雖然這篇เริ่มงาน ภาษาอังกฤษ鄉民發文沒有被收入到精華區:在เริ่มงาน ภาษาอังกฤษ這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章
在 เริ่มงาน產品中有224篇Facebook貼文,粉絲數超過178萬的網紅ลงทุนแมน,也在其Facebook貼文中提到, มหากาพย์ Carlos ซีอีโอมุดกล่อง เครื่องดนตรี เพื่อหนีออกนอกญี่ปุ่น /โดย ลงทุนแมน “Carlos Ghosn” อดีต CEO และประธานบริษัทรถยนต์ชั้นนำของโลกอย่าง Renault...
同時也有7部Youtube影片,追蹤數超過74萬的網紅Online Station,也在其Youtube影片中提到,คราวนี้ลากยาวงาน E3 กับ Xbox Bethesda Square Enix ใครเชียร์ค่ายไหนลุ้นเกมใหม่มาดูด้วยกันกับพวกเรา Online Station เริ่มงาน 01:50 ช่วง Xbox 34:24 ช่วง B...
「เริ่มงาน」的推薦目錄
- 關於เริ่มงาน 在 Siam☆Dream【Official】 Instagram 的精選貼文
- 關於เริ่มงาน 在 GOT JIRAYU Instagram 的最佳解答
- 關於เริ่มงาน 在 chucheewa may ? Instagram 的最讚貼文
- 關於เริ่มงาน 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於เริ่มงาน 在 Hero Athletes Facebook 的最佳解答
- 關於เริ่มงาน 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
- 關於เริ่มงาน 在 Online Station Youtube 的最讚貼文
- 關於เริ่มงาน 在 ADBIG Youtube 的最佳解答
- 關於เริ่มงาน 在 ลุงอ้วน กินกะเที่ยว Youtube 的最讚貼文
เริ่มงาน 在 Siam☆Dream【Official】 Instagram 的精選貼文
2021-09-10 03:39:00
TIF ASIA TOUR KICK OFF ✈️ วันนี้แล้วกับงานจากญี่ปุ่น อย่าลืมมาดูเพื่อนๆ พี่น้องไอดอลไทย และ #SiamDream กันเยอะๆ นะคะ! และในภาพนี้ก็คือไลน์อัพทั้งหมดใ...
เริ่มงาน 在 chucheewa may ? Instagram 的最讚貼文
2021-01-09 13:30:55
เริ่มงาน Awakening Bangkok ปีนี้ที่ Prince Theatre กับสารคดีหนัง ‘The Man Who Walked Around the World’ ที่บอกเล่าเรื่องราว 200 ปีในการเดินของ Johnnie ...
-
เริ่มงาน 在 ADBIG Youtube 的最佳解答
2020-11-18 23:58:42แจกการ์ดจอ ZOTAC GEFORCE GTX 1650 SUPER - 5,490 บาท ฟรี
ได้ลุ้นทุกคนเพียงลงทะเบียน และมาร่วมงาน
ลงทะเบียนด้วย
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScgz5N6OQY9ZHUBwvQjFnWtMDHzD4mbhfVzaHNCdls0txi-8g/viewform?usp=sf_link
เสาร์นี้ 21 พ.ย. ADBIG -ZOTAC Gaming Gathering เจอกันที่ ร้าน Hybrid E-Sport Hatyai สาขาหน้าอุดมศึกษาพาณิชการหาดใหญ่
เข้าฟรี!ตลอดงาน! มีของติดมือกลับบ้านทุกคน
งานเริ่ม 13.00 - 16.00 น.
