกว่าเสาเข็มแบบธรรมดา ทำให้รับน้ำหนักได้มากกว่า
    นิยมใช้ในโครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีผู้ผลิตเสาเข็มสปันเพียง 7 รายเท่านั้น

    รองรับกลุ่มลูกค้าภาครัฐ อาทิ โครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราช, สายบางใหญ่-กาญจนบุรี, อาคารจอดรถสนามบินดอนเมือง, อาคารที่พักผู้โดยสารสนามบินขอนแก่น

    นอกจากนี้ เสาเข็มสปัน ยังถูกประยุกต์ใช้ในงานก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมภาคเอกชน
    อาทิ คอนโดมิเนียม Origin, คอนโดมิเนียม The Matt อีกด้วย

    5. ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอื่น ๆ
    อาทิ แผ่นพื้น, รางระบายน้ำ, บ่อน้ำพักคอนกรีต และแผ่นพื้นท้องเรียบ

    6. บริการตอกเสาเข็ม
    โดยมีเครื่องจักรหลายรูปแบบ ทั้งปั้นจั่นโครงแบบธรรมดา, ปั้นจั่นล้อแทรค, เครื่องตอกระบบไฮดรอลิก, เครื่องเจาะนำ และเครื่องกดเสาเข็ม

    จะเห็นได้ว่า สินค้าและบริการด้านคอนกรีตอัดแรงของ STECH
    สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ได้อย่างดี

    แล้วผลประกอบการ STECH เป็นอย่างไร ?

    ปี 2563 STECH มีรายได้รวม 1,550 ล้านบาท
    และมีกำไรสุทธิ ​141 ล้านบาท

    โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจาก ธุรกิจสินค้าและบริการด้านคอนกรีตอัดแรง 93%
    ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 6% และรายได้อื่น ๆ 1%
    พูดง่าย ๆ ว่ารายได้หลักของ STECH มาจากธุรกิจสินค้าและบริการด้านคอนกรีตอัดแรง

    นั่นหมายความว่า การเติบโตของ STECH ในอนาคต
    ย่อมขึ้นอยู่กับกำลังการผลิตสินค้าคอนกรีตอัดแรงเป็นหลัก
    ด้วยเหตุนี้ STECH จึงต้องการจะ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์
    เพื่อนำทุนไปขยายธุรกิจสินค้าคอนกรีตอัดแรง นั่นเอง

    โดยจะสร้างโรงงานเพิ่มเติม เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าคอนกรีตอัดแรง
    จำนวน 2 แห่ง ในทำเลชลบุรี, และมุกดาหาร นอกจากนี้ ยังมีโครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานที่ดอนพุด
    รวมทั้งการชำระเงินกู้ระยะสั้น, การพัฒนาวัตถุดิบในการผลิต และเป็นเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจ

    มาถึงตรงนี้ ก็น่าติดตาม STECH กันต่อไปว่า
    การเติบโตของธุรกิจสินค้าคอนกรีตที่เริ่มต้นในจังหวัดสระบุรีเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา
    เมื่อก้าวมาเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์อย่างเต็มตัว
    STECH จะก้าวสู่การเป็น ผู้นำในกลุ่มธุรกิจสินค้าคอนกรีตอัดแรงต่อไปอย่างไร..

    คำเตือน: บทความนี้ไม่ได้เป็นการชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้นนี้แต่อย่างใด การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

    References:
    -https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=332305
    -http://www.stec.co.th/index.php

  • stec 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文

    2020-07-23 10:49:01
    有 5,574 人按讚

    รับเหมาก่อสร้าง อิตาเลียนไทย กำลังเจอความท้าทาย /โดย ลงทุนแมน
    ถ้าถามว่า บริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีใครบ้าง
    หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ หรือ ITD รวมอยู่ด้วย

    ที่ผ่านมาทั้งงบประมาณของรัฐบาลที่ล่าช้า และผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของ ITD กำลังเจอความท้าทายพอสมควร

    เรื่องนี้เป็นอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
    มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ปี 2562 มีบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 21 บริษัทมีรายได้รวมกันทั้งหมด 208,979 ล้านบาท

    โดย 3 อันดับแรกที่มีรายได้สูงสุดคือ

    บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ITD รายได้ 63,007 ล้านบาท
    บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) CK รายได้ 33,384 ล้านบาท
    บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) STEC รายได้ 24,797 ล้านบาท

    ถ้าดูในแง่ของรายได้จะพบว่า ITD มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด หรือกว่า 30% ของรายได้รวมของบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

    แต่วันนี้ธุรกิจของ ITD ดูเหมือนกำลังเจอความท้าทายจนทำให้บริษัทมีผลขาดทุนในปีล่าสุด ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี

    ปี 2561 รายได้ 61,894 ล้านบาท กำไร 306 ล้านบาท
    ปี 2562 รายได้ 63,213 ล้านบาท ขาดทุน 37 ล้านบาท

