[爆卦]Daimler-Benz是什麼?優點缺點精華區懶人包

雖然這篇Daimler-Benz鄉民發文沒有被收入到精華區:在Daimler-Benz這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章

在 daimler-benz產品中有9篇Facebook貼文,粉絲數超過23萬的網紅TCar 試車頻道,也在其Facebook貼文中提到, 可用於軍事、亦能藏於民居的Unimog 75歲啦~快來看看這群大傢伙新舊世代的交替! 【試駕編輯的一天】: https://youtu.be/8e2ecJX_4uo 【Mercedes-AMG 53 油電狂想曲】: https://youtu.be/s8NbjHlQLqU...

 同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過0的網紅7Car小七車觀點,也在其Youtube影片中提到,現行代號 C257 的第三代 Mercedes-Benz CLS-Class 首次於 2018 年 1 月舉行的底特律車展進行全球首發,按照三年一次小改款的傳統,日前官方也釋出了新年式車型,導入新式的水箱護罩與前保險桿設計,內裝也同步更新,並換上最新的汽、柴油動力科技 #CLS #Benz #小改...

daimler-benz 在 ลงทุนแมน Instagram 的最讚貼文

2020-05-10 23:22:59

ทำเงินให้เหมือนปุ๋ยแบบ TATA GROUP / โดย ลงทุนแมน “เงินมันก็เหมือนปุ๋ย มันจะเหม็นถ้าถูกกองอยู่เฉยๆ แต่มันจะเติบโต ถ้าเรากระจายมันออกไป..” ประโยคนี้เป็น...

  • daimler-benz 在 TCar 試車頻道 Facebook 的最讚貼文

    2021-09-21 19:00:27
    有 75 人按讚

    可用於軍事、亦能藏於民居的Unimog 75歲啦~快來看看這群大傢伙新舊世代的交替!