โค้วต้าของแจกมีจำนวนจำกัด รีบเลย ลงทะเบียนเข้าร่วมไว้ก่อนเลย https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScgz5N6OQY9ZHUBwvQjFnWtMDHzD4mbhfVzaHNCdls0txi-8g/viewform?usp=sf_link
สำหรับกิจกรรม
12.00 ลงทะเบียน
13.00 - 14.30 น. เริ่มงาน และกิจกรรมต่างๆ
14.30 - 15.00 น. พูดคุยกับ ADBIG แข่งเกมแจกรางวัล
15.00 - 16.00 น. แจกรางวัล lucky Draw
สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่งานจะได้รับสิทธิลุ้นรางวัล ZOTAG Gaming GTX1650 Super
: 20 คนแรกจะได้รับ เสื้อ T-Shirt
: 30-50 จะไดรับ เครื่องดื่มเป๊ปซี่ 330ml
และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย
เริ่มงาน 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
มหากาพย์ Carlos ซีอีโอมุดกล่อง เครื่องดนตรี เพื่อหนีออกนอกญี่ปุ่น /โดย ลงทุนแมน
“Carlos Ghosn” อดีต CEO และประธานบริษัทรถยนต์ชั้นนำของโลกอย่าง Renault-Nissan-Mitsubishi ถือเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่ถูกจดจำในฐานะฮีโรของอุตสาหกรรมยานยนต์ จากความสามารถในการพลิกบริษัทที่ขาดทุน ให้กลับมาทำกำไรได้ในเวลาไม่นาน
แต่เขาคนเดียวกันนี้ กลับทำให้หลายคนทั่วโลกต้องช็อกถึง 2 ครั้ง
ครั้งแรก เขาโดนทางการญี่ปุ่นจับกุมแบบกะทันหัน
ครั้งที่สอง เขาหลบหนีจากญี่ปุ่นไปปรากฏตัวที่เลบานอน ทั้งที่ถูกคุมตัวอยู่
Ghosn หนีออกจากประเทศญี่ปุ่นไปได้อย่างไร
แล้วเรื่องราวของเขาส่งผลอย่างไรต่อกลุ่มบริษัท Renault-Nissan-Mitsubishi ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
“Carlos Ghosn” เป็นชาวเลบานอน ที่เกิดในประเทศบราซิล เมื่อปี ค.ศ. 1954
(ใครที่อยากทราบว่าทำไม คนเลบานอน อยู่ในบราซิล มากกว่าประเทศตัวเอง ลงทุนแมนเคยเขียนไว้ ลองอ่านได้ที่ลิงก์นี้ https://www.longtunman.com/30813)
ก่อนที่ในเวลาต่อมา เขาจะกลับมาเรียนหนังสือที่ประเทศเลบานอน
และก็เข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยและเริ่มทำงานที่ประเทศฝรั่งเศส
นั่นจึงทำให้ Ghosn ถือ 3 สัญชาติ และมีพาสปอร์ต 3 เล่ม ทั้งเลบานอน บราซิล และฝรั่งเศส
Ghosn เริ่มงานแรกที่ Michelin จนได้ขึ้นมาเป็นระดับผู้บริหาร ก่อนจะถูกชวนไปทำงานที่ Renault แบรนด์รถยนต์ฝรั่งเศส ต่อด้วย Nissan ที่ประเทศญี่ปุ่น จากการที่ Renault เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Nissan
Ghosn ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นนักพลิกฟื้นกิจการ จากที่ขาดทุนจนเกือบล้มละลาย
ให้กลับมามีกำไรได้ในเวลาไม่นาน ด้วยการลดต้นทุน จนได้รับฉายาว่า “Le Cost Killer”
ปี ค.ศ. 1985 เริ่มงาน CEO ที่ Michelin สำนักงานบราซิล ทำให้กลับมามีกำไรได้ภายใน 2 ปี
ปี ค.ศ. 1996 เริ่มงาน CEO ที่ Renault ประเทศฝรั่งเศส ทำให้กลับมามีกำไรได้ภายใน 1 ปี
ปี ค.ศ. 1999 เริ่มงาน CEO ที่ Nissan ประเทศญี่ปุ่น ทำให้กลับมามีกำไรได้ภายใน 1 ปี
นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ผลักดันให้เกิดกลุ่มพันธมิตร Renault-Nissan-Mitsubishi
ปี ค.ศ. 1999 Renault เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 43.4% ใน Nissan และ Nissan ถือหุ้น 15% ใน Renault
ปี ค.ศ. 2016 Nissan เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 34% ใน Mitsubishi
โดยในปี ค.ศ. 2016 ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกของทั้งกลุ่ม Renault-Nissan-Mitsubishi รวมกันอยู่ที่ 9.96 ล้านคัน อยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก
แต่ในเวลาเพียงปีเดียว ภายใต้การนำของ Ghosn กลุ่ม Renault-Nissan-Mitsubishi สามารถมียอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10.61 ล้านคัน ไต่อันดับขึ้นมาเป็นที่ 2 ของโลกได้ในปี ค.ศ. 2017
แซงหน้า Toyota และเป็นรองเพียงกลุ่ม Volkswagen เท่านั้น..
