[爆卦]แพะ ภาษาจีน是什麼?優點缺點精華區懶人包

雖然這篇แพะ ภาษาจีน鄉民發文沒有被收入到精華區:在แพะ ภาษาจีน這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章

在 แพะ產品中有130篇Facebook貼文,粉絲數超過27萬的網紅อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์,也在其Facebook貼文中提到, ที่มีการแชร์ภาพ "มือเด็ก มีรอยพยาธิ ชอนไช" เป็นเรื่องจริงนะครับ ... มันคือ "พยาธิปากขอ" ครับ ระวังๆ เวลาเด็กไปเล่นดินเล่นทรายที่ไม่สะอาด มีหมาแมวไปอึท...

 同時也有183部Youtube影片,追蹤數超過42萬的網紅ชาญชัย กินให้อ้วนรวย,也在其Youtube影片中提到,...

แพะ 在 NinaBeautyWorld Instagram 的最讚貼文

2021-09-03 15:37:34

ก่อนกลับกทม.พาพี่น่อนแวะ @veneto_suanphueng ดูสัตว์น่ารักๆแป๊บส ที่นี่ดีเลยนะ มีสัตว์หลายชนิด แพะ ม้าแคระ กระต่าย นก เป็ด ห่าน ปลาคาร์ฟ และมุมถ่ายรูป+...

แพะ 在 GINYUUDAI ー กินอยู่ได้ Instagram 的最讚貼文

2021-09-03 15:46:53

#โรตีที่รักกกก 💖 อยู่บ้านวันนี้แอดขอทาน ของหากินยาก จาก @mokbox_ ✨ นั่นก็คือ ข้าวหมก / มาซาล่า / คีม่า / โรตี / ซุปเนื้อน่องลาย 😍 บอกเลยว่า อร่อยมากๆ ...

  • แพะ 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最佳貼文

    2021-09-30 16:29:19
    有 1,023 人按讚

    ที่มีการแชร์ภาพ "มือเด็ก มีรอยพยาธิ ชอนไช" เป็นเรื่องจริงนะครับ ... มันคือ "พยาธิปากขอ" ครับ ระวังๆ เวลาเด็กไปเล่นดินเล่นทรายที่ไม่สะอาด มีหมาแมวไปอึทิ้งไว้ จะมีพยาธิปนเปื้อนอยู่ได้ครับ

    ขอเอาข่าวจาก PPTV ที่อธิบายเรื่องนี้ไว้ มาเพิ่มเติมครับ
    -------
    (รายงานข่าว) "โซเซียลแชร์พยาธิไชใต้ผิวหนังเด็กเล็ก"
    30 ก.ย. 2564

    อุทาหรณ์สำหรับผู้ปกครองที่มีลูกเล็ก หลังออกไปเล่นดินทรายอาจทำให้พยาธิเข้าไปชอนไชใต้ผิวหนังได้ แพทย์เผยอาจเป็นพยาธิปากขอที่มีตัวอ่อนอยู่ในดินทราย ส่วนใหญ่พบในดินที่มีความชื้นและพบได้บ่อยในเด็กเล็ก หากเข้าไปในชั้นผิวหนังอาการไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตแต่แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับยาฆ่าเชื้อ

    เฟซบุ๊กแฟนเพจ “อีซ้อขยี้ข่าว2” โพสต์ภาพที่ได้มาจากผู้ปกครองท่านหนึ่ง ฝากเตือนเด็กเล็กที่ออกไปเล่นดินทรายกลับมาแต่อาจลืมล้างมือ ทำให้พยาธิที่มากับดินทรายเข้าไปชอนไชใต้ผิวหนังของเด็กได้ ประเด็นนี้ทีมข่าวสอบถาม ศ.ดร.นพ.เผด็จ สิริยะเสถียร หัวหน้าภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นพ.เผด็จ ให้ข้อมูลว่าอาจเป็นกลุ่มพยาธิปากขอ หรือพยาธิเส้นด้ายที่อยู่บนดินและชอนไชเข้าไปในผิวหนัง