    【試駕編輯的一天】:
    https://youtu.be/8e2ecJX_4uo

    【Mercedes-AMG 53 油電狂想曲】:
    https://youtu.be/s8NbjHlQLqU

  • daimler-benz 在 สมองไหล Facebook 的最讚貼文

    2021-08-15 21:38:15
    有 4,141 人按讚

    BMW คือ รถในฝันของผมตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และในวันนี้ความฝันของผมก็เป็นจริงแล้วในวัย 24 ปี ถือว่าเร็วเกินฝัน เพราะถ้าย้อนกลับไปสมัยเรียน หรือ ปีที่แล้ว ด้วยราคาของรถ และ ความเป็นไปได้ของรายได้ ณ ตอนนั้น ผมคิดว่าตัวเองจะได้นั่งรถ BMW อย่างเร็วสุดก็คงอายุ 40 ปี ที่สำคัญ คือ ผมถอยมันออกมาในวันที่ 13 สิงหาคม ซึ่งตรงกับวันคนถนัดซ้ายสากลพอดี (เพราะผมถนัดซ้าย)
    .
    อย่างไรก็ตาม หากการซื้อรถ BMW คันนึง เป็นเพียงแค่การได้เป็นเจ้าของรถหรู ก็คงไม่ใช่ สมองไหล เพราะแน่นอนว่าการพิชิตรถในฝันในครั้งนี้ มันได้ให้บทเรียนทั้งในด้าน การเงิน ธุรกิจ การตลาด และ แรงบันดาลใจ กับผมมากมาย ผมจึงกลั่นออกมาเป็น 3 ข้อคิด มาเล่าให้ทุกคนฟังในบทความนี้ครับ
    .
    1. เมื่อไหร่ที่คุณบอกตัวเองว่า “คุณจ่ายไหว” นั่นคือ สัญญาณว่า “คุณจ่ายไม่ไหว” เพราะถ้าคุณจ่ายไหวจริงๆ คุณต้องสามารถซื้อของสิ่งนั้นได้เลยทันทีโดยไม่ต้องถามคำถามนี้กับตัวเอง เพราะมันไม่ได้มีผลอะไรต่ออนาคตของคุณ เหมือนกับที่เวลาที่คุณซื้อหมากฝรั่งนั่นแหละ คุณไม่มานั่งคิดหรอก ว่าคุณจะจ่ายค่าหมากฝรั่งไหวไหม
    .
    นี่คือ คำพูดที่ M.J. DeMarco ได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือ The Millionaire Fastlane ซึ่งผมคิดว่าจริงมากๆ เพราะผมเคยมีประสบการณ์ถามตัวเองว่า “จ่ายไหวไหม คงจ่ายไหวแหละ” เวลาจะซื้อของ โดยเฉพาะการซื้อผ่อน และ สุดท้ายก็ต้องผ่อนแบบทุลักทุเลจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดทุกที
    .
    นับตั้งแต่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ทุกครั้งที่ผมมีคำถามในหัวระหว่าง “จ่ายไหว” กับ “จ่ายไม่ไหว” (ซึ่งก็มักจะลงเอยด้วยการหลอกตัวเองว่า “จ่ายไหว”) ผมจะไม่ซื้อของสิ่งนั้นอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอะไรที่ไม่ใช่ทรัพย์สิน หรือ การลงทุน
    .
    ดังนั้น ทุกครั้งที่ผมจะซื้อของ ไม่ว่าของสิ่งนั้น จะเล็ก จะใหญ่ จะถูก หรือ จะแพง ผมจะต้องมีเงินสดพร้อม และ ไม่มีคำถามว่าจ่ายไหวไหม
    .
    ทุกครั้งที่ผมจะซื้ออะไรก็ตาม ผมจะต้องเลือกระหว่าง “ซื้อสด” หรือ “ซื้อผ่อน” เท่านั้น ไม่ใช่ เลือกได้แค่ “ซื้อผ่อน” แล้วมานั่งคิดว่าผ่อนไหวไหม เพราะจุดจบ คือ การใช้ชีวิตด้วยความกังวลทุกที ฉะนั้น ถ้าเป็นแบบนี้อย่าฝืนครับ ถ้าวิธีทำเงินเดิมมันซื้อไม่ได้ ก็ไปเปลี่ยนวิธีทำเงินก่อน แล้วค่อยมาซื้ออีกที
    .
    การซื้อรถ BMW ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมมีเงินพร้อมสำหรับซื้อสดได้ทันทีโดยไม่เดือดร้อนชีวิตในอนาคต ไม่ว่าจะเจอวิกฤตอะไรก็ตาม ซึ่งผมก็ใช้วิธีนี้มาตั้งแต่ซื้อคอมพิวเตอร์ ซื้อกล้อง และ ทุกอย่างในชีวิตแล้ว
    .
    ผมจึงเดินเข้าไปในโชว์รูม แล้วถามเซลล์ว่า “ช่วยอธิบายข้อเสนอ ระหว่าง ซื้อสด กับ ซื้อผ่อน (ผมขอดาวน์ 60%)ให้ผมหน่อย เพราะผมอยากรู้ว่า แบบไหนดีกว่ากัน”
    .
    ปรากฎว่า
    - ข้อเสนอในการซื้อเงินสด คือ ได้ส่วนลด 100,000 บาท
    - ส่วนข้อเสนอในการซื้อผ่อน คือ ได้ส่วนลด 50,000 บาท และ ผ่อน 0%
    .
    ซึ่งปกติ เวลาเราผ่อน เราจะต้องเสียดอกเบี้ยประมาณ 2-3 % ซึ่งผมอยากจะขอผ่อนแค่ 4 ปี นั่นหมายความว่า ผมสามารถประหยัดเงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 120,000 บาท และ ได้ส่วนลดอีก 50,000 บาท
    .
    คำถาม คือ ถ้าผ่อนไม่ต้องเสียดอก แถมได้ส่วนลดน้อยกว่าซื้อสดแค่ครึ่งเดียว แล้วจะจ่ายเงินสดไปทำไม ?
    .
    ผมจึงเลือกซื้อผ่อน โดยขอดาวน์ 60% เพราะไม่อยากผ่อนต่อเดือนสูง (ประมาณ 2X,XXX) และ ขอผ่อน 4 ปี 1,000,000 บาท เพราะไม่อยากผ่อนยาว
    .
    และ แน่นอนว่า เมื่อเราซื้อของในจุดที่เราเลือกได้ว่าจะซื้อสด หรือ ซื้อผ่อน และ ไม่มีคำถามในหัวว่า จ่ายไหวไหม เราก็จะได้เป็นเจ้าของมันแบบสบายใจ ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง และ ใช้ชีวิตต่อไปด้วยความมั่นใจ
    .
    2. พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไรก็ตาม มันจึงทำให้บทบาทหน้าที่ของธุรกิจ โดยเฉพาะฝ่ายขาย หรือ เซลล์ ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย ซึ่งหากใครดื้อด้าน ยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ ทำธุรกิจแบบเดิมๆ ทำงานแบบเดิมๆ ก็เตรียมตัวหายไปจากชีวิตของลูกค้าได้เลย