ด้วยผลงานที่โดดเด่นมาโดยตลอด Ghosn จึงถูกยกย่องจากทั่วโลกว่าเป็นฮีโรแห่งวงการยานยนต์
จนกระทั่งปีถัดมา
ในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2018 ทันทีที่เครื่องบินส่วนตัวที่เขาโดยสารมา ลงจอดที่สนามบินฮาเนดะประเทศญี่ปุ่น Ghosn โดนเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมแบบไม่ทันตั้งตัว ในข้อหา รายงานรายได้น้อยกว่าความจริง และใช้เงินของบริษัทไปกับเรื่องส่วนตัว
หลังจากนั้น 3 วัน บริษัทก็มีมติปลดเขาออกจากการเป็นประธาน Nissan ทันที
ก่อนที่เขาจะถูกให้ออกจากตำแหน่งใน Mitsubishi และ Renault ในเวลาต่อมา
หลังจากถูกตั้งข้อหา
Ghosn ก็ถูกนำตัวไปที่สถานกักกันโตเกียวและถูกสอบสวน
จนกระทั่งในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2019 หลังจากพยายามขอประกันตัวมา 3 ครั้ง
ศาลก็อนุญาตให้ประกันตัว และให้กลับไปถูกคุมตัวที่บ้านพัก เพื่อรอการพิจารณาคดีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี ค.ศ. 2020 แต่ในระหว่างนั้น Ghosn ก็ยังต้องถูกเรียกไปสอบสวนอยู่เป็นระยะ
ซึ่ง Ghosn มีเงื่อนไขที่ต้องทำตามหลายข้อ อย่างเช่น ต้องอาศัยอยู่ที่โตเกียว
ต้องติดตั้งกล้องวงจรปิดนอกที่พัก ห้ามใช้อินเทอร์เน็ต รวมถึงห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อและได้ช็อกคนทั่วทั้งโลกก็เกิดขึ้นในวันที่ 1 มกราคม ปี ค.ศ. 2020
Ghosn ที่ควรจะถูกคุมขังอยู่ที่บ้านพักในโตเกียว กลับปรากฏตัวในงานเลี้ยงปีใหม่ที่ “ประเทศเลบานอน”
ทั้งที่มีกล้องวงจรปิดติดรอบบ้าน
ทั้งที่คนญี่ปุ่นทั้งประเทศจำหน้าเขาได้
ทั้งที่พาสปอร์ตทั้ง 3 เล่มอยู่กับทนายความชาวญี่ปุ่นของเขา
Ghosn หนีออกจากญี่ปุ่นไปตอนไหนและเขาทำได้อย่างไร ?
แผนการหลบหนีทั้งหมดนี้ มาจากคำให้การของผู้วางแผนช่วย Ghosn หลบหนี ที่ถูกจับกุม
รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของ Ghosn กับทาง BBC เมื่อช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
โดยตัวละครที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในภารกิจหลบหนีของ Ghosn ได้แก่
“Carole” เป็นภรรยาของ Ghosn
“Ali” เป็นนามแฝงของนักธุรกิจชาวเลบานอน ที่รู้จักกับภรรยาของ Ghosn
“Michael Taylor” เป็นอดีตกองกำลังพิเศษของกองทัพสหรัฐอเมริกา ที่เป็นเพื่อนกับ Ali
ภรรยาของ Ghosn พยายามหาทางช่วยสามี
Ali จึงแนะนำให้ได้เจอกับ Taylor เพื่อวางแผนช่วย Ghosn หลบหนี
Taylor พบว่ากล้องวงจรปิดที่บ้าน Ghosn ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่เฝ้าดูตลอดเวลา
แต่จะถูกบันทึกไว้เพื่อตรวจสอบเพียงสัปดาห์ละครั้ง ทำให้มีช่องโหว่ในการหลบหนี
Taylor จึงเตรียมทีมที่พาหลบหนีอีก 2 คน คือ
Peter Taylor ลูกชายของ Michael Taylor
และชายชาวเลบานอนอีกคนที่ชื่อว่า George Zayek
ทั้ง 3 คนเดินทางถึงสนามบินคันไซ เมืองโอซากะ ในคืนวันที่ 29 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2019
หลังจากนั้นก็ได้เช็กอินที่โรงแรมใกล้สนามบินและติดต่อนัดหมาย Ghosn ทางโทรศัพท์
วันรุ่งขึ้น Taylor ผู้พ่อและ Zayek นั่งรถไฟชิงกันเซ็งไปโตเกียวเพื่อเจอกับ Ghosn ที่ห้องหนึ่งในโรงแรมแถวที่พักของ Ghosn ซึ่งเขาเดินจากที่พักมาใช้บริการร้านอาหารของโรงแรมแห่งนี้เป็นประจำอยู่แล้ว จึงทำให้ไม่มีอะไรผิดสังเกต
หลังจากนั้น Ghosn ก็ได้เปลี่ยนชุดและสวมหน้ากากอนามัยเพื่อปิดบังใบหน้า
ต่อมา Taylor กับ Zayek ก็ได้พาเขาขึ้นรถไฟชิงกันเซ็งกลับไปที่โอซากะ
เพื่อไปสมทบกับ Taylor คนลูกที่รออยู่
แผนการต่อไปก็คือ ให้ Ghosn ซ่อนตัวใน “กล่องใส่เครื่องดนตรี” ที่มีลูกล้อติดอยู่
ซึ่ง Ghosn จะเข้าไปอยู่ในกล่อง แทนที่ลำโพงขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกัน
และเหตุผลที่เลือกสนามบินคันไซก็เพราะ Taylor พบจุดอ่อนว่า ที่เทอร์มินัลไม่มีเครื่องสแกนขนาดใหญ่พอสำหรับกล่องเครื่องดนตรี ทำให้กล่องที่ Ghosn ซ่อนอยู่ไม่ต้องถูกสแกน