    หากเด็กเล็กเล่นดินทรายที่มีตัวอ่อนพยาธิอยู่ก็อาจจะชอนไชเข้าไปในผิวหนังได้ และส่วนใหญ่จะพบในดินที่มีความชื้นและพบได้บ่อยในเด็กเล็กที่เล่นดินทราย

    นพ.เผด็จ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวงจรชีวิตของพยาธิปากขอ ในคน เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะตายไปเอง ส่วนใหญ่หมอจะรักษาด้วยการให้ยาฆ่าพยาธิไปกิน

    จาก https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/157510/amp
    --------
    (รายงานข่าว) "แพทย์แนะไม่ควรเดินเท้าเปล่าตามพื้นดิน-พื้นทราย เสี่ยง “โรคตัวอ่อนพยาธิไชตามผิวหนัง”

    หลังจากโลกออนไลน์ได้มีการส่งข้อเกี่ยวกับเรื่องของตัวอ่อนพยาธิชอนไชผิวหนัง ล่าสุดกรมควบคุมโรค ได้เตือนประชาชนระวังตัวอ่อนพยาธิไชตามผิวหนัง เผยเป็นตัวอ่อนพยาธิปากขอของสุนัขและแมวอาศัยในดิน ตัวอ่อนพยาธินี้จะไชเข้าไปในเท้าคนที่เดินเท้าเปล่า แนะให้หลีกเลี่ยงพื้นดินที่ชื้นแฉะ ไม่ควรเดินเท้าเปล่าตามพื้นดินและพื้นทรายตามชายหาด

    วันนี้ ( 5 ก.พ.61) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยถึงกรณีที่มีการส่งต่อกันในโซเชียลเกี่ยวกับตัวอ่อนพยาธิชอนไชผิวหนัง กรมควบคุมโรค ขอให้ข้อมูลว่า โรคตัวอ่อนพยาธิชอนไชผิวหนัง (Cutaneous larva migrans) เป็นโรคที่เกิดจากตัวอ่อนพยาธิปากขอของสัตว์ เช่น สุนัข แมว แพะ แกะ ม้า สุกร โค หรือพยาธิเส้นด้ายของสัตว์ โดยตัวอ่อนพยาธิอาศัยอยู่ในดิน ส่วนใหญ่เป็นพยาธิปากขอ จะไชเข้าไปทางผิวหนัง ผ่านทางรอยแผลหรือรูขุมขนในผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น หรือชั้นหนังกำพร้า เกิดผื่นเส้นนูนแดงคดเคี้ยวใต้ผิวหนังตามทางที่ตัวอ่อนพยาธิไชผ่าน แต่เนื่องจากคนไม่ใช่พาหะที่ตัวอ่อนจะเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยได้ ดังนั้น ตัวอ่อนพยาธิจึงไปตามผิวหนังชั้นหนังกำพร้าเพื่อหาทางออกจากร่างกายคน ตัวอ่อนพยาธิจะตายเองใน 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน พยาธิสภาพและอาการแสดงทางผิวหนังจะเป็นอยู่นานจนกว่าตัวอ่อนพยาธิจะถูกทำลายโดยภูมิคุ้มกัน