    .
    ยกตัวอย่าง การตัดสินใจซื้อรถ BMW ซึ่งในครั้งนี้ตัวผมได้ใส่หมวกเป็นลูกค้าและสัมผัสมันโดยตรง
    .
    คือ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน ถ้าคุณจะซื้อรถสักคันหนึ่ง สิ่งที่คุณทำก็คือ การถามข้อมูลจากเพื่อน ถามพ่อแม่ ถามคนใกล้ตัวที่มีความรู้ จากนั้นก็ตระเวณไปตามโชว์รูมต่างๆ เพื่อตัดสินใจอีกครั้ง
    .
    ซึ่งตัวแปรที่มีผลในการตัดสินใจซื้อรถของลูกค้า ก็คือ เซลล์
    .
    ดังนั้น โชว์รูมไหน มีเซลล์ที่ขายเก่ง พูดเก่ง นำเสนอเก่ง ให้รายละเอียดเก่ง ปกปิดจุดอ่อนเก่ง ก็จะได้เงินของลูกค้าไป ยิ่งถ้าเซลล์สามารถทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ก่อนโดยที่ไม่ยอมให้เขาไปเจอข้อเสนออื่นที่ดีกว่าจากคู่แข่งด้วยยิ่งดี
    .
    แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว เพราะก่อนที่ลูกค้าจะซื้ออะไร เขาจะ “ค้นหาข้อมูล” จากออนไลน์ก่อนเสมอ ทั้งรุ่นรถ เปรียบเทียบราคา จุดเด่น จุดด้อย และ ข้อเสนอต่างๆ
    .
    ส่วนตัวก่อนที่ผมจะตัดสินใจซื้อ ผมได้ศึกษาข้อมูล ดูรีวิวมาเป็นเดือน บอกเลยครับว่า ไม่มีข้อมูลจากเว็บไหน หรือ คลิปไหนจากยูทูปที่ผมยังไม่ดู แต่ละคลิปผมดูซ้ำมากกว่า 5 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลรายละเอียดตัวรถ ความรู้สึกในการขับขี่ ความปลอดภัย ข้อดี ข้อเสีย ราคา และ ข้อเสนอต่างๆ ผมดูมาหมดแล้ว จนมาจบที่รถรุ่น Bmw 220i gran coupe m sport
    .
    เห็นไหมครับว่า ลูกค้าตัดสินใจซื้อตั้งแต่บนออนไลน์แล้ว เขาไม่เดินไปฟังเซลล์แล้วตัดสินใจที่หน้าร้านอีกแล้ว ที่สำคัญคือ เซลล์ที่เราเลือกจะติดต่อไป ก็คือ คนที่เขาทำคอนเทนต์ ให้ข้อมูล รีวิว ให้กับเราได้ดีที่สุด ละเอียดที่สุด น่าเชื่อถือที่สุด โดยเฉพาะคนที่บอกข้อเสียด้วย ไม่ใช่อวยอย่างเดียว
    .
    นั่นหมายความว่า ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไรอยู่ ถ้าคุณไม่ทำ “ออนไลน์” คุณก็จะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาที่ลูกค้ากำลังตัดสินใจได้ และ ถ้าคุณไม่เข้าไปอยู่ในช่วงที่ลูกค้าตัดสินใจ มันก็ไม่มีทางเลยที่ลูกค้าจะเดินไปหาคุณที่หน้าร้าน เพื่อจ่ายเงินให้กับคุณ
    .
    เพราะคนเราจะซื้อของกับคนที่เรา รู้จัก ไว้ใจ และ เห็นว่าเขาโปร่งใส เท่านั้น ซึ่งการทำคอนเทนต์บนออนไลน์ ก็เหมือนการทำความรู้จักลูกค้า ที่สำคัญคือ การทำความรู้จักบนออนไลน์ มันง่ายกว่าต่อหน้า เพราะลูกค้าจะไม่มีกำแพงปิดกั้นคุณ เพราะเขาไม่ต้องกลัวว่าจะโดนคุณขายของ หรือ จะโดนคุณหลอก เขาสามารถเลือกได้ว่าจะดูคุณไหม ถ้าดีก็ดูต่อ ไม่ดีก็แค่เปลี่ยนไปดูคนอื่น มันจึงทำให้ลูกค้าเปิดใจง่ายกว่า
    .
    แต่การทำความรู้จักต่อหน้า ลูกค้าจะตั้งกำแพงขึ้นมาก่อน เขาจะมีอคติกับทุกคำพูดของคุณว่าจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อดี เขาจะมีข้อโต้แย้งในหัวขึ้นมาตลอดเวลา และ ไม่เปิดใจง่ายๆ
    .
    ถ้าลูกค้าเขาเข้ามาดู ฟัง อ่าน คอนเทนต์ของคุณในออนไลน์มากๆ มันก็เหมือนเขารู้จักคุณ คุณเป็นเพื่อนเขา ในระดับนึงแล้ว แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่จ่ายเงินให้กับคุณล่ะ จริงไหม ?
    .
    ต่อมาในหมวกของเซลล์ ต้องบอกว่าเมื่อพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าเปลี่ยนไป บทบาทหน้าที่ของเซลล์ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน คือ เซลล์ไม่ได้มีหน้าที่ขายเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะหน้าที่ขาย หน้าที่นำเสนอ หน้าที่โน้มน้าว ให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อมันได้ย้ายไปอยู่ในคอนเทนต์บนออนไลน์แล้ว
    .
    แต่หน้าที่ของเซลล์ คือ
    .
    (1) อำนวยความสะดวก คือ คุณไม่ต้องพูดโน้มน้าวใดๆ เพราะลูกค้าเขาตัดสินใจมาตั้งแต่ที่บ้านแล้ว คุณไม่ต้องนำเสนอข้อมูลใดๆ เพราะเขาดูมาหมดแล้ว คุณไม่ต้องปกปิดข้อเสียใดๆ เพราะมันจะยิ่งทำให้เขาเห็นว่าคุณไม่จริงใจ เพราะไม่มีอะไรเกี่ยวกับสินค้าของคุณที่ลูกค้าไม่รู้
    .
    คุณมีหน้าที่แค่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าซื้อได้ง่ายที่สุด บริการให้ประทับใจที่สุด ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุด
    .
    อย่างตัวผม เมื่อเดินเข้าไปใน โชว์รูม สิ่งที่ผมถามเซลล์ คือ ได้ส่วนลดเท่าไหร่ ซื้อสดมีข้อเสนออะไรบ้าง หรือ ถ้าซื้อผ่อนมีข้อเสนออะไรบ้าง สามารถเปลี่ยนขุดแต่งให้ผมพร้อมวันออกรถได้ไหม ผมรู้จักกับร้าน ติดฟิล์ม และ เคลือบแก้วดีๆ อยู่แล้ว สามารถให้เขาเอารถไปติดฟิล์ม และ เคลือบแก้วเลยโดยที่ผมไม่ต้องมาโชว์รูมเองหลายรอบได้ไหม ทำให้เสร็จทุกอย่างเลย ผมมาโชว์รูมอีกครั้ง คือ วันขับรถออกเลย สามารถจัดการให้ได้ไหม ?
    .
    หน้าที่ของเซลล์ คือ อำนวยความสะดวกตามที่ผมขอให้ได้ และ บริการให้ผมประทับใจที่สุด
    .
    เห็นไหมครับว่า คำถาม มันไม่ใช่ รถรุ่นไหนดี รุ่นนี้ขับเป็นยังไง ราคาเท่าไหร่ มีข้อดี ข้อเสียตรงไหนบ้าง แบบสมัยก่อนแล้ว
    .
    (2) Upsell ให้ลูกค้าจ่ายเงินเพิ่ม คือ เวลาลูกค้าดูข้อมูลมา ลูกค้าดูแค่สิ่งที่เขารู้ว่าเขาต้องการเท่านั้น แต่เมื่อลูกค้าเดินมาหน้าร้าน หน้าที่ของเซลล์ คือ ทำให้เขาจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีก ในสิ่งที่เขาไม่รู้ว่าเขาต้องการ โดยแลกกับความคุ้มค่าที่ลูกค้า (อาจจะ) ไม่รู้มาก่อน
    .
    อย่างตัวผม ตอนแรกราคารถอยู่ที่ 2,169,000 บาท แต่พอมาซื้อจริงๆ เซลล์เสนอว่าจะเพิ่มการรับประกันรถ หรือ BSI จากเดิม 3 ปี 60,000 กิโลเมตร เป็น 5 ปี 100,000 กิโลเมตร โดยเพิ่มเงินอีกแค่ 80,000 บาทไหม เพราะรถยุโรปเวลาเข้าเช็คระยะที่ศูนย์แต่ละครั้ง ต้องเสียเงินหลักหมื่น แต่ถ้ายังอยู่ใน BSI จะเข้าศูนย์ และ ซ่อมกรณีเกิดจากตัวรถฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ที่สำคัญรถส่วนใหญ่ 3 ปีแรกไม่ค่อยเข้าศูนย์หรอก มันจะไปหนักช่วงปีที่ 4 เป็นต้นไปมากกว่า
    .
    ซึ่งเมื่อผมคิดคำนวณแล้ว คือ “ตกลง” ผมได้ความคุ้มค่า เซลล์ได้เงินเพิ่ม Win Win และยังไม่รวมพวกชุดแต่ง และ อื่นๆ อีก ที่ผมต้องจ่ายเงินเพิ่มจากเดิมที่ไม่ได้คิดตรงนี้ เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องการมาก่อน ซึ่งเป็นหน้าที่ของเซลล์ที่จะต้องยื่นข้อเสนอ เพื่อ Upsell ให้ลูกค้าจ่ายเงินเพิ่มให้ได้ กลายเป็นว่าสุดท้ายผมต้องจ่ายเงินไปรวมๆ ประมาณ 2,2XX,XXX บาท
    .
    สรุปคือ คอนเทนต์ก็เหมือนเซลล์แมนที่ทำหน้าขายแทนคุณ เมื่อเขาปิดการขายลูกค้าคนไหนได้ คอนเทนต์ก็จะส่งลูกค้าที่ ตัดสินใจแล้ว และ พร้อมซื้อ มาให้คุณ ส่วนคุณมีหน้าที่แค่นั่งอยู่เฉยๆ ให้ลูกค้าเดินเข้ามาหาเอง จากนั้นก็อำนวยความสะดวก บริการ และ Upsell ให้ลูกค้าจ่ายเงินเพิ่มด้วยความพอใจแบบ Win Win ซึ่งผมเรียกหลักการนี้ว่า “Inbound Content Marketing หรือ การตลาดโดยใช้คอนเทนต์แบบแรงดึงดูด”
    .
    ซึ่งผมได้สอนแบบเจาะลึกถึงรายละเอียด และ กระบวนการ เอาไว้ในคลาส Online Signature 2021 ทั้งหมดแล้ว หากคุณอยากจะนั่งเฉยๆ แล้วให้ลูกค้าวิ่งเข้าหาเองได้ ก็สามารถเข้ามาลุยด้วยกันได้ครับ
    .
    3. เหตุผลที่ผมเลือกซื้อ BMW ไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นรถยุโรป ขับแล้วเท่ สมรรถนะเยี่ยม ที่อยากมีไว้ในครอบครองเท่านั้น แต่มันมีผลกับการทำงานในเชิงจิตวิทยาของผมด้วย
    .
    หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่า BMW ไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจจากการผลิตรถยนต์ แถมยังเคยตกอับถึงขนาดเอาเศษเหล็กมาทำเครื่องครัวขายเพื่อความอยู่รอดมาแล้ว
    .
    ย้อนกลับไปในปี 1916 ก่อนจะมาเป็น BMW บริษัทมีชื่อว่า Rapp Motorenwerke ทำธุรกิจผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน จากนั้นไม่กี่ปีต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็น Bayerische Motoren Werke ซึ่งเป็นชื่อเต็มของ BMW โดยโลโก้ที่เราเห็นกันทุกวันนี้จนจำขึ้นใจ ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากลักษณะการหมุนของใบพัดเครื่องบิน รวมเข้ากับสีฟ้าและขาว ซึ่งเป็นสีประจำแคว้นบาวาเรีย (Bavaria) ที่ตั้งของบริษัท BMW โดยเครื่องยนต์ของเครื่องบิน BMW IIIA เป็นเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในยุคนั้น ต่อมา เครื่องยนต์ BMW IV ก็สามารถสร้างสถิติโลกเพดาลบินสูงสุดได้
    .
    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า BMW กำลังไปได้ดี แต่ทุกอย่างก็พังลง เมื่อเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ผลจากสงครามทำให้การผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายในเยอรมนี จากผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย
    .
    BMW ที่เคยผลิตแต่เครื่องยนต์เครื่องบินมาโดยตลอด ต้องหันไปผลิตเครื่องมือทำฟาร์ม และเบรกรถไฟ ซึ่งในระหว่างนั้นเอง Max Friz หัวหน้านักออกแบบของ BMW ก็ได้วางแผนออกแบบ รถมอเตอร์ไซค์ ควบคู่ไปด้วย
    .
    จนในปี 1923 BMW ก็เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์คันแรก ที่มีชื่อรุ่นว่า R32 ซึ่งเปิดตัวในงาน Berlin Motor Show
    .
    หลังจากนั้นในปี 1928 ธุรกิจผลิตรถยนต์ของ BMW ก็เริ่มต้นขึ้น โดย BMW 3/15 PS คือรถยนต์รุ่นแรกที่ใช้ชื่อของ BMW และกลายเป็นที่ฮือฮาทันที เพราะสามารถชนะการแข่งขันรายการ Alpine Rally ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าร่วมแข่งขัน
    .
    หลังจากนั้นในปี 1933 ก็ได้เปิดตัว BMW 303 ซึ่งเป็นรถรุ่นแรกที่มาพร้อมกับกระจังหน้าแบบไตคู่ (Kidney Grille) จนรูปแบบดังกล่าวได้กลายมาเป็นเอกลักษณ์ของรถ BMW ทุกรุ่นในปัจจุบัน
    .
    แต่ก็เหมือนเดจาวู เมื่อทุกอย่างกำลังไปได้สวย BMW ก็ล้มลงอีกครั้ง เมื่อเยอรมมีแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อีกครั้ง ทั้งโรงงานรวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ พังเกือบหมด
    .
    BMW ต้องกลับไปผลิตของใช้ในครัวเรือน ก่อนจะกลับมาสร้างมอเตอร์ไซค์ได้อีกครั้งในปี 1948 และรถยนต์ในปี 1951
    .
    หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง BMW กลับมาขายรถที่จัดเต็มเรื่องสมรรถนะ ซึ่งถือว่าเป็นรถที่มีเทคโนโลยีล้ำสุดในช่วงเวลานั้น
    .
    แต่ดูเหมือนว่า จุดสูงสุดของวิศวกรรมจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับจุดต่ำสุดของ BMW
    .
    เนื่องจากช่วงหลังสงคราม คนสนใจแต่ปากท้องของตัวเอง และคงไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อรถคันใหญ่ที่มีวิศวกรรมล้ำหน้าราคาแพง ทำให้รถของ BMW ขายได้ไม่ค่อยดี ส่วนตลาดมอเตอร์ไซค์ก็เริ่มซบเซา
    .
    สุดท้ายบริษัทมีปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก จนถึงขั้นที่ว่าบอร์ดของบริษัท ตอบรับข้อเสนอการควบรวมกิจการกับทาง Daimler-Benz อย่างไรก็ตาม ดีลนี้ไม่เกิดขึ้น เพราะถูกต่อต้านจากทั้งคนงานและผู้ถือหุ้นรายย่อย
    .
    Herbert Quandt หนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัท ตัดสินใจหาเงินมาซื้อหุ้นในส่วนที่จะขายให้ทาง Daimler-Benz นั้นเอาไว้เอง ทำให้ BMW ยังคงเป็นบริษัทคู่แข่งกับ Benz ต่อไป ซึ่งผ่านมา 59 ปี ปัจจุบันคนตระกูล Quandt ก็ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน BMW Group อยู่
    .
    ต่อมากิจการของ BMW ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ BMW มีการปรับเปลี่ยนให้รถที่ทำออกมามีขนาดเล็กลง สามารถตอบโจทย์คนทั่วไปมากขึ้น และ เติบโตขึ้นผ่านการซื้อขายบริษัทอื่นๆ ตามมาอีกหลายครั้ง ทั้งแบรนด์ MINI และ Rolls-Royce จนปัจจุบัน BMW มีมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านบาท
    .
    หลายคนอาจจะคิดว่า ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เส้นทางของเขาคงจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่เคยล้มเหลว ไม่เคยเจอวิกฤตอะไรมาก่อน
    .
    แต่สำหรับ BMW พวกเขาต้องดิ้นรนถึงขนาดต้องทำหม้อทำกระทะขายเพื่อความอยู่รอดมาแล้ว
    .
    แต่ไม่ว่า BMW จะเจอกับสงครามโลกกี่ครั้ง จะเจอวิกฤตกี่หน แต่เขาก็ “ไม่ยอมแพ้” และ ต่อสู้จนกลับมาเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จได้เสมอ
    .
    ชีวิตคนเราก็เช่นกัน ผมทั้งเคยทำธุรกิจเจ๊ง ถึงกับต้องขอยืมเงินเพื่อน 100 บาท เพื่อมาซื้อมาม่า กับ ไข่ไก่กินประทังชีวิต 1 สัปดาห์ ดิ้นรนอีกหลายเดือน และ ไปขออาศัยอยู่บ้านเพื่อน เมื่อตอนสมัยเรียน นอกจากนี้ธุรกิจของผมก็เจ๊งเพราะโควิด-19 ไม่ต่างกับใครอีกหลายคน
    .
    เราทุกคนล้วนมีวันที่ดี และ มีวันที่ร้ายสลับกันไป ดังนั้น ทุกครั้งที่ผมขึ้นไปนั่งบนรถของ BMW หน้ามองตรง มือจับพวงมาลัย แล้วสูดลมหายใจลึกเข้าเต็มปอด
    .
    มันเหมือนเป็นเครื่องเตือนใจผมว่า “ต่อให้จะเจอวิกฤตอะไร เจอวันที่แย่แค่ไหน จงอย่ายอมแพ้ จงสู้ต่อไป ก้าวไปข้างหน้า แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้ เหมือนกับ BMW …”
    .
    และนี่คือ เหตุผลที่ผมเลือก BMW เพราะทุกครั้งที่ผมเหยียบคันเร่งของรถ มันก็เหมือนผมกำลังเหยียบคันเร่งให้ชีวิตของตัวเอง
    .
    ปล. หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยเจอวิกฤต และไม่ยอมแพ้ BMW คือ รถที่เหมาะสมกับคุณที่สุดครับ ถ้าคุณอยากเป็นเจ้าของรถอย่าง BMW ก็ทักไปหาคุณปุ๋ย ที่ดูแลผมอยู่ได้เลย เขาดูแลดีมากๆ ครับ
    .
    โทร 090-6786187 | ID Line : pueybmw | เพจ : ปุ๋ย เซลรถหรู ภาคใต้ | Facebook : ปุ๋ย บี้เอ็ม ภาคใต้
    .
    ปล.2 ส่วนใครอยากนั่งอยู่เฉยๆ แล้วให้คอนเทนต์บนออนไลน์ ดึงดูดลูกค้าวิ่งเข้าหา ก็เข้ามาลุยกับผมและพี่น้องอีกมากกว่า 300 คน ในคลาส Online Signature 2021 ได้ครับ
    .
    ทักไลน์มาได้ที่ @samounglai

  • daimler-benz 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文

    2020-08-29 10:49:00
    有 2,059 人按讚

    ทำไม เยอรมนี จึงเป็นประเทศแห่ง รถยนต์? ตอนที่ 2 /โดย ลงทุนแมน
    Mercedes-Benz, Porsche, BMW, Audi
    รู้หรือไม่ว่า แบรนด์รถยนต์เยอรมัน 4 แบรนด์นี้ที่หลายคนใฝ่ฝัน
    มีจุดเริ่มต้นอยู่บนเส้นทางเดียวกัน

    Mercedes-Benz เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนี
    ส่วน BMW, Audi และ Porsche
    หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์เหล่านี้ ล้วนเคยทำงานให้กับ Daimler-Benz มาก่อน

    ถึงแม้ทั้ง 4 แบรนด์จะแยกออกมาขับเคลื่อนบนเส้นทางของตัวเอง
    แต่โชคชะตาก็พาให้ต้องมาอยู่บนเส้นทางร่วมกันอีกครั้ง
    และยังมีอีกแบรนด์หนึ่งเกิดขึ้นมาชื่อ Volkswagen

    เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจาก การเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุดของผู้นำพรรคนาซี “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์”..

    ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
    ตอน ทำไม เยอรมนี จึงเป็นประเทศแห่ง รถยนต์? ตอนที่ 2

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จักรวรรดิเยอรมันอยู่ในสถานะผู้แพ้สงคราม..

    การถูกจำกัดอาวุธ ต้องชดใช้หนี้ค่าปฏิกรรมสงคราม
    รัฐบาลจึงพยายามพิมพ์เงินมาใช้หนี้จนกลายเป็นภาวะเงินเฟ้อมโหฬาร
    และถูกซ้ำเติมด้วยภาวะวิกฤติเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ หรือ Great Depression

    รถยนต์สมัยนั้นยังประกอบด้วยมือ จึงเป็นสินค้าที่มีราคาสูง
    เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมยานยนต์จึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก

    อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หัวหน้าพรรคนาซี ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ
    และเริ่มต้นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจมากมาย
    หนึ่งในนั้นคือการสร้างเอาโทบาห์น หรือ ไฮเวย์ไปทั่วประเทศ

    เพื่อซื้อใจประชาชน ฮิตเลอร์ได้ให้คำสัญญาว่าจะผลิต
    รถราคาถูกเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ เรียกว่า “Volkswagen” แปลว่า รถของประชาชน

    ฮิตเลอร์ได้ว่าจ้าง Ferdinand Porsche แห่งบริษัทที่ปรึกษาด้านเครื่องยนต์ Porsche
    ให้มาเป็นผู้ออกแบบรถยนต์ Volkswagen Type 1 ในปี ค.ศ. 1933

    เมืองแห่งโรงงานรถยนต์ หรือ Autostadt ถูกตั้งขึ้นในเมืองว็อลฟส์บวร์คที่อยู่ใจกลางประเทศ
    เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตรถยนต์โดยเฉพาะ

    ฮิตเลอร์ได้ชักชวนชาวเยอรมันเกือบ 300,000 คน ให้เริ่มทยอยผ่อนเงินซื้อรถไว้กับรัฐบาล
    ก่อนที่จะได้รับรถจริงในอีกหลายปีต่อมา

    แต่แล้ว โครงการผลิตรถยนต์ก็ถูกยกเลิก
    เพราะรัฐบาลต้องหันไปทุ่มงบประมาณสนับสนุนด้านการทหารแทนโครงการของพลเรือน

    ไม่นาน ผู้นำพรรคนาซีก็พากองทัพเยอรมันเข้าบุกโปแลนด์
    และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2

    ท่ามกลางสงคราม เหล่าผู้ผลิตรถยนต์ถูกสั่งให้เปลี่ยนมาผลิตรถถังและอาวุธสงครามแทน

    Porsche ถูกทาบทามมาเป็นวิศวกรของกองทัพ รับหน้าที่ออกแบบรถถัง
    BMW ที่เพิ่งเริ่มต้นพัฒนารถยนต์เป็นของตัวเอง โดยเฉพาะกระจังหน้าแบบไตคู่ ต้องมาผลิตเครื่องยนต์ให้เครื่องบินรบอีกครั้ง
    เช่นเดียวกับโรงงานของ Daimler-Benz และ Volkswagen
    ที่ต้องเปลี่ยนมาผลิตรถอเนกประสงค์ทางทหาร

    สงครามครั้งนี้จบลงในปี ค.ศ. 1945
    และเยอรมนีก็อยู่ในสถานะผู้แพ้สงครามอีกครั้ง..

    เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ และถูกปกครองโดยประเทศผู้ชนะสงคราม
    เยอรมนีตะวันออก ถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียต ผู้นำโลกคอมมิวนิสต์
    เยอรมนีตะวันตก ถูกยึดครองโดยอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ผู้นำโลกทุนนิยมเสรี

    ผู้นำนาซีเลือกจบชีวิตตัวเอง ทิ้งประเทศและเหล่าบริษัทรถยนต์ไว้กับความเสียหายมหาศาล..

    Ferdinand Porsche ถูกทหารฝรั่งเศสจับตัวไปเป็นเชลยสงครามยาวนานเกือบ 2 ปี
    โรงงานของ BMW ถูกทิ้งระเบิดเสียหาย จนต้องนำเศษเหล็กมาขาย และปรับมาผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนเพื่อต่อลมหายใจของกิจการ
    โรงงานของ Daimler-Benz และ Auto Union หรือ Audi บางส่วนตั้งอยู่ในเขตเยอรมนีตะวันออกจึงถูกยึดเป็นสมบัติของรัฐคอมมิวนิสต์

    ส่วนบริษัทน้องใหม่ Volkswagen ถูกเจ้าหน้าที่อังกฤษเข้ามาบริหาร

    ในเวลานี้ เยอรมนีก็ไม่ต่างอะไรกับคนสิ้นเนื้อประดาตัว
    ทั้งโรงงานรถยนต์ ทั้งวิศวกรเก่งๆ ต่างถูกยื้อแย่งโดยผู้ชนะสงคราม
    สิ่งเดียวที่เหลืออยู่มีเพียง “องค์ความรู้”

    ความโชคดีที่ยังพอมีอยู่บ้าง ท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือด
    ของโลกทุนนิยมกับโลกคอมมิวนิสต์ ที่เรียกว่า “สงครามเย็น”
    คือการที่ฐานการผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตเยอรมนีตะวันตก ซึ่งได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากสหรัฐอเมริกาภายใต้แผนการมาร์แชลล์ เพื่อสกัดกั้นอิทธิพลของคอมมิวนิสต์

    เศรษฐกิจเยอรมนีตะวันตกจึงเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1950-1960
    เปิดโอกาสให้แบรนด์รถยนต์ทั้งหลายได้เริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง..

    Ferdinand Porsche ในวัย 56 ปี ได้ชักชวนลูกชายให้เริ่มต้นบริษัทขึ้นมาใหม่

    แต่ครั้งนี้เปลี่ยนจากบริษัทที่ปรึกษาด้านเครื่องยนต์มาผลิตรถยนต์เอง
    โดยเริ่มจากรถสปอร์ต จากเหตุผลที่ว่า “ไม่มีรถสปอร์ตคันไหนถูกใจเลยสักคัน”

    รถสปอร์ตของ Porsche ซึ่งถูกผสมผสานออกมาจากไอเดีย และประสบการณ์ทั้งหมดของตัวเขาเอง จนออกมาเป็นรถสปอร์ตคันแรกของบริษัทในรุ่น 356

    Mercedes-Benz ได้เริ่มประยุกต์กระบวนการผลิตแบบ Mass-Production ให้เข้ากับการผลิตรถยนต์หรู ทำให้สามารถผลิตรถยนต์ได้จำนวนมากขึ้น

    รวมถึงการริเริ่มนำเครื่องยนต์ดีเซลมาใช้กับรถยนต์
    ซึ่งให้กำลังได้สูงกว่า และประหยัดพลังงานมากกว่าเครื่องยนต์เบนซิน แม้จะมีข้อเสียคือเสียงที่ดังกว่า
    หลังจากนั้น เครื่องยนต์ดีเซลจึงถูกนำมาใช้กับรถบรรทุก และรถบัส

    BMW ซึ่งเคยทำรถมอเตอร์ไซค์ และระบบเบรกของรถรางมาก่อน
    นำความได้เปรียบมาพัฒนาระบบเบรกของรถยนต์ และระบบกระจายน้ำหนักที่ล้อหน้าและหลังเท่ากัน
    ทำให้รถยนต์ของ BMW มีจุดเด่นด้านการทรงตัว สามารถขับขี่ได้คล่องตัว

    ถึงแม้จะมีปัญหาด้านการเงิน จนทำให้ BMW เกือบจะถูกควบรวมกิจการกับ Daimler-Benz
    แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BMW ตระกูล Quandt ก็ได้เข้าซื้อกิจการทั้งหมด
    และปรับเปลี่ยนเป้าหมายลูกค้าจากคนรวยให้เป็นคนทั่วไปมากขึ้น
    เปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความโฉบเฉี่ยว และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

    ส่วนรถของ Volkswagen ได้เริ่มเปิดการผลิตครั้งแรกในปี ค.ศ. 1949
    ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลอังกฤษ จนภายหลังเมื่อทางอังกฤษเห็นว่าไม่คุ้มค่า
    จึงปล่อยให้อนาคตของ “รถของประชาชน” อยู่ในมือของผู้บริหารชาวเยอรมัน Heinrich Nordhoff

    ด้วยดีไซน์ที่กะทัดรัด ขนาดเบา ราคาไม่แพง และกลยุทธ์การตลาดของ Nordhoff
    รถที่มีรูปร่างเหมือนแมลง หรือ “Beetle”
    ก็สามารถตีตลาดสหรัฐฯ และทั่วยุโรป จนผลิตได้ถึง 1 ล้านคัน ในอีก 10 ปีถัดมา

    อาณาจักรของ Volkswagen เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
    จนได้ซื้อกิจการของ Auto Union ในปี ค.ศ. 1964 และเริ่มกลับมาผลิตรถยนต์ Audi อีกครั้ง หลังจากนั้นก็รวมกิจการกับรถสปอร์ตหรู Porsche ในปี ค.ศ. 1969

    ในตอนนี้ Volkswagen ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีหลายแบรนด์ในเครือ

    ไม่เพียงแค่รถเยอรมันเท่านั้น
    Volkswagen ยังซื้อกิจการรถยนต์ของอังกฤษอย่าง Bentley เข้ามารวมอยู่ในอาณาจักรด้วย

    สำหรับ Mercedes-Benz ก็ได้เติบโตจนครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในแบรนด์รถหรูของโลกนี้มาอย่างยาวนาน
    และ BMW ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านสมรรถนะของรถยนต์ในช่วงที่ผ่านมา

    จากจุดเริ่มต้นของการให้ความสำคัญกับการศึกษาวิศวกรรม และวิชาชีพช่างเทคนิค
    องค์ความรู้เหล่านี้สร้างวิศวกรยานยนต์เก่งๆ ที่ทำให้รถยนต์เยอรมันมีสมรรถนะ ฟังก์ชันการใช้งาน และการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร

    สำหรับแบรนด์รถยนต์เยอรมันแล้ว
    การผ่านสงครามโลกมาถึงสองครั้ง
    วิกฤติเศรษฐกิจหลายต่อหลายครั้ง
    ผ่านพรรคนาซี และสงครามเย็น

    และถึงแม้จะมีอุปสรรคในวันข้างหน้า
    ก็คงเป็นเพียงหลุมเล็กๆ ที่รถยนต์เยอรมันจะฝ่าฟันและขับเคลื่อนผ่านไปได้ เหมือนที่ผ่านมา..

    เตรียมพบกับซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
    ในตอนถัดไป เร็วๆ นี้..
    ╔═══════════╗
    ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
    เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
    อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
    หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 ไล่ยาวไปจนถึง ค.ศ. 2019
    สั่งซื้อได้ที่ (ซื้อตอนนี้มีส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://www.carmudi.com.ph/journal/infographic-history-of-bmw/
    -https://www.daimler.com/company/tradition/company-history/1945-1949.html
    -https://www.daimler.com/company/tradition/company-history/1949-1960.html
    -https://www.mercedes-benz.co.th/en/passengercars/the-brand/history/trademark.module.html
    -https://www.porsche.com/international/aboutporsche/#from=/international/aboutporsche/principleporsche/