ส่วนเครื่องบินที่ใช้ Taylor เฟ้นหาบริษัทที่ให้บริการเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว
ที่สามารถให้ความร่วมมือปกปิดข้อมูลการบินได้ จนมาเจอบริษัทของตุรกีที่ชื่อว่า MNG
Taylor และทีมปลอมเป็นนักดนตรี โดยเข็นกล่องใส่ Ghosn ผ่านด่านตรวจโดยไม่ถูกสแกนตามแผน
จากนั้น กล่องที่มีร่างของ Ghosn ก็ถูกนำไปไว้ที่ห้องเก็บของบนเครื่องบิน ซึ่งมีประตูเชื่อมมายังห้องโดยสารได้
เมื่อเครื่องบินบินขึ้นจากสนามบินคันไซ Ghosn ออกจากกล่องมารวมกับทุกคนที่ห้องโดยสาร
แผนการของพวกเขาจากนี้เหลือเพียงไปแวะเปลี่ยนเครื่องที่ตุรกี และเดินทางเข้าเลบานอน
โดยในการเดินทาง Ghosn ใช้พาสปอร์ตฝรั่งเศสเล่มที่ 2 ซึ่งเป็นคนละเล่มกับที่ทนายยึดไว้
แต่ยังไม่มีคำอธิบายว่าทำไมเขาถึงมีพาสปอร์ตเล่มนี้
ซึ่งทางญี่ปุ่นแถลงว่าไม่มีบันทึกการเดินทางออกนอกประเทศของ Ghosn
แต่ทางเลบานอนชี้แจงว่าเขาเข้าเลบานอนอย่างถูกกฎหมายและได้เข้าพบประธานาธิบดีเลบานอนทันที
เมื่อเดินทางไปถึง ซึ่งชาวเลบานอน ต่างก็ยังมองว่าเขาคือฮีโร
Ghosn ถูกตำรวจสากลออกหมายแดง ขณะที่ทางเลบานอนไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับญี่ปุ่น
ทำให้โอกาสที่ Ghosn จะถูกส่งกลับญี่ปุ่นในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนแทบจะไม่มี
การหลบหนีของ Ghosn มีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือราว 434 ล้านบาท แลกมากับการได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เลบานอน
ถ้าอ่านจนถึงตรงนี้ แล้วคิดว่าทุกอย่างจะจบลงแบบเรียบร้อย มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น
เพราะบุคคลที่เกี่ยวข้องในการหลบหนีครั้งนี้ ถูกจับกุมกันหลายคนเลยทีเดียว
ผู้บริหารบริษัทเครื่องบินเจ็ต MNG ของตุรกี และนักบิน 2 คนถูกจับกุม
คู่พ่อลูก Taylor โดนออกหมายจับเมื่อปลายเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2021 ก่อนจะถูกส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากสหรัฐอเมริกาไปญี่ปุ่นในเดือนมีนาคม และทั้งคู่ก็รับสารภาพและถูกตัดสินโทษเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
โดย Taylor คนพ่อถูกตัดสินจำคุก 2 ปี และลูกชายถูกจำคุก 20 เดือน
ส่วน Zayek เพื่อนร่วมทีมอีกคนยังลอยนวล
เมื่อ Taylor คนพ่อถูกถามว่าทำไมถึงยอมช่วย Ghosn
Taylor บอกว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวของ Ghosn จากภรรยา และไปสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม เขามองว่าญี่ปุ่นทำกับ Ghosn เหมือนเป็นตัวประกัน ที่ต้องถูกบีบบังคับให้ยอมรับสารภาพ เหมือนกับสมัยที่เขาทำงานเป็นกองกำลังพิเศษ ที่เคยถูกกล่าวหาและบีบคั้นให้สารภาพทั้งที่ไม่มีความผิด
ซึ่งเหตุผลของ Taylor ก็ตรงกับสาเหตุที่ Ghosn ตัดสินใจหลบหนี
หลังจาก Ghosn เดินทางถึงเลบานอนไม่กี่วัน เขาเลือกแถลงข่าวโจมตี Nissan และกระบวนการยุติธรรมของญี่ปุ่น
โดยเขามองว่าถูกรัฐบาลญี่ปุ่นใส่ร้าย เพราะกลัวว่า Renault ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Nissan จะยึดกิจการ Nissan ทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางญี่ปุ่นกลัวว่าบริษัทต่างชาติจะฮุบกิจการของประเทศตัวเองไป
ซึ่ง Ghosn บอกว่าเขาทำทุกอย่างโดยบริษัทรับรู้ มีเอกสารที่เซ็นโดยกรรมการบริษัททั้งหมด ถ้าผิดจริงก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
นอกจากนี้ ในระหว่างที่ถูกคุมตัว เขาถูกสอบปากคำแบบไม่มีทนาย และจะใช้เวลาสอบสวน 10-20 วัน ต่อ 1 ข้อหา แต่หลังจากนั้นไม่นานก็จะถูกตั้งข้อหาใหม่ทีละข้อหา และเข้าสู่การสอบปากคำอีก 10-20 วัน เป็นแบบนี้วนไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีการดำเนินการทางศาลหรือดำเนินคดีต่อ