    เรื่องนี้ จึงทำให้มูลค่ากิจการ (Market Cap) ของ ITD ลดลงเหลือเพียง 6,000 ล้านบาท น้อยกว่า CK คู่แข่งที่มีรายได้อันดับที่ 2 ที่มีมูลค่ากิจการประมาณ 34,000 ล้านบาท

    ซึ่งถ้ามองที่ตัวกิจการ CK จะมีอัตรากำไรสุทธิที่สูงกว่าของ ITD เนื่องจาก CK ยังมีธุรกิจสาธารณูปโภคอื่นๆ ที่ลงทุนผ่านบริษัทลูก เช่น ธุรกิจน้ำประปา ธุรกิจทางด่วนและรถไฟฟ้า ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ที่มีรายได้แน่นอน และสามารถช่วยลดความผันผวน เมื่อธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งเป็นธุรกิจหลักอยู่ในช่วงชะลอตัว

    ปัจจุบัน ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างนับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูง

    จากข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ปัจจุบัน มีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจก่อสร้างในประเทศไทยรวมกันไม่ต่ำกว่า 500 บริษัท แต่นอกจากคู่แข่งที่มีจำนวนมากแล้ว ปริมาณงานในมือ (Backlog) ซึ่งเป็นงานที่จะถูกรับรู้รายได้ในอนาคตของ ITD ถือว่าลดลงเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา นั่นหมายความว่า ถ้าไม่มีการเซ็นสัญญาโครงการใหม่ๆ เข้ามา รายได้ในบริษัทก็จะลดลงในอนาคต

    ปี 2561 ปริมาณงานในมือที่รอรับรู้รายได้ 297,498 ล้านบาท
    ปี 2562 ปริมาณงานในมือที่รอรับรู้รายได้ 260,161 ล้านบาท

    โดยรายได้ของ ITD จะแบ่งเป็น
    งานจากภาครัฐ 70%
    ภาคเอกชน 30%

    งานโครงการในประเทศ 67%
    งานโครงการต่างประเทศ 33%

    ดูแบบนี้จะเห็นว่า ITD พึ่งพางานจากภาครัฐ และส่วนใหญ่เป็นงานในประเทศ ดังนั้น การเข้าไปรับงานใหม่ๆ จะขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะงบประมาณการลงทุนในโครงการต่างๆ

    ที่ผ่านมาความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณของรัฐบาล ทำให้การจัดสรรงบประมาณสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ล่าช้าตามไปด้วย

    เรื่องนี้จึงทำให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างหลายแห่งรวมทั้ง ITD ที่พึ่งพางานจากภาครัฐ ได้รับผลกระทบในช่วงที่ผ่านมา

    อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การระบาดของ COVID-19 ก็ส่งผลกระทบต่อการทำงานก่อสร้างของบริษัทที่ต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะที่อินเดีย ในปี 2562 รายได้ของ ITD จากโครงการในอินเดียมีมูลค่า 12,800 ล้านบาท

    ปัจจุบัน อินเดีย เป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อดังกล่าวมากกว่า 900,000 คน สูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก เรื่องนี้ทำให้ธุรกิจก่อสร้างของ ITD ในอินเดียต้องหยุดดำเนินการและโครงการบางแห่งถูกเลื่อนออกไป

    โดยบริษัทได้พยายามเจรจาขอยืดระยะเวลาการดำเนินโครงการหรือขอค่าชดเชยจากเจ้าของโครงการ เนื่องจากผลกระทบดังกล่าว ซึ่งก็ต้องตามดูกันต่อไปว่า สุดท้ายจะได้ข้อสรุปอย่างไร

    พอเรื่องเป็นแบบนี้ ก็น่าจะบอกได้ว่า
    ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหลายแห่งรวมถึง ITD ด้วย

    แต่ด้วยความที่บริษัทเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศและมีประสบการณ์ในธุรกิจกว่า 60 ปี เชื่อว่า บริษัทก็น่าจะได้รับงานโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการของภาครัฐอีกในอนาคต

    ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
    รู้ไหมว่า ITD ก่อตั้งโดยนายแพทย์ชาวไทยที่ชื่อว่า คุณชัยยุทธ กรรณสูต ที่แม้ตนเองจะเรียนจบแพทย์ แต่กลับมีความสนใจในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างมาก

    ต่อมาคุณชัยยุทธ ได้ไปชักชวนคุณจิโอจิโอ เบลลินเจียรี่ วิศวกรชาวอิตาเลียน มาร่วมกันก่อตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งนี่คือ เหตุผลที่ว่าทำไมบริษัทนี้ จึงมีชื่อว่า อิตาเลียนไทย นั่นเอง..

    หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้นเหล่านี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
    ╔═══════════╗
    อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
    มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -แบบฟอร์ม 56-1 ปี 2562, บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
    -https://www.worldometers.info/coronavirus/
    -https://www.set.or.th/dat/news/202005/20061805.pdf
    -คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2562, บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
    -คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 2563, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)

你可能也想看看

搜尋相關網站