“หลักไม่มีความเสมอภาคในสิ่งที่ผิดกฎหมาย
(No equality in illegality)”

“ข้อที่ผู้ร้องกล่าวอ้างนั้น เป็นเพียงความประสงค์จะให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ปฏิบัติต่อตนเหมือนดังที่ปฏิบัติต่อบุคคลอื่นตามหลักความเสมอภาค แต่การที่บุคคลใดจะกล่าวอ้างเพื่อเรียกร้องให้ปฏิบัติต่อตนเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลอื่นตามหลักความเสมอภาคนั้น ต้องเป็นกรณีที่ผู้ถูกปฏิบัติมีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่ได้รับสิทธินั้น แต่กรณีของผู้ร้องซึ่งควรจะถูกกล่าวหาว่ากระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ย่อมต้องอยู่บนพื้นฐานของพยานหลักฐานที่ได้จากการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเป็นสำคัญ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่อาจขอให้ตนไม่ต้องถูกดำเนินคดีเพียงยกข้ออ้างว่ามีการไม่ดำเนินคดีกับผู้อื่นไม่เป็นเช่นเดียวกันกับการปฏิบัติกับตนได้ “
(คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ ๒๒/๒๕๖๐)

Donald Trump解散慈善基金會。

Underwood said Tuesday that her investigation found “a shocking pattern of illegality involving the Trump Foundation — including unlawful coordination with the Trump presidential campaign, repeated and willful self-dealing, and much more.”

https://www.washingtonpost.com/…/dd3f5030-021b-11e9-9122-82…

“หลักไม่มีความเสมอภาคในสิ่งที่ผิดกฎหมาย”
(No equality in illegality)

คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ ๒๒/๒๕๖๐

คดีนี้ พนักงานอัยการ ยื่นฟ้องนายตำรวจ อ. เป็นจำเลย ในข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งเป็นคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดี

คดีนี้มีการต่อสู้มาถึงชั้นศาลฎีกา
โดยนายตำรวจ อ. ต่อสู้ว่า การดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญในหลายกรณี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในชั้นการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเท็จจริงว่า ดาบตำรวจ ท. กระทำความผิดร่วมกับตนเอง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่เห็นไต่สวนข้อเท็จจริงและแจ้งข้อกล่าวหากับดาบตำรวจ ท. แต่อย่างใด

และกลับนำถ้อยคำของดาบตำรวจ ท. มาวินิจฉัยชี้มูลความผิดตนเอง การกระทำเช่นนี้ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓ วรรคสอง และมาตรา ๒๗ ในประเด็นเรื่องการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม และไม่เสมอภาคกัน

คดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้นำ “หลักไม่มีความเสมอภาคในสิ่งที่ผิดกฎหมาย” (No equality in illegality) มาปรับใช้กับข้อเท็จจริง

โดยศาลเห็นว่า

ข้อที่ผู้ร้องกล่าวอ้างนั้น เป็นเพียงความประสงค์จะให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ปฏิบัติต่อตนเหมือนดังที่ปฏิบัติต่อบุคคลอื่นตามหลักความเสมอภาค แต่การที่บุคคลใดจะกล่าวอ้างเพื่อเรียกร้องให้ปฏิบัติต่อตนเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลอื่นตามหลักความเสมอภาคนั้น ต้องเป็น “กรณีที่ผู้ถูกปฏิบัติมีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่ได้รับสิทธินั้น” แต่กรณีของผู้ร้องซึ่งควรจะถูกกล่าวหาว่ากระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ย่อมต้องอยู่บนพื้นฐานของพยานหลักฐานที่ได้จากการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเป็นสำคัญ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่อาจขอให้ตนไม่ต้องถูกดำเนินคดีเพียงยกข้ออ้างว่ามีการไม่ดำเนินคดีกับผู้อื่นไม่เป็นเช่นเดียวกันกับการปฏิบัติกับตนได้

สนใจศึกษาคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ ๒๒/๒๕๖๐ กดลิงค์ (ประเด็นที ๒ ของคดี)
http://www.constitutionalcourt.or.th/occ_web/download/article/article_20180103092407.pdf