Ghosn จึงมองว่าทางการญี่ปุ่นใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อควบคุมตัวเขาไว้ แต่ไม่ดำเนินคดีอะไร และนี่ก็ทำให้ Taylor มองว่า Ghosn ถูกปฏิบัติเหมือนตัวประกันมากกว่า
และถ้าพิจารณาข้อมูลที่ว่า ศาลญี่ปุ่นมีอัตราการตัดสินว่าผู้ต้องสงสัยมีความผิดจริงสูงถึง 99.4% สูงกว่าของประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งก็ตีความได้ 2 แบบว่า การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย มีการสืบสวนที่ถูกต้องแม่นยำ หรือเกิดจากการสอบปากคำที่กดดันให้ผู้ต้องสงสัยรับสารภาพ
Ghosn จึงบอกว่า เขามีทางเลือกแค่ 2 ทาง ระหว่างจะยอมตายอยู่ที่ญี่ปุ่น
หรือหนีออกมา ซึ่งเขาไม่ได้หนีกระบวนการยุติธรรม แต่หนีจากความไม่ยุติธรรม
ในส่วนของทางการญี่ปุ่นก็ชี้แจงว่าทาง Nissan เป็นคนส่งเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่เอง ซึ่ง Ghosn ทำผิดกฎหมายทางการเงินของญี่ปุ่นจริง และโทษที่ Ghosn จะได้รับสูงสุดอาจเป็นจำคุก 15 ปี
แล้วผลกระทบต่อกลุ่มบริษัท Renault-Nissan-Mitsubishi หลังจาก Ghosn ถูกจับ
ช่วงสิ้นปี ค.ศ. 2018 และออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท เป็นอย่างไร ?
ปี ค.ศ. 2016 ยอดขาย 9.96 ล้านคัน เป็นอันดับที่ 4 ของโลก
ปี ค.ศ. 2017 ยอดขาย 10.61 ล้านคัน เป็นอันดับที่ 2 ของโลก
ปี ค.ศ. 2018 ยอดขาย 10.76 ล้านคัน เป็นอันดับที่ 2 ของโลก
ปี ค.ศ. 2019 ยอดขาย 10.16 ล้านคัน เป็นอันดับที่ 3 ของโลก
ปี ค.ศ. 2020 ยอดขาย 7.96 ล้านคัน เป็นอันดับที่ 3 ของโลก
จะเห็นได้ว่ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกในปี ค.ศ. 2019 ลดลงและต่อเนื่องมาถึงปี ค.ศ. 2020 ที่แม้ว่าทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์จะมียอดขายลดลงจากผลกระทบของโควิด 19 แต่ยอดขายของ Renault-Nissan-Mitsubishi กลับลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นใน 10 อันดับแรก
ด้านกำไรจากการดำเนินงานในปี ค.ศ. 2019 บริษัท Renault กำไรลดลง 26.3% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานของ Nissan พลิกเป็นขาดทุนทันที
จนถึงตอนนี้ เรื่องราวคดีความของ Ghosn ยังคงเป็นปริศนา
ที่ต่างฝ่ายต่างพูดในมุมที่ตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง
แต่เรื่องราวการหลบหนีออกนอกญี่ปุ่นของ Ghosn
ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องจริง ที่บ้าบิ่น ไม่แพ้ในภาพยนตร์..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-03-29/carlos-ghosn-s-downfall-at-nissan-and-the-aftermath-quicktake
-https://www.bbc.com/news/business-57760993
-https://www.theguardian.com/business/2021/jul/14/ex-nissan-boss-carlos-ghosn-talks-of-daring-escape-from-japan
-https://www.vanityfair.com/news/2020/07/how-carlos-ghosn-escaped-japan
-https://edition.cnn.com/2020/01/08/business/carlos-ghosn-press-conference/index.html
-https://asia.nikkei.com/Business/Nissan-s-Ghosn-crisis/Ghosn-said-to-flee-Japan-hidden-in-musical-instrument-case
-https://english.kyodonews.net/news/2020/01/9223a70dd17b-toyota-ranks-2nd-in-2019-global-auto-sales-overtakes-nissan-renault.html
-https://www.carexpert.com.au/car-news/who-won-the-global-sales-race-in-2020
เริ่มงาน 在 Hero Athletes Facebook 的最佳解答
#2
บางครั้งคนเราก็พลาดนั่นแหละ
เราเริ่มต้นชีวิตในแต่ละวันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีปัญหา ทุกอย่างราบรื่น ปกติสุขดี ไปตามที่วางแผนไว้
...จู่ๆก็นั่นแหละครับ
เรื่องแย่ๆบัดซบอะไรสักอย่างก็เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งตัว
ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะความผิดพลาดของตนเอง หรือเพราะปัญหาจากคนอื่น
อาจจะไม่ใช่แค่อย่างเดียว
อาจจะหลายๆอย่างเกิดขึ้นด้วย
ที่แม่ง...
บัดซบ
แต่ก็นั่นแหละ มันก็โอเค เพราะเราเป็นมนุษย์ อะไรก็พลาดกันได้
ทุกคนและทุกสถานการณ์ก็ไม่ได้ ‘เพอร์เฟค’
แล้วเราทุกคนก็จะต้องมีการพลาดพลั้งต่อไปอีก
อะไรต่างๆก็จะไม่ได้เรียบร้อยและชัดเจน
ไม่เป็นไรครับ
มันเกิดขึ้นกับทุกคน
ถ้ามันเกิดพลาดพลั้งบ่อย สิ่งหนึ่งที่จะช่วยคุณได้คือการที่มีตารางงานอะไรที่แน่นอน
เช่น
8.00 ตื่น
8.30 ออกกำลังกาย
9.00 ทานอาหาร
9.30 ส่งลูกไปโรงเรียน
10.00 เริ่มงาน
อะไรแบบนี้ ซึ่งยุคนี้ก็จดในมือถือหรือมี Application ใช้ได้มากมาย
อาจจะมีอีกตาราง ไว้เรียงลำดับความสำคัญ ที่จะไว้ใช้สร้างกรอบกำหนดชัดเจนได้
เพื่อให้เรา
...พลาดให้น้อยที่สุด
#heroathletes
#herovision
#mistakes
เริ่มงาน 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
ทบทวนความทรงจำอีกครั้ง : "เส้นทางชีวิตการเป็นนักวิชาการของผม"
รศ.สิทธิกร ศักดิ์แสง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
เส้นทางในชีวิตการเป็นนักวิชาการของผม เริ่มจากการเป็นนักมวยและต่อยมวยหารายได้เรียนหนังสือด้วยตัวเองจนจบการศึกษาระดับปริญญาโทและได้ทำงานเข้าสู่การเป็นนักวิชาการ ดังนี้
1.เส้นทางชีวิตพื้นฐานที่ช่วยเสริมทำให้ผมเกิดเป็นนักวิชาการ
จากชีวิตเด็กบ้านนอกตัวเล็กๆ ในอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ปี 2529 เรียนจบชั้นประถมที่โรงเรียนวัดสมุหเขตตาราม และ
สอบเข้าเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 (ม.1)โรงเรียนสวนศรีวิทยา โรงเรียนประจำอำเภอ ในขณะเดียวกันก็ชกมวยไทยและชกมวยสากลสมัครเล่นให้โรงเรียนควบคู่กับการเรียนไปด้วย จนมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 และ ปี 2536 ได้ทุนการศึกษาทุนนักกีฬามวยสากลสมัครที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิติศาสตร์
เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต ปี 2540 ก็สอบเข้าศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา กฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยเดียวกัน ซึ่งรับอิทธิพลทางความคิดจาก ศ.(พิเศษ) ดร. วรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ในการเลือกเรียนสาขากฎหมายมหาชน และได้รับทุนการศึกษาทุนกีฬามวยสากลสมัครเล่น
หมายเหตุในช่วงเป็นนักมวยไทยและนักมวยสากลสมัครเล่น
มวยไทย (ชื่อมวยไทย รุ่งศักดิ์ ส.วรพิน) ผมเริ่มชกมวย ปี 2527 และเลิกชกมวยไทย ปี 2538 ในปี 2535 -2537 ติดยอดไอ้แอ๊ดระดับประเทศ ต่อยคู่เอกราชดำเนนินและลุมพินีหลายครั้ง
มวยสากลสมัครเล่น เริ่มชกปี 2532 แชมป์โรงเรียน แชมป์จังหวัด เหรียญทองแดงเยาวชนแห่งชาติ แชมป์กีฬามหาวิยาลัยแห่งประเทศไทย 5 สมัย แชมป์กีฬาแห่งชาติและเหรียญทองแดงชิงแชมป์ประเทศไทย
2.เส้นทางชีวตินักวิชาการ
เมื่อผมได้สำเร็จการศึกษานิติศาสตรมหาบัณฑิต (ระดับปริญญาโท) สาขากฎหมายมหาชน ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (ปี 2543) และได้เป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยณิวัฒนา (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยเวสเทริ์น) ซึ่งในช่วงสมัยผมเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยณิวัฒนา ผมก็มักจะเข้าไปหาอาจารย์ ดร.พีระพันธุ์ พาลุสข คณบดีบัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในขณะนั้น (ปัจจุบันท่านอาจารย์ได้เสียชีวิต ด้วยเส้นโลหิตตีบ ในขณะที่ท่านรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์) อาจารย์สั่งสอนและส่งเสริมผมให้เขียนผลงานทางวิชาการ เริ่มต้นจากการเขียนเอกสารประกอบการสอน โดยอาจารย์ได้แปลคู่มือการเขียนตำรา ที่เป็นคู่มือภาษาฝรั่งเศส มาเป็นภาษาไทย โดยให้ผมจับจดขึ้นมาในเรื่องวิธีการเรียบเรียงและวิธีการเขียน ให้เป็นเอกสารประกอบการสอน/เอกสารคำสอน/ตำรา/หนังสือและงานวิจัย ขึ้นมา
และที่สำคัญผมโชคดีที่ได้ทำวิทยานิพนธ์ กับ ศาสตราจารย์ ดร. สมคิด เลิศไพทูรย์ ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ (อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ท่านสอนวิธีการเขียนวิทยานิพนธ์ วิธีคิดค้นคว้าด้วยตนเอง ทำให้ผมพื้นฐานในการเขียนและเรียบเรียงผลงานทางวิชาการ จนเกิดผลงานทางวิชาการและได้เป็นเคล็ดลับในการเขียนผลงานทางวิชาการที่ผมเขียนผลงานทางวิชาการให้สอดคล้องกับการประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่งผมได้รับโอกาสเข้าอบรมประกันคุณภาพการศึกษามาตลอด จนทำให้ผมได้มีรายชื่อที่สามารถเป็นประธานผู้ประเมินประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ในสถาบันการศึกษา ของ สกอ. (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) และผมก็ได้เขียนผลงานทางวิชาการตามที่กำหนดตามประกันคุณภาพการศึกษามาตลอด จึงเกิดประโยชน์ของตัวผมเองและตัวสถาบันที่ทำงาน และที่สำคัญจงมีความสุขกับการทำงานต้องคิดว่า "การทำงานเยอะยิ่งได้ความรู้เยอะ" สามรถพัฒนาตนเองได้เร็วกว่าคนอื่น อย่าคิดว่าตัวเองทำงานแล้วคนอื่นไม่ทำงานและคิดน้อยใจแล้วไปว่าคนอื่นโวยวายไป นั่นคือ "สิ่งที่บั่นทอนจิตใจเราทำให้เราไม่สามารถที่จะพัฒนาไปข้างหน้าได้เลย"
ผมเริ่มทำงาน เป็นอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาครั้งแรก วันที่ 16 ตุลาคม 2544 ผมเสียเวลา 3 ปีกับการรับงานบริหาร คือ เป็นหัวหน้าแผนกวินัยและพัฒนานักศึกษา ที่มหาวิทยาลัยณิวัฒนา (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยเวสเทริ์น) จังหวัดสุพรรณบุรี (ปี 2544-2546) และได้ลาออกไปช่วยเพื่อนทำหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิตและเป็นเลขานุการ คณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยสันตพล จังหวัดอุดรธานี (ปี 2546-2548) อยู่ดูแลหลักสูตรจนได้รับรองมาตรฐาน แล้วก็เริ่มเขียนผลงานทางวิชาการ คือ การเขียนตำรากฎหมายเบื้องต้น เอกสารประกอบการสอนวิชา นิติปรัชญา บทความ
ปลายปี 2548 เริ่มมีปัญหากับผู้บริหารสถาบัน (ปัญหาที่ผมออกรายโทรทัศน์ท้องถิ่น วิพากษณ์การทำงานของตำรวจ การทำงานของรัฐบาลทักษิณ ในเชิงหลักวิชาการ แต่ได้การถูกเรียกให้ไปพบผู้บริหารวิทยาลัย ให้ผมทำหนังสือขอโทษต่อรัฐบาลผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ผมยืนยันที่จะไม่ทำหนังสือขอโทษ โดยระบุว่าถ้าผมพูดอะไรล่วงละเมิดหรือหมิ่นประมาท ดำเนินทางกฎหมายต่อผมได้เลย จึงเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างผมกับผู้บริหาร) ประจวบกับคิดอยากกลับบ้าน อยากอยู่ใกล้แม่ จึงลาออกมาอยู่ วิทยาลัยตาปี (ปัจจุบัน เป็นมหาวิทยาลัยตาปี) จังหวัดสุราษฎ์ธานี (ปี 2548) ผมมาอยู่มหาวิทยาลัยตาปี ก็เขียนผลงานทางวิชาการโดยการสนับสนุนจาก ท่านอาจารย์ รองศาสตราจารย์ ดร.โกเมศขวัญเมือง คณบดี ในการเขียนผลงานทางวิชาการ เอกสารประกอบการสอน ตำรา และบทความทางวิชาการ และ
ในขณะเดียวกันท่านอาจารย์ โกเมศ ขวัญเมือง ท่านได้เสนอให้ผมเป็นผู้ช่วย ส.ส. (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ พรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดชุมพร) ให้ผมเข้าเรียนรู้งานในฝ่ายนิติบัญญัติในฐานะอนุกรรมาธิการป้องกันและปรามปรามการทุจริตประพฤติมิชอบสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ผมได้พบนักกฎหมาย ที่เป็นนักการเมือง นักวิชาการที่เข้ามาเป็นกรรมาธิการที่มีความรู้ทางกฎหมายโดยเฉพาะทางด้านกฎหมายมหาชน ทำให้ผมมีความรู้เพิ่มมากขึ้นในการเขียนตำรา/บทความความ และทางกรรมาธิการมีการจัดอบรมเสวนาให้ความรู้กฎหมายแก่ประชาชน ผมได้รับแต่งตั้งเป็นวิทยากรของคณะกรรมาธิการเพื่อบรรยายกฎหมายทำให้ผมต้องค้นคว้าเอกสารเพิ่มมากขึ้นและสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นทำให้ผมสามารถเขียนผลงานวิชาการได้อีก
ในเดือนตุลา 2550 ผมก็เสนอขอตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) และซึ่งในขณะนั้นผมได้รับมอบหมายให้ทำหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายมหาชนด้วย (หลักสูตร ปโท) และจัดทำหลักสูตรสำเร็จ เปิดดำเนินการผมทำหน้าที่เป็นกรรมการและเลขานุการบริหารหลักสูตรฯ หน้าที่ของผมต้องทำงานดูแลหลักสูตรเกือบทั้งหมด ไม่ว่าเป็นด้านการจัดเอกสาร การจัดทำงบประมาณ และประสานงานต่างๆ รวมไปถึงการจัดตารางเรียนตารางสอน ประสานงานอาจารย์ผู้สอน ปโท ในช่วงเวลานี้เองผมได้เขียนผลงานทางวิชาการเสนอต่ออาจารย์ที่มาสอนพิเศษในหลักสูตร ป.โท ทำให้ผมมีความรู้เพิ่มมากขึ้นและมีงานเพิ่มมากขึ้น เข่น ความรู้ในการเขียนบทความ เขียนตำรา เขียนงานวิจัย
และในขณะเดียวกัน (ปี 2551-2553) ผมได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการไกล่ข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวน ต่อมาได้รับการแต่งตั้งอนุกรรมาธิการคณะเดียวกัน ในคณะกรรมาธิการการยุติธรรมการตำรวจ วุฒิสภา อีกตำแหน่งหนึ่ง
ในคณะอนุกรรมาธิการทำหน้าท่ียกร่างกฎหมายไกล่ข้อพิพาทในชั้นสอบสวน และได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ด้วยกันในเวลานั้น ผมจึงรู้เรียนงานจากประสบการณ์ประชุม การสัมมนา ต่างๆ
และสิ่งที่สำคัญในช่วงเวลานั้น ผมทำงาน 7 วัน คือ 3 วัน จันทร์ อังคาร พุธ อยู่กรุงเทพฯ (วันหยุดผมจันทร์ อังคาร ส่วนวันพุธ ขออนุญาติโดยมีหนังสือขอตัวจากวุฒิสภา) 4 วัน พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ทำงานที่มหาลัยตาปี ผมใช้ชีวิตแบบนี้ 3 ปี (2551-2553) เต็มในการทำงานแบบไม่มีวันหยุด อยู่ในแหล่งข้อมูลที่สำคัญ ห้องสมุดรัฐสภา ทำให้มีโอกาสค้นคว้าเอกสารและเขียนงานวิจัย เขียตำรา เขียนบทความวิชาการ และหนังสือเพิ่มมