[爆卦]Bitstream font是什麼?優點缺點精華區懶人包

雖然這篇Bitstream font鄉民發文沒有被收入到精華區:在Bitstream font這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章

在 bitstream產品中有40篇Facebook貼文,粉絲數超過2萬的網紅公民不下課,也在其Facebook貼文中提到, 【失落的夏天】 . 怎麼過暑假竟然會影響學習? . 在大家依依不捨地過完暑假的時候,你可曾有想過暑假怎麼過的,其實對於學習有很大的影響嗎? 我們今天就來看看暑假是如何影響我們的學習吧! . #socialclassonline #暑假 #學習平權 #文化資本 #夏季失落 #都市 #鄉鎮 #弱勢 #弱...

 同時也有12部Youtube影片,追蹤數超過17萬的網紅NHG:中の人げぇみんぐ【実銃解説】,也在其Youtube影片中提到,参照サイト ゲームが与える影響を検証 - FPSプレイ後の「課題遂行能力」向上が見られた https://news.mynavi.jp/article/20210126-1673811/ FPS系ゲームが与える影響を検証「課題遂行能力」が向上する結果 https://news.livedoor.c...

bitstream 在 公民不下課 Instagram 的最讚貼文

2021-09-16 07:52:37

【失落的夏天】 . 怎麼過暑假竟然會影響學習? . 在大家依依不捨地過完暑假的時候,你可曾有想過暑假怎麼過的,其實對於學習有很大的影響嗎? 我們今天就來看看暑假是如何影響我們的學習吧! . #socialclassonline #暑假 #學習平權 #文化資本 #夏季失落 #都市 #鄉鎮 #弱勢 #弱...

bitstream 在 奶油阿娘與寶寶 Instagram 的精選貼文

2021-04-04 17:55:56

#如何讓寶寶投入遊戲   上文提到阿娘參照差不多月齡寶寶的遊戲建議,每天漫遊Pinterest/ IG取靈感,但奶油寶寶都好像不太有興趣🥺(#diy嘥心機龍虎榜 傳送門:https://bit.ly/36xuUHL)  謝謝youtube幼兒學習影片,阿娘得知 #schema (幼兒認知基模...

bitstream 在 黑眼圈奶爸Dr.徐嘉賢醫師 Instagram 的最讚貼文

2020-05-23 11:45:25

好康活動分享 奶爸Dr有兩個女兒(全名 今生債主、又名 前世情人),大女兒接下來要升上小一,感覺好像進入另外一個重要的里程碑一樣。(大叔請深呼吸、別慌張) 有在追蹤奶爸Dr的文章的朋友們,應該了解奶爸Dr的龜毛個性(講好聽一點是素求),選擇育兒用品,首要注重的是安全、無毒。 最近夫妻兩開始在幫孩子尋...

  • bitstream 在 公民不下課 Facebook 的精選貼文

    2021-09-09 22:00:09
    有 30 人按讚

    【失落的夏天】
    .
    怎麼過暑假竟然會影響學習?
    .
    在大家依依不捨地過完暑假的時候,你可曾有想過暑假怎麼過的,其實對於學習有很大的影響嗎?
    我們今天就來看看暑假是如何影響我們的學習吧!
    .
    #socialclassonline #暑假 #學習平權 #文化資本 #夏季失落 #都市 #鄉鎮 #弱勢 #弱勢學童 #美國 #英國 #台灣 #不平等 #學測 #指考 #讀書 #升學 #時事 #社會議題 #社會科 #考題
    .
    ➤ 參考資料:
    ・暑期學習對族群學習差距的影響:潛在成長曲線模型分析
    http://ericdata.com/tw/detail.aspx?no=401799
    ・學童社經背景與暑期經驗對暑期學習成就進展影響之研究
    http://rportal.lib.ntnu.edu.tw/bitstream/20.500.12235/82047/1/ntnulib_ja_A0101_5104_001.pdf
    ・美國「夏日學校新願景計畫」對我國推動「夏日樂學試辦計畫」之啟示
    https://reurl.cc/1Y6byp
    ・英國夏日學校方案對我國推動夏日樂學試辦計畫之啟示
    http://ericdata.com/tw/detail.aspx?no=402397
    ・夏季失落!都市與鄉鎮中被遺忘的弱勢學童
    https://epaper.naer.edu.tw/edm.php?grp_no=1&edm_no=195&content_no=3456

  • bitstream 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答

    2021-09-09 11:00:23
    有 962 人按讚

    กรณีศึกษา Ben Ali ประธานาธิบดีตูนิเซีย กินรวบประเทศ จนโดนปฏิวัติ /โดย ลงทุนแมน
    รู้หรือไม่ว่า “อาหรับสปริง” การลุกฮือต่อต้านรัฐบาลในช่วงปี 2011 ของกลุ่มประเทศอาหรับ ไล่มาตั้งแต่อียิปต์ ลิเบีย เยเมน บาห์เรน ไปจนถึงการเกิดสงครามกลางเมืองที่ซีเรีย ล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากการปฏิวัติในประเทศเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกาที่มีชื่อว่า “ตูนิเซีย”

    สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การปฏิวัติตูนิเซียนี้
    เกิดขึ้นโดยปราศจากผู้นำการปฏิวัติ และไม่ได้มาจากประเด็นทางการเมือง
    แต่เป็นเรื่องของการว่างงานและสภาวะเศรษฐกิจที่ผลักดันให้ประชาชนในประเทศรวมตัวกันลุกขึ้นมาปฏิวัติ โดยมีจุดเริ่มต้นจากประธานาธิบดีของตูนิเซียที่มีชื่อว่า Ben Ali

    เกิดอะไรขึ้นที่ตูนิเซีย ภายใต้การปกครองของ Ben Ali จนนำไปสู่การปฏิวัติในประเทศ ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
    ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
    แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
    Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    สาธารณรัฐตูนิเซีย เป็นประเทศอาหรับมุสลิมในแอฟริกาเหนือ ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีขนาดพื้นที่ราว ๆ 160,000 ตารางกิโลเมตร พอ ๆ กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

    ตูนิเซียมีประชากรเพียง 12 ล้านคน มากกว่า 90% นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนี แต่เนื่องจากเคยถูกปกครองโดยฝรั่งเศสมาก่อน ทำให้มีการใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการควบคู่ไปกับภาษาอารบิก

    ประกอบกับผู้คนที่มีหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน ทำให้วัฒนธรรมจะเป็นการผสมผสานระหว่างอาหรับและยุโรป

    ในอดีตประเทศตูนิเซียนั้นถูกปกครองโดยประธานาธิบดี Habib Bourguiba ซึ่งปกครองตูนิเซียมายาวนานตั้งแต่ได้รับอิสรภาพจากฝรั่งเศสในปี 1956

    แต่การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ทั้งเศรษฐกิจและสังคมของตูนิเซียกลับเกิดขึ้นหลังจากการมาถึงของชายที่ชื่อว่า Ben Ali

    Zine al-Abidine Ben Ali หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Ben Ali
    ก่อนที่เขาจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีตูนิเซียนั้น เขาเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองมามากมาย

    ทั้งหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง เอกอัครราชทูต รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ รัฐมนตรีมหาดไทย
    จนในปี 1987 เขาได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของตูนิเซีย โดยถือได้ว่าเขาเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลและทรงอำนาจอย่างมากในรัฐบาลตูนิเซีย

    ซึ่งในขณะนั้นประธานาธิบดีคนแรก Habib Bourguiba กำลังป่วยหนักและหลายฝ่ายเห็นว่าไม่เหมาะที่จะดำรงตำแหน่งต่อไป

    Ben Ali จึงได้ทำการรัฐประหารโดยสันติและปลด Bourguiba ออกจากตำแหน่ง จากนั้นจึงแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่สองของตูนิเซียในปี 1987

    หลังจากที่ Ben Ali ได้ขึ้นมาปกครองประเทศ เขาพยายามที่จะสร้างภาพลักษณ์ให้การบริหารประเทศของเขาเป็นรูปแบบของประชาธิปไตยตามเสียงเรียกร้องของผู้คนในประเทศ

    โดยได้ดำเนินการหลากหลายมาตรการ เช่น
    - การเปลี่ยนชื่อพรรคการเมืองของตัวเองจาก Neo-Destour Party เป็น Democratic Constitutional Rally
    - การเปิดให้ประชาชนสามารถสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้
    - การยกเลิกระบบพรรคการเมืองเดียว
    - การปล่อยนักโทษทางการเมืองซึ่งได้รับผลกระทบจากการปกครองของประธานาธิบดีคนเก่า

    แม้การเลือกตั้งใหม่ในปี 1989 มีขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองประเทศ และพรรคของเขาเองก็ได้ที่นั่งในสภามากกว่า 80% แต่ Ben Ali ก็ได้เริ่มจุดไฟแห่งความขัดแย้งขึ้น

    Ben Ali เริ่มการจับกุมแกนนำและนักกิจกรรมของฝ่ายตรงข้ามที่เขามองว่ามีแนวโน้มจะได้รับความนิยมในอนาคต

    นอกจากนี้ยังมีรายงานการคุกคามนักกิจกรรมทางการเมืองที่เรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งการข่มขู่และทรมานจากภาครัฐ รวมถึงการบังคับให้ลี้ภัยไปต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

    นอกจากนี้ยังมีการแก้กฎหมายเลือกตั้งให้เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายตนเอง ส่งผลให้การเลือกตั้งที่จัดขึ้นหลังจากนั้น เขาได้รับคะแนนเสียงอย่างถล่มทลาย ไร้คู่แข่งที่จะมาเทียบเคียง

    โดยการเลือกตั้งในปี 1999 Ben Ali มีคู่แข่งเพียง 2 คนเท่านั้น และฝ่ายค้านไม่เคยได้ที่นั่งในสภาเกิน 25% เลยแม้แต่ปีเดียว

    จนสุดท้ายแล้วตูนิเซียภายใต้การปกครองของ Ben Ali มีลักษณะทางการเมืองแทบไม่ต่างจากยุคของประธานาธิบดีคนก่อน ที่ถูกเรียกว่าเป็นระบอบเผด็จการ

    นอกจากการแก้กฎหมายเพื่อความมั่นคงของตำแหน่งทางการเมืองแล้ว
    อีกเรื่องหนึ่งที่เขาทำในระหว่างที่อยู่ในอำนาจ คือการเอื้อผลประโยชน์ให้พวกพ้อง
    โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่อยู่ในเครือข่ายของเขา