    ส่วนการติดต่อ คนจะติดโรคโดยบังเอิญ จากการที่ตัวอ่อนพยาธิ ที่อาศัยอยู่ตามพื้นดินชื้นแฉะแล้วไชเข้าผิวหนังของคนที่เดินเท้าเปล่าหรืออาจจะติดตามตัวทาก หรือเข้าตามผิวหนังของเด็กที่นั่งเล่นตามพื้นดินหรือทรายตามชายหาด และสามารถไชผ่านเสื้อผ้าบางๆ ของเด็กได้ สำหรับการเกิดโรคนั้น ตัวอ่อนพยาธิจะหลั่งเอ็นไซม์เพื่อไชผ่านผิวหนังปกติ ผิวหนังที่เป็นแผล หรือไชเข้ามาตามรูขุมขน มาอยู่ในชั้นหนังกำพร้า แต่ไม่สามารถไชผ่านหนังแท้ได้ หลังจากนั้น 2-3 ชั่วโมง ผิวหนังบริเวณนั้นจะเกิดการอักเสบ และอีก 2-3 วันจะเคลื่อนที่ไปใต้ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ผิวหนังจะอักเสบ บวมน้ำ มีเม็ดเลือดขาวมาคั่งอยู่ จากนั้นผู้ป่วยจะเกิดผื่น โดยตอนแรกเป็นตุ่มเล็กๆ สีแดง เมื่อตัวอ่อนพยาธิไชเข้าไปจะเห็นรอยแผล เป็นผื่นเส้นนูนสีแดงกว้าง 2-3 มิลลิเมตร คดเคี้ยวไปมา ซึ่งผื่นอาจมีความยาวได้ถึง 15-20 เซนติเมตร ตัวอ่อนของพยาธิจะเคลื่อนที่วันละ 2-3 มิลลิเมตร จนถึงหลายเซนติเมตร ผื่นมักพบบริเวณผิวหนังที่สัมผัสกับดินโดยตรงคือ มือ เท้า ในเด็กเล็กอาจพบผื่นที่ก้นได้ อาการร่วมที่สำคัญคือมีอาการคันมาก อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ ทั้งนี้ ขอให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกวิธี ต่อไป

    สำหรับโรคนี้พบมากในภูมิภาคร้อนชื้นและอบอุ่น เช่น ประเทศแถบอเมริกาตอนใต้ อเมริกากลาง อเมริกาใต้ บราซิล แถบชายหาดทะเลแคริบเบียน แถบอากาศกึ่งร้อนชิ้นอบอุ่นทั่วโลก ประเทศอัพริกาตอนใต้ เอเชียตอนใต้ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้ง ประเทศอินโดนีเซีย บอร์เนียว มาเลเซีย

    กรมควบคุมโรค แนะนำวิธีป้องกัน โดยขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นดินที่ชื้นแฉะ ไม่ควรเดินเท้าเปล่าตามพื้นดินหรือพื้นทราย เช่น ตามชายหาด ให้สวมรองเท้าทุกครั้งที่ต้องเดินบนพื้นดินและรีบล้างเท้าทำความสะอาดทุกครั้งหลังเดินชายหาด สวมถุงมือทุกครั้งที่ต้องสัมผัสกับดิน เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวอ่อนพยาธิไชเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงให้ขับถ่ายอุจจาระลงส้วมทุกครั้ง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของ ล้างมือบ่อยๆ ทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร และก่อนออกจากห้องน้ำ นอกจากนี้ ขอให้เจ้าของสุนัขและแมว นำสัตว์เลี้ยงไปตรวจรักษาโรคหนอนพยาธิในสัตว์ที่สามารถแพร่โรคสู่คนได้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแพร่ตัวอ่อนพยาธิจากสัตว์ลงในพื้นดิน

    จาก https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/75231

  • แพะ 在 หมอๆ ตะลุยโลก Facebook 的最佳解答

    2021-09-25 20:26:55
    有 632 人按讚

    ซาร์ดิเนีย ทำไมคนที่นี่อายุยืน

    ความเดิมจากตอนที่แล้วว่าด้วยเรื่อง Blue Zones ดินแดนที่คนอาศัยอยู่อายุยืนเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งมีอยู่หลายแห่งทั่วโลก ซึ่งได้พาไปสู่สถานที่แรกคือหมู่เกาะโอกินาวาที่มีอัตราส่วนของคนที่อายุเกิน 100 ปี มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยวัฒนธรรมการกินที่ออกไปในแนวทางเกือบจะเป็นมังสวิริตและการกินแค่พอดีอิ่มเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญมาจนปัจจุบัน วันนี้ผมขอมาเที่ยวยังสถานที่ต่อไป แต่ว่าย้ายมาอยู่ที่ในทวีปยุโรปแทน

    เกาะซาร์ดิเนีย (Sardinia) ที่ตั้งอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เนียน ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลี ซาร์ดิเนียเป็นเกาะที่มีความใหญ่เป็นลำดับที่สอง ซาร์ดิเนียขึ้นชื่อเรื่องของการเป็นสถานที่พักตากอากาศชื่อของทวีปยุโรป เกาะซาร์ดิเนียมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่ราบสูงต่างจากแผ่นดินใหญ่อิตาลี ซึ่งจากชัยภูมิอันยากแก่การเข้าถึงในอดีตรวมถึงสภาพอากาศที่แตกต่างจนเรียกว่าเป็น micro-continent รวมทั้งมีอารยธรรมของตนเองแต่โบราณที่ชื่อว่า Nuragic civilization ทำให้เกาะซาร์ดิเนียเป็นอะไรที่แตกต่างจากอิตาลีในส่วนอื่นๆเป็นอย่างมาก

    จากเกาะซาร์ดิเนีย เดินทางไปยังจังหวัด Ogliastra ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Talana หมู่บ้านแห่งนี้ มีจำนวนประชากรไม่ได้มาก แต่ถ้าใครมีอายุเกิน 100 ปี สำหรับที่นี่คือไม่ใช่เรื่องแปลก และที่แปลกมากขึ้นไปอีกคือ ในพื้นที่อื่นๆ ที่คนอายุยืน อัตราส่วนของผู้หญิงต่อผู้ชายที่อายุมากกว่า 100 ปีคือ 5:1 แต่ที่ซาร์ดิเนีย จะอยู่เพียงแค่ 2:1 แปลว่า ผู้ชายที่ซาร์ดิเนียอายุยืนกว่าค่าเฉลี่ยมากถึงมากที่สุด ถ้าเราไปถามคนท้องถิ่นเขาจะบอกเหตุผลของอายุที่ยืนว่ามาจากอากาศที่สะอาดจากบนภูเขาและอาหารที่ส่วนใหญ่มากจาพื้นดินเช่นผัก คำตอบดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จริงๆมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้นอีกมากมายครับ

    คนที่ซาร์ดิเนียโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อยู่ในวัยกลางคนขึ้นไปจนถึงผู้สูงอายุ จะมีไลฟ์สไตล์ประเภที่เรียกว่า “shepherd's lifestyle” หรืออารมณ์ประมาณเป็นคนที่ต้องคอยเลี้ยงดูปศุสัตว์แบบในอดีต ซึ่งจะมีกิจกรรมที่อยู่ในระดับที่ออกกำลังกายชนิดออกแรงน้อยจนถึงปานกลาง (low to moderate exercise) ซึ่งหัวใจจะเต้นในระดับโซน 2 หรืออารมณ์ประมาณเดินเร็ว ซึ่งเป็นระดับการออกแรงที่ไม่ได้ใช้ร่างกายอย่างหักโหมแต่เผาผลาญไขมันได้เป็นอย่างดีรวมทั้งรักษาระดับการใช้พลังงานต่อวันอย่างต่อเนื่อง (การออกกำลังกายโซน 2 คือ การออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นที่ 60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุดของเรา คิดมาจาก เอา 220 - อายุของเรา เช่น ถ้าเราอายุ 30 ปี จะได้อัตราการเต้นสูงสุดคือ 190 ถ้าคิดเป็น 70% ก็คือ 133 ครั้งต่อนาทีนั่นเองครับ แปลว่า ยิ่งอายุเยอะ ตัวเลขนี้ก็จะค่อยๆลดลงมาเรื่อย)

    ประเด็นต่อมาคือ สังคมของคนซาร์ดิเนีย ผู้สูงอายุจะไม่ได้ไปอยู่ในบ้านพักคนชราหรือสถานที่ๆรัฐจัดให้ แต่จะอยู่ในอาศัยในบ้านหลังเดิมคอยดูแลความเป็นไปของสมาชิกรุ่นหลัง ให้ความรู้แก่หลานหรือเหลน ทำให้ผู้สูงอายุเหล่านี้ยังคงมีพันธะผูกพันกับครอบครัวอย่างเหนียวแน่น สุขภาพจิตจึงดีมากๆ และอย่างต่อมาคือประเด็นที่สำคัญคือ สิ่งที่คนซาร์ดิเนียกินเป็นประจำนั้น คืออะไร

    อาหารแบบเมดิเตอร์เนียน (Mediterranean diet) เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เราควบคุมได้ นอกเหนือไปจากสภาพสังคมที่ไม่วุ่นวาย สังคมที่อยู่กันแบบอาศัยเกื้อกูลกัน สังคมที่อยู่กันแบบหมู่บ้านใหญ่ มีเพื่อนบ้านคอยเรียกหาอยู่ตลอดเวลา อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนเป็นหนึ่งในรูปแบบที่ย้อนกลับไปสู่ธรรมชาติ

    คนซาร์ดิเนียมักจะทานผักเป็นอาหารจานหลัก และถ้าจะกินแป้งก็มักจะได้แป้งที่มาจากขนมปังซาวโดวจ์ (Sourdough) ซาวโดวจ์ คือ ขนมปังที่ถูกทำให้ขึ้นฟูด้วยการหมักแป้งกับยีสต์ในธรรมชาติที่เราเพาะขึ้นเอง โดยอาจจะเพาะยีสต์จากผลไม้ เป็นต้น ไม่ใช่ยีสต์จากโรงงานอุตสาหกรรมแบบในปัจจุบัน ซึ่งในยีสต์ธรรมชาตินั้นมีแบคทีเรียและเอนไซม์ที่ไปช่วยย่อยสารอาหารต่างๆที่แตกต่างออกไป

    นอกจากนี้คนซาร์ดิเนียยังทานพืชตระกูลถั่วเสริมเข้าไปเป็นอีกแหล่งพลังงานเช่นกัน โดยเฉพาะ อัลมอนด์ (Almond) และ วอลนัท (Walnut) ซึ่งถั่วสองชนิดชนิดนี้ขึ้นชื่อว่ามี กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดพันธะเดี่ยว (monounsaturated fatty acid) ในสัดส่วนที่สูงกว่าถั่วชนิดอื่นๆ และที่สำคัญคือ พวกเขากินชีส (Cheese) ที่ทำมาจากผลิตภัณฑ์นมสัตว์โดยตรงเช่น แพะ หรือ แกะ เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ (ต้องแยกระหว่าง ชีส กับ เนย ออกจากกันก่อนนะครับ เนย คือ ไขมันที่ได้จากกระบวนการแยกไขมันออกจากนมสด แต่ชีสคือนมสดแท้ๆ ที่อุดมด้วยโปรตีนที่ถูกนำมาผ่านกระบวนการให้จับตัวเป็นก้อนหรือเป็นแผ่น) โดยคนซาร์ดิเนียถือว่าเป็นกลุ่มคนที่ทานเนื้อสัตว์น้อยมาก มีเพียงบางส่วนที่อาศัยริมทะเลที่ทานปลาเป็นแหล่งโปรตีนเสริม

    จุดเด่นอีกอย่างของอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน คือ น้ำมันมะกอก (Olive oil) ซึ่งเป็นน้ำมันสำคัญที่ใส่ในอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fat) กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fat) ที่จะช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) ในร่างกายลง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคจากระดับไขมันในเลือดสูงอย่างโรคหัวใจอันเป็นผลต่อเนื่องตามมา

    มาถึงตรงนี้จะเห็นว่า อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่เป็นไขมันชนิดดี ไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง และเป็นไขมันที่มาจากธรรมชาติไม่ผ่านการสังเคราะห์เกือบทั้งหมด ดังนั้นการจะกล่าวโทษไขมันว่าเป็นตัวร้ายอาจจะต้องมองใหม่ถ้าเรามาดูผลลัพธ์ของสังคมซาร์ดิเนียครับ

    นอกจากนี้ คนซาร์ดิเนีย ยังดื่มไวน์แดง (red wine) เป็นประจำ โดยเฉลี่ยดื่มที่ 0.5 ลิตรต่อสัปดาห์ คิดเป็นประมาณ 1 แก้ว/วัน ถามว่าไวน์แดงช่วยเรื่องอายุยืนได้อย่างไร ในไวน์แดงจะมีสารกลุ่ม polyphenol ที่ชื่อว่า resveratrol ซึ่งเป็นสารที่ถูกสังเคราะห์โดยพืชที่อยู่ในภาวะขาดสารอาหารและมีการติดเชื้อรา (หรือกระบวนการบ่มไวน์นั่นเองครับ) โดยเจ้าสาร resveratrol ถือว่าเป็นสารในกลุ่มต้านอนุมูลอิสระสามารถพบได้ในเปลือกขององุ่นแดงและขาว แต่จะพบมากในองุ่นแดง ซึ่งไวน์แดงเป็นอาหารที่คนในแถบเมดิเตอร์เรเนียนทานอยู่เป็นประจำพร้อมกับมื้ออาหารซึ่งที่ซาร์ดิเนียก็เช่นกัน แน่นอนว่าปริมาณที่กินมีส่วนสำคัญอย่างมากครับ กินมากกว่านี้จะถือว่าเป็นโทษ

    จะเห็นว่าด้วยหลายๆปัจจัยที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันเป็นเวลานาน ไม่ได้จากเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว ที่ทำให้สังคมของขาวซาร์ดิเนียถือว่าเป็นอีกพื้นที่มีคนอาศัยอยู่อายุยืนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งปัจจัยทางสังคมบางอย่างเราในเมืองอาจจะนำมาปรับใช้ได้ยาก แต่เรื่องของอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนสามารถนำมาใช้กับเราได้ในบางส่วนของชีวิตแน่นอนครับ

    ชื่อจังหวัด Ogliastra ที่กล่าวถึงนั้นตั้งตามชื่อของต้นมะกอกที่ชื่อว่า olivastri โดยต้นมะกอกต้นนี้ไม่อายุอานามมา 3 พันปีแล้วครับ

  • แพะ 在 หมอๆ ตะลุยโลก Facebook 的最佳貼文

    2021-09-18 09:00:02
    有 514 人按讚

    #เรื่องเล่ารอบโลก
    #มาไซ
    ทำไมต้องกระโดด?!
    เครื่องแต่งกายสีแดง หอกคู่ใจ และการกระโดดสูง นับเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ “ชนเผ่ามาไช” หนึ่งในชนเผ่าที่สำคัญที่สุดของแอฟริกา
    .
    ชาวมาไซเป็นกลุ่มคนแอฟริกันพื้นเมืองตั้งรกรากอยู่ทางตอนเหนือของประเทศแทนซาเนียและในประเทศเคนย่า มีกี่ดำรงชีพแบบกึ่งเร่ร่อน การสร้างที่อยู่อาศัยจึงเป็นแบบชั่วคราว หรือที่เรียกว่า Inkajijik มีลักษณะเป็นกระท่อมทรงกลมถูกสร้างโดยผู้หญิงในเผ่าจากกิ่งไม้ ใบไม้ และดิน ส่วนผู้ชายมีหน้าที่สร้างรั้วไม้พุ่มล้อมรอบหมู่บ้านเรียกว่า Enkang สร้างจากไม้อะคาเซียที่มีหนามเพื่อป้องกันฝูงสัตว์ในเผ่าจากสัตว์ป่าในตอนกลางคืน
    .
    ชาวมาไซดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงสัตว์เป็นหลักทั้งวัว แพะ และแกะ สัตว์เลี้ยงเหล่านี้นอกจากเป็นแหล่งอาหารแล้วจำนวนสวัวและจำนวนบุตรในบ้านยังแสดงถึงความมั่งคั่งของบ้านนนั้นๆด้วย มีวัวเยอะลูกเยอะจึงจะถือว่าร่ำรวยและน่าเคารพ หากมีวัวหรือลูกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ยังถือว่าเป็นคนธรรมดา ไม่ได้ร่ำรวยหรือได้รับการยกย่องแต่อย่างใด
    .
    ภาษาที่ใช้ของเผ่า คือ ภาษา Maa ซึ่งเป็นภาษาจากชนชาติ Nilotic เป็นหลัก (Nilotic คือกลุ่มคนพื้นเมืองในหุบเขาไนล์) นอกจากนี้ยังใช้ภาษาราชการของแทนซาเนียและเคนย่าด้วย และมีบางส่วนที่พูดภาษาสวาฮีลีและภาษาอังกฤษ
    ชนเผ่าในแอฟริกาที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยบริเวณประเทศแทนซาเนียและเคนยามีประเพณีที่ยังสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
    .
    Jumping Dance!!!

    สำหรับประเพณีกระโดดหาคู่ ฟังไม่ผิด กระโดดหาคู่ เรียกว่า Adumu หรือ Jumping Dance

    Jumping Dance เป็นการแข่งขันที่ชาวเผ่าเพศชายจะพลัดกันกระโดดให้สูงที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ คนที่กระโดดได้สูงที่สุดจะสามารถเลือกหญิงสาวที่ถูกใจมาเป็นภรรยาได้ สำหรับการเต้นรำชาวเผ่าทั้งชายหญิงจะยืนล้อมกันเป็นวงกลม และเพศชายก็จะผลัดกันออกมากระโดดให้สูงที่สุดเพื่อแสดงถึงพละกำลังความแข็งแกร่ง ซึ่งเด็กชายจะได้รับการฝึกกระโดดมาตั้งแต่เด็กๆเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าพิธีนี้โดยเฉพาะ ก่อนการเริ่มพิธีการ หนุ่มๆสาวๆในเผ่าจะเพ้นท์หน้าและร่างกายเป็นลวดลายต่างๆ ด้วยผงสีแดงซึ่งทำจากดินเหลือง พร้อมสวมลูกปัดหินและผ้าคลุมไหล่สีสันสดใส

    นักรบต่างยืนล้อมรอบเป็นวงกลม จากนั้นชายหนุ่มในเผ่าจะออกมาตรงกลางวง 2 คนพร้อมหอกในมือ พวกเขาเริ่มผลัดกันกระโดดให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยส้นเท้าทั้งสองข้างจะต้องไม่แตะพื้นระหว่างกระโดด ยืดตัวตรงและแขนสองข้างแนบข้างลำตัว เมื่อหนุ่มๆ กระโดดได้ถึงจุดสูงสุดที่สามารถทำได้ (หรือจนเหนื่อยแล้ว) ก็จะผละออกจากวง เพื่อให้ชายหนุ่มคนอื่นผลัดกันเข้ามากระโดดแสดงความแข็งแรงต่อไป
    .
    การเต้นรำ adamu ไม่ได้มีเสียงกลองให้จังหวะเหมือนการเต้นรำทั่วไปที่เราคุ้นเคย แต่ใช้เสียงของคนในเผ่าในการให้จังหวะเป็นทำนอง ยิ่งกระโดดได้สูงเสียงร้องก็ยิ่งดังขึ้น คล้ายๆการโห่ร้องเพื่อดึงความฮึกเหิมของหนุ่มๆ ยิ่งดังก็ยิ่งมีแรงยิ่งกระโดดสูงขึ้น สาวๆ เองต่างก็ร้องเพลงและเต้นรำเข้ากับจังหวะเพื่อเชียร์หนุ่มๆ ที่พวกเธอชื่นชอบ ส่วนบรรดาแม่ๆ ของนักรบก็จะร้องเพลงเพื่อให้กำลังใจลูกชายของตัวเอง ท้ายที่สุดนักรบคนไหนที่สามารถกระโดดได้สูงที่สุดจะมีสิทธิ์ในการเลือกหญิงสาวที่ถูกใจเพื่อมาเป็นภรรยา
    .
    เห็นแบบนี้นักท่องเที่ยวหลายคนเคยลองไปฝึกกระโดดแต่ทว่าไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียนี่ และประเพณี Adumu หรือ Jumping Dance นี้เองที่เป็นอีกหนึ่งประเพณีที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก
    #หมอๆตะลุยโลก #Maasai #Tanzania #Kenya #Adumu #JumpingDance

你可能也想看看

搜尋相關網站