    ในฉากหน้านั้น Ben Ali ได้ปรับปรุงระบบเศรษฐกิจของประเทศให้ทันสมัยขึ้น
    ทั้งการแก้กฎระเบียบต่าง ๆ ให้ผ่อนคลายลงจากสมัยอดีตประธานาธิบดีคนเก่า
    การปรับโครงสร้างและแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

    ส่งผลให้ตลอดระยะเวลาที่ Ben Ali อยู่ในอำนาจนั้น ตูนิเซียมีอัตราการเติบโตของ GDP ไม่น้อยกว่า 5% มาโดยตลอด และระบบเศรษฐกิจของตูนิเซียโดดเด่นและเติบโตเร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน
    จนแม้แต่ IMF และธนาคารโลกยังเคยยกย่องให้ตูนิเซียเป็นแบบอย่างสำหรับประเทศกำลังพัฒนา

    ทว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ไม่ได้ไปถึงประชาชนในประเทศ
    แต่กลับตกอยู่ในมือเครือข่ายของ Ben Ali

    Ben Ali มีเครือข่ายธุรกิจกระจายตัวอยู่ในทุกภาคส่วนของประเทศ
    โดยมีการตรวจพบว่ามีบริษัทกว่า 220 บริษัทที่อยู่ในเครือข่ายดังกล่าว

    ซึ่งมีทั้งธุรกิจสายการบิน โทรคมนาคม การขนส่ง การเงินและธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ร้านอาหารและอื่น ๆ อีกมาก และนาย Ben Ali ก็ได้เอื้อผลประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเอง โดยการออกกฎหมายเพื่อกีดกันทางการค้า และกำจัดคู่แข่งทางธุรกิจ ส่งผลให้มีการทุจริตคอร์รัปชันโดยเจ้าหน้าที่รัฐกระจายอยู่ทั่วประเทศ

    โดยตั้งแต่ปี 1994 นาย Ben Ali ได้ออกกฎระเบียบและข้อบังคับกว่า 25 ฉบับ เพื่อเอื้อผลประโยชน์ต่อเครือข่ายธุรกิจของตน ซึ่งในบางธุรกิจถ้าไม่มีชื่อของเครือข่าย Ben Ali อยู่ในบริษัท ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ

    อย่างเช่นกรณีเชนร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง McDonald’s ที่ได้มอบสิทธิ์แฟรนไชส์ให้กับพาร์ตเนอร์ที่ไม่ใช่เครือข่ายของ Ben Ali สุดท้ายแล้วภาครัฐก็ได้ปฏิเสธข้อตกลงดังกล่าว และ McDonald’s ก็ต้องยอมถอยออกจากตลาดไป

    หรืออีกกรณีหนึ่งคือการผูกขาดระบบโทรคมนาคมของประเทศ
    ราคาค่าบริการโทรระหว่างประเทศที่ผู้บริโภคต้องจ่ายมีราคาสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน 10-20 เท่า
    ในขณะที่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก็เป็นรายได้เข้ากระเป๋ากลุ่มบริษัทในเครือข่ายของนาย Ben Ali

    จากการออกข้อกฎหมายที่ยากต่อการแข่งขันและทำให้เกิดการผูกขาดทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่งผลให้การเติบโตของภาคเอกชนในประเทศกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มเครือข่ายของนาย Ben Ali

    โดยจากรายงานของธนาคารโลกระบุว่า เครือข่ายของนาย Ben Ali ที่มีกว่า 220 บริษัท
    มีผลกำไรคิดเป็น 21% ของภาคเอกชนทั้งหมดภายในประเทศ
    และมีมูลค่าบริษัทประมาณ 4.22 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่า 1 ใน 4 ของ GDP ประเทศในปี 2010

    เมื่อการกระจายความเติบโตของเศรษฐกิจไม่ทั่วถึง
    ส่งผลให้ตูนิเซียมีอัตราการว่างงานที่สูงมาก สวนทางกับ GDP ที่เติบโตต่อเนื่อง

    บวกกับวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งการส่งออก ภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว

    ทำให้ตูนิเซียมีอัตราการว่างงานของคนวัยหนุ่มสาวสูงถึง 30% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกมีเพียง 15% เท่านั้น

    สุดท้ายแล้วเมื่อเศรษฐกิจภายในประเทศถูกผูกขาดด้วยคนบางกลุ่ม ทำให้สินค้าหลายอย่างมีราคาสูง
    บวกกับอัตราการว่างงานในประเทศที่ยากเกินกว่าจะแก้ไข ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนจึงเพิ่มมากขึ้นในตูนิเซีย

    จนในที่สุดความอดทนของประชาชนในประเทศก็หมดลง..

    หนุ่มชาวตูนิเซีย Mohamed Bouazizi อายุ 27 ปี ตัวเขาเรียนไม่จบและต้องออกมาขายผลไม้เพื่อช่วยเหลือครอบครัวตั้งแต่เด็ก ซึ่งเขามักจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกสินบนและริบสินค้าของเขาอยู่หลายครั้ง

    จนกระทั่งในวันที่ 17 ธันวาคม 2010 เจ้าหน้าที่ได้ยึดสินค้าและอุปกรณ์ในการค้าขายของเขา โดยอ้างว่าเขาไม่มีใบอนุญาตสำหรับขายผลไม้ในพื้นที่ และมีพยานในเหตุการณ์กล่าวว่าเขายังถูกเจ้าหน้าที่ตบเข้าที่หน้าอีกด้วย

    Bouazizi ได้ไปร้องเรียนที่สำนักงานเทศบาลในเมือง Sidi Bouzid แต่กลับไม่มีใครรับฟังข้อร้องเรียนของเขา Bouazizi จึงราดน้ำมันและจุดไฟเผาตัวเองทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเดือนมกราคม ปี 2011

    หลังจากการเผาตัวเองของ Bouazizi เรื่องราวของเขาก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วผ่านสื่อต่าง ๆ อย่างเช่น Facebook และ Twitter ซึ่งยากต่อการควบคุมและตรวจสอบโดยภาครัฐ

    ทำให้ไม่กี่วันหลังจากนั้นมีผู้คนจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนและโกรธแค้นรัฐบาล โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวในขณะนั้น ซึ่งเกือบทั้งชีวิตของพวกเขาเติบโตมาภายใต้การปกครองของ Ben Ali

    คนหนุ่มสาวได้ออกมาชุมนุมประท้วงในเมือง Sidi Bouzid จำนวนมากและจากการประท้วงในท้องถิ่น จนกลายเป็นระดับภูมิภาคและแพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว

    Ben Ali ได้ออกประกาศตำหนิผู้ประท้วงและใช้กำลังในการปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

    จึงมีภาพการปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐถูกเผยแพร่ออกไปในสื่อออนไลน์ทั่วโลก

    เมื่อแรงกดดันเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายแล้ว Ben Ali จึงได้ประกาศจะไม่ลงเลือกตั้งอีกหลังจากหมดวาระในปี 2014 และจะให้เสรีภาพรวมถึงดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง

    แต่ตัวเขากลับปฏิเสธว่าตำรวจไม่ได้ยิงใส่ผู้ชุมนุม ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะขัดแย้งกับภาพที่อยู่บนสื่อออนไลน์ ทำให้การชุมนุมแผ่ขยายมากขึ้นไปอีก

    Ben Ali ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินและออกคำสั่งให้ทหารใช้ปืนยิงผู้ชุมนุมที่ต่อต้าน แต่ทหารปฏิเสธคำสั่งดังกล่าว เมื่อเห็นว่าตัวเขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกต่อไป Ben Ali จึงหนีออกนอกประเทศและลี้ภัยในประเทศซาอุดีอาระเบีย

    เมื่อ Ben Ali พ้นจากตำแหน่ง ศาลธรรมนูญวินิจฉัยให้นาย Fouad Mebazaa ประธานรัฐสภาดำรงตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดี

    นาย Fouad Mebazaa จัดตั้งรัฐบาลโดยแต่งตั้งผู้ที่เคยอยู่ในระบอบเก่า และภักดีกับอดีตประธานาธิบดี Ben Ali เป็นรัฐมนตรีกระทรวงที่สำคัญ

    เมื่อรายชื่อคณะรัฐมนตรีประกาศออกมา จึงเกิดความไม่พอใจอย่างมากตามมา ฝ่ายค้านลาออกจากรัฐสภา, เยาวชนหนุ่มสาวออกมาประท้วงอีกครั้ง และเกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ในที่สุด ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีรักษาการชุดนี้ก็ต้องลาออก

    การจัดตั้งคณะรัฐบาลรักษาการเกิดขึ้นอีกครั้ง นายกรัฐมนตรีรักษาการคนใหม่สั่งการให้จับกุม, สอบสวน และดำเนินการลงโทษเจ้าหน้าที่พรรคของรัฐบาล ครอบครัวและญาติของอดีตประธานาธิบดี Ben Ali

    รวมทั้งดำเนินการยุบพรรคและยึดทรัพย์สินของพรรค ขณะเดียวกันก็ประกาศปล่อยนักโทษการเมือง และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในปลายปีนั้นเอง

    เรื่องราวทั้งหมดนี้นอกจากจะสะท้อนความล้มเหลวในการบริหารประเทศและการทุจริตคอร์รัปชันจนสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและนำไปสู่การปฏิวัติแล้ว

    ในวันที่ Mohamed Bouazizi จุดไฟเผาตัวเองเพียงคนเดียว
    แต่เรื่องราวของเขาบนโลกอินเทอร์เน็ต ก็ได้ปลุกให้ผู้คนทั่วประเทศ
    ต่างมารวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาล จนบานปลายเป็น “อาหรับสปริง” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ทั่วโลกกล่าวถึง..

    เหตุการณ์นี้ยังเป็นกรณีศึกษาชั้นดี ของอิทธิพลจากสื่อโซเชียลมีเดีย
    ยิ่งสื่อเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงผู้คนให้เข้าหากัน ภายในเวลาอันรวดเร็วเท่าไร
    ก็ยิ่งทำหน้าที่เผยแพร่ “สิ่งที่พยายามปกปิด” ออกไปสู่สาธารณชน
    ในเวลาอันรวดเร็วได้เท่านั้น

    ในยุคที่มีคนโจมตีความน่ากลัวของโซเชียลมีเดีย ว่าจะทำให้เกิดข่าวปลอมเผยแพร่ได้โดยง่าย
    แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ข่าวจริงที่ถูกปิดไว้ ถูกเผยแพร่ได้ง่ายขึ้น เช่นกัน..
    ╔═══════════╗
    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
    ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
    แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
    Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - facebook.com/longtunman
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
    Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
    Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
    References:
    -https://www.washingtonpost.com/news/monkey-cage/wp/2014/03/27/tunisias-golden-age-of-crony-capitalism/
    -https://openknowledge.worldbank.org/bitstream/handle/10986/17726/WPS6810.pdf?sequence=1&isAllowed=y\
    -https://www.aljazeera.com/news/2020/12/17/bread-and-gas-economic-boost-needed-after-arab-spring
    -https://www.wider.unu.edu/publication/youth-unemployment-arab-world
    -https://www.pewresearch.org/journalism/2012/11/28/role-social-media-arab-uprisings/
    -https://www.silpa-mag.com/history/article_55976
    -https://www.aljazeera.com/features/2011/1/26/how-tunisias-revolution-began
    -https://www.dw.com/en/zine-el-abidine-ben-ali-the-robber-baron-of-tunisia/a-50501648
    -https://www.britannica.com/event/Jasmine-Revolution
    -https://theconversation.com/ben-ali-the-tunisian-autocrat-who-laid-the-foundations-for-his-demise-124786
    -https://www.theatlantic.com/technology/archive/2011/09/so-was-facebook-responsible-for-the-arab-spring-after-all/244314/

  • bitstream 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文

    2021-09-03 20:00:32
    有 1,762 人按讚

    กรณีศึกษา KakaoBank ใช้เวลา 4 ปี ขึ้นมาเป็นธนาคารใหญ่สุด ในเกาหลีใต้ /โดย ลงทุนแมน
    KakaoBank เป็นบริษัทของเกาหลีใต้ ที่เป็นธนาคารดิจิทัลโดยสมบูรณ์ ไม่มีหน้าสาขาเลย

    KakaoBank เพิ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ไปเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา
    ปัจจุบันมีมูลค่าราว 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งใหญ่กว่า KB Financial Group บริษัทแม่ของ Kookmin Bank ธนาคารพาณิชย์ดั้งเดิมที่ใหญ่สุดในประเทศเกาหลีใต้เป็นเท่าตัว

    จึงทำให้ KakaoBank ที่เพิ่งก่อตั้งมาเพียง 4 ปี กลายเป็นธนาคารที่มีมูลค่าบริษัทมากที่สุด
    นอกจากนี้แอปพลิเคชัน KakaoBank ยังกลายมาเป็นแอปพลิเคชันธนาคารที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในเกาหลีใต้อีกด้วย

    แล้ว KakaoBank เอาชนะธนาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิม ในระยะเวลาเพียง 4 ปี ได้อย่างไร ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
    ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
    แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
    Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    โลกที่กำลังมุ่งสู่ออนไลน์ด้วยความรวดเร็ว ได้ทำให้ธนาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิม
    ต้องรีบปรับตัวมาให้บริการผ่านแพลตฟอร์มแบบดิจิทัล เพื่อไม่ให้ถูกดิสรัป

    ซึ่งคู่แข่งคนสำคัญของธนาคาร ก็คือผู้ให้บริการ “ธนาคารดิจิทัล” ที่มีรูปแบบการให้บริการออนไลน์ทั้งหมด ไม่มีสาขาเลย เช่น Nubank จากประเทศบราซิล ที่มีบริษัท Berkshire Hathaway ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ให้ความสนใจและได้เข้าไปร่วมลงทุนเมื่อไม่นานมานี้

    โดย Nubank เริ่มจากการให้บริการบัตรเครดิตดอกเบี้ยต่ำในปี 2013 ก่อนที่จะขยายบริการมาเป็นธนาคารดิจิทัลแบบสมบูรณ์ อย่างเช่น บริการเงินฝากและสินเชื่อ ในปี 2018

    ปัจจุบัน Nubank คือธนาคารดิจิทัลที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกราว 40 ล้านบัญชี
    ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือชาวบราซิล โดยคิดเป็น 18.8% ของประชากรบราซิล

    และถ้าถามว่ารองจาก Nubank หรือธนาคารดิจิทัลที่มีผู้ใช้งานมากเป็นอันดับ 2 ของโลกคือใคร ?
    คำตอบก็คือ ธนาคารดิจิทัลจากประเทศเกาหลีใต้ ที่ชื่อว่า “KakaoBank”

    หลายคนอาจคุ้นชื่อ Kakao จาก KakaoTalk แอปพลิเคชันแช็ตที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในเกาหลีใต้ ซึ่งบริษัท Kakao ก็ได้ต่อยอดมาทำธุรกิจให้บริการธนาคารดิจิทัลด้วย

    ในประเทศเกาหลีใต้ แม้จะเคยมีบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคาร อยากลองทำธนาคารดิจิทัลมาตั้งแต่ปี 2001 แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีกฎหมายใด ๆ รองรับ

    จนกระทั่งในปี 2015 รัฐบาลเกาหลีใต้ เพิ่งมีการประกาศว่าจะเริ่มออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการธนาคารดิจิทัลแล้ว ซึ่งก็ได้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างจริงในปี 2017 หรือเพียง 4 ปีก่อน ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว

    ในปี 2017 มีผู้ให้บริการธนาคารดิจิทัล 2 แห่ง ที่ขอใบอนุญาต นั่นก็คือ

    K Bank ของบริษัท KT Corporation บริษัทเทเลคอมที่ใหญ่สุดในเกาหลีใต้
    KakaoBank ของบริษัท Kakao ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันแช็ตอันดับ 1 ของเกาหลีใต้

    การขอใบอนุญาตนี้ นับเป็นการจดทะเบียนธุรกิจธนาคารครั้งแรกในรอบ 25 ปี และเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของธนาคารเกาหลีใต้นับตั้งแต่ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่บางธนาคารควบรวมกิจการกันเพื่อความอยู่รอด

    ซึ่งก็ทำให้ปัจจุบัน เกาหลีใต้มีธนาคารที่ใหญ่ที่สุด 4 แห่ง นั่นก็คือ Kookmin Bank, Shinhan Bank, Hana Bank และ Woori Bank ที่ยังเป็นผู้นำด้านการให้สินเชื่อ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่คนละ 20-30% และมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8-9% ต่อปี

    แต่ธนาคารดั้งเดิมเหล่านี้ กำลังเผชิญการแข่งขันที่ท้าทายจากธนาคารดิจิทัล โดยเฉพาะผู้นำอย่าง KakaoBank ที่ธุรกิจสินเชื่อมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 60-70% ต่อปี จนมีส่วนแบ่งการตลาดไล่ตามมาเป็น 14% ซึ่งถ้ายังเติบโตด้วยอัตรานี้ อีกไม่นาน KakaoBank จะกลายเป็นธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อได้มากที่สุดในประเทศ

    ที่สำคัญก็คือ แม้ว่าธนาคารดั้งเดิมต่างก็มีแอปพลิเคชันของตัวเอง แต่แอปพลิเคชันธนาคารที่มีผู้ใช้งานมากสุด กลับกลายเป็น KakaoBank

    ตั้งแต่ที่เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2017 KakaoBank ก็มีผู้ใช้งาน 3 แสนบัญชีภายใน 24 ชั่วโมงและสามารถแตะระดับ 1 ล้านบัญชีได้ ภายในสัปดาห์แรก

    จนถึงปัจจุบัน KakaoBank มีผู้ใช้งาน 16.7 ล้านบัญชี คิดเป็น 32.5% ของจำนวนประชากรเกาหลีใต้ มากกว่าแอปพลิเคชันของธนาคารดั้งเดิมที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดอย่าง Kookmin Bank ที่มีผู้ใช้งานราว 11 ล้านบัญชี ซึ่งน่าสนใจว่าผู้ใช้งานของ Kookmin Bank ลดลงจาก 15 ล้านบัญชีในปี 2019

    และเมื่อเทียบกับ K Bank ธนาคารดิจิทัลของบริษัท KT Corporation ที่เปิดตัวเดือนเมษายน ปี 2017 หรือ 3 เดือนก่อนการเปิดตัวของ KakaoBank ปัจจุบันมีผู้ใช้งานเพียง 6.3 ล้านบัญชี

    ทั้ง ๆ ที่ K Bank ดูจะได้เปรียบกว่าเพราะมีฐานลูกค้าจากบริการเทเลคอมเกาหลีใต้กว่า 20 ล้านบัญชี แต่บริษัทก็ไม่สามารถดึงลูกค้าให้มาใช้บริการได้

    ในขณะที่ KakaoBank มีฐานลูกค้าจากแอปพลิเคชันแช็ต KakaoTalk ราว 40 ล้านบัญชี สามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้งาน KakaoBank ได้อย่างรวดเร็ว

    แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ KakaoBank สามารถชนะในตลาดนี้ได้ ?

    หนึ่งในเหตุผลหลัก ก็เป็นเพราะว่า KakaoBank มี KakaoPay ที่เป็นบริการชำระเงินเชื่อมกับแอปพลิเคชันแช็ต
    ที่ได้เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2014 และได้รับความนิยมสูงมากอยู่แล้ว

    อีกส่วนหนึ่งก็เพราะผู้ใช้งาน KakaoBank สามารถโอนเงินระหว่างบัญชี KakaoTalk ได้เลย
    จึงทำให้การถ่ายโอนผู้ใช้งานทำได้ง่ายและเร็ว

    นอกจากนี้ ก็ยังมีอีกปัจจัยที่ KakaoBank สามารถดึงดูดผู้ใช้งานได้ก็คือ อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม

    เพราะธนาคารดิจิทัลได้เปรียบธนาคารแบบดั้งเดิมในเรื่องต้นทุนที่ต่ำกว่าจากการที่ไม่มีต้นทุนในการจัดการหน้าสาขา ทำให้ไม่ต้องจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก

    ความได้เปรียบในเรื่องต้นทุน จึงทำให้ธนาคารดิจิทัลอย่าง KakaoBank คิดดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำกว่าและให้ดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงกว่าธนาคารแบบดั้งเดิมได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงยังให้บริการด้านอื่น ๆ แบบไม่คิดค่าธรรมเนียม ได้มากกว่าธนาคารแบบดั้งเดิม

    ยกตัวอย่างเช่น อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อไมโครของธนาคารดั้งเดิมจะอยู่ที่ 6-19%
    แต่ KakaoBank คิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อไมโครเพียง 3% ถูกกว่าธนาคารดั้งเดิมมากกว่าครึ่ง

    นอกจากความได้เปรียบโดยทั่วไปของธนาคารดิจิทัลแล้ว KakaoBank ยังสร้างจุดแข็งที่เหนือกว่าทุกแอปพลิเคชันธนาคารในประเทศ ด้วยการใส่ใจประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าเป็นหลัก

    แอปพลิเคชันของธนาคารดั้งเดิมมีจุดอ่อนอยู่หลายด้าน อย่างเช่น การสร้างแอปพลิเคชันแยกหลายอัน สำหรับบริการที่ต่างกัน ทำให้ผู้ใช้งานสับสน รวมไปถึงระบบที่ไม่เสถียร การออกแบบหน้าแอปพลิเคชันใช้งานยาก ขั้นตอนการทำธุรกรรมยังคงซับซ้อนไม่ต่างจากการทำธุรกรรมที่หน้าสาขา

    KakaoBank เลยออกแบบหน้าแอปพลิเคชันให้สวยงามและใช้งานง่าย ที่สำคัญคือลดความซับซ้อนและลดเวลาของแต่ละธุรกรรมลง

    ยกตัวอย่างเช่น การประเมินความเสี่ยงลูกค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-KYC ที่มีมาก่อนแล้ว แต่แอปพลิเคชันของธนาคารดั้งเดิมใช้เวลาอนุมัติราว 30 นาที ขณะที่ KakaoBank ออกแบบให้ใช้เวลาอนุมัติแค่ 7 นาที ภายใต้มาตรฐานการประเมินความเสี่ยงแบบเดียวกัน

    นอกจากเรื่องการใช้งานที่สะดวกแล้ว KakaoBank ยังประสบความสำเร็จจากการใช้ฐานข้อมูลลูกค้า มาออกแบบบริการใหม่ ๆ ได้ถูกใจผู้ใช้งาน

    ยกตัวอย่างเช่น “บัญชีออมเงิน 26 สัปดาห์” ที่ให้ผู้ใช้งานเปิดบัญชีออมทรัพย์เพื่อออมเงินรายสัปดาห์ โดยสามารถตั้งจำนวนเงินออมแต่ละสัปดาห์ได้เอง สามารถเพิ่มลด ช่วงเวลาออมเงินได้เอง รวมถึงสามารถแชร์สถานะการออมลงโซเชียลมีเดียได้ด้วย

    บริการนี้ก็เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว เพราะผู้ใช้งานรู้สึกได้ท้าทายตัวเอง โดยภายในเดือนแรกที่เปิดตัว มีผู้ใช้งานกว่า 3 แสนบัญชี ผ่านไป 4 ปี มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 8 ล้านบัญชีในปัจจุบัน

    อีกบริการที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2020 ก็คือ “Mini” บริการสำหรับผู้ใช้งานที่มีอายุระหว่าง 14-18 ปี ที่ยังไม่มีบัญชีออมทรัพย์หรือบัตรเครดิต ให้สามารถซื้อก่อนจ่ายทีหลังได้ โอนเงินได้แม้ไม่มีบัญชีธนาคาร รวมถึงยังออกบัตร Minicard สำหรับให้ใช้จ่ายแบบออฟไลน์ได้ด้วย

    บริการ Mini ก็ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย เพราะมีผู้ใช้งานทะลุ 5 หมื่นบัญชีในวันเดียว และทะลุ 5 แสนบัญชีใน 1 เดือน

    และนอกจากจะเพิ่มประเภทสินเชื่อและบริการให้ผู้ใช้งานที่เปิดบัญชีกับ KakaoBank เองแล้ว
    KakaoBank ยังพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเอง เพื่อรองรับผู้ใช้บริการจากสถาบันการเงินเจ้าอื่นด้วย

    ยกตัวอย่างเช่น บริการเปิดบัตรเครดิตของผู้ให้บริการอื่น เช่น Shinhan Card และ Samsung Card

    โดยมี KakaoBank เป็นผู้จัดจำหน่ายและใช้กลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าด้วยลายบัตรที่เป็นแครักเตอร์จากสติกเกอร์ของ KakaoTalk เอง เช่น Ryan ซึ่งได้รับความนิยมสูงมากอยู่แล้ว คล้ายกับ Moon ของแอปพลิเคชันแช็ต LINE

    KakaoBank ยังให้บริการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ให้บริการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินอื่น ๆ และล่าสุดก็ได้พัฒนาหน้าแอปพลิเคชันให้แสดงทุกบัญชี จากทุกสถาบันการเงินทั้งหมดที่ลูกค้ามี

    ผลจากการตีแตกความต้องการของลูกค้า ก็สะท้อนมาที่ผลการจัดอันดับของ RFi ที่ให้ KakaoBank เป็นแอปพลิเคชันที่ได้คะแนนความพึงพอใจจากผู้ใช้งานมากที่สุดในเกาหลีใต้ 2 ปีซ้อน

    ที่น่าสนใจก็คือ ความพึงพอใจของผู้ใช้งาน KakaoBank ในช่วงอายุ 40-50 ปี สูงกว่ากลุ่มที่อายุน้อยกว่า ซึ่งข้อมูลนี้ก็สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าที่ KakaoBank เลือกโฟกัสกลุ่มผู้ใช้งานในเมืองที่มีอายุ 30-50 ปีมาตั้งแต่แรก สวนทางกับบริษัทฟินเทคส่วนใหญ่ที่จะโฟกัสกลุ่มผู้ใช้งานช่วงอายุ 20-30 ปี

    เพราะ KakaoBank มองว่าผู้ใช้งานกลุ่มนี้ มีความเข้าใจในบริการทางการเงินมากกว่า และมีรายได้โดยเฉลี่ยสูงกว่า ทำให้โอกาสไม่จ่ายคืนหนี้มีน้อยกว่า เช่นกัน

    ซึ่งก็ดูเหมือนว่า KakaoBank คิดถูก เพราะ KakaoBank มีสินเชื่อที่ลูกหนี้ไม่ยอมจ่ายนานกว่า 3 เดือนติดต่อกัน หรือ NPL อยู่ที่ 0.18% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารในเกาหลีใต้ที่ 0.55%

    ในด้านการทำกำไร แม้ KakaoBank จะเก็บดอกเบี้ยสินเชื่อต่ำและจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากสูง ทำให้รายได้สุทธิจากดอกเบี้ยน้อยลง

    แต่จากการควบคุมต้นทุนได้ดี เลยทำให้ความสามารถในการทำกำไรจากดอกเบี้ยหรือ NIM อยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยของธนาคารในเกาหลีใต้

    ผลจากความสามารถในการทำกำไรที่ไม่แพ้ธนาคารดั้งเดิมและจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เลยทำให้ KakaoBank สามารถทำกำไรได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2019 หรือเพียง 18 เดือนหลังจากเริ่มให้บริการเท่านั้น เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลา 3-5 ปี

    ซึ่งความเร็วในการทำกำไรนี้ก็ถือว่าผิดปกติไปจากบริษัทฟินเทคโดยส่วนใหญ่ ที่จะยอมขาดทุนมหาศาล เพื่อทุ่มเงินลงทุนเร่งขยายฐานลูกค้าและพัฒนาเทคโนโลยีก่อน อย่าง Nubank เองก็ยังขาดทุนอยู่ หรือ K Bank จากบริษัท KT Corporation ก็เพิ่งทำกำไรได้เป็นครั้งแรกในไตรมาส 2 ปี 2021 ที่ผ่านมา

    ขณะที่ KakaoBank ก็ยังเน้นลงทุนเพื่อขยายฐานลูกค้าและพัฒนาบริการเช่นกัน แต่กำไรยังเติบโตเป็นเท่าตัวได้อย่างต่อเนื่อง อย่างล่าสุด กำไรจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 ก็เติบโต 200% โดยยังคงมีรายได้หลักกว่า 70% มาจากดอกเบี้ย

    สิ่งที่ต้องจับตามองต่อจากนี้ นอกจากพัฒนาการของ KakaoBank เอง ก็คือคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Toss สตาร์ตอัปยูนิคอร์นด้านฟินเทคแรกของเกาหลีใต้ ที่เริ่มเปิดตัวแอปพลิเคชันโอนเงินบนสมาร์ตโฟนเมื่อปี 2015

    โดย Toss Bank เพิ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ให้บริการธนาคารดิจิทัลรายที่ 3 ของเกาหลีใต้ ในเดือนกันยายนนี้ แต่จะโฟกัสลูกค้าต่างไปจาก KakaoBank อย่างเช่น ผู้ใช้งานที่อายุน้อยกว่าและเน้นสินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้มีคะแนนเครดิตต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

    และแม้ว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Toss อย่างเช่น บริการชำระเงินและบัญชีซื้อขายหุ้น จะมีฐานลูกค้ารวม 20 ล้านบัญชี แต่เมื่อเทียบกับผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของอาณาจักร Kakao ที่มีเกือบ 50 ล้านบัญชี หรือเกือบทั้งหมดของประชากรเกาหลีใต้ 51.7 ล้านคน ก็นับว่ายังเป็นเรื่องยากสำหรับ Toss ที่จะชิงฐานลูกค้าไปจาก KakaoBank

    และด้วยเรื่องราวทั้งหมดนี้
    นั่นจึงทำให้ในเวลาเพียง 4 ปี KakaoBank ได้กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากถึง 1.1 ล้านล้านบาท ใหญ่เป็นอันดับ 10 ในเกาหลีใต้ และได้ขึ้นแท่นเป็นบริษัทธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ ไปแล้วเรียบร้อย..
    ╔═══════════╗
    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
    ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
    แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
    Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
    Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
    Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
    References:
    -https://asia.nikkei.com/Business/Finance/South-Korea-digital-lenders-challenge-nation-s-traditional-giants
    -https://openknowledge.worldbank.org/bitstream/handle/10986/34701/Digital-Banks-Lessons-from-Korea.pdf?sequence=1&isAllowed=y
    -https://uniteconomics.substack.com/p/kakao-bank-worlds-most-profitable
    -https://www.theedgemarkets.com/article/cover-story-south-korea-experience-how-kakao-bank-forced-traditional-banks-buck
    -https://asianbankingandfinance.net/financial-technology/exclusive/how-kakaobank-successfully-cracked-profitability-code-two-years-after
    -https://www.koreatimes.co.kr/www/biz/2019/05/126_269111.html
    -http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20190618000501
    -http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20210712000783
    -http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20210817000968
    -http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20210805000838
    -https://www.kedglobal.com/newsView/ked202106110008

你可能也想看看

搜尋相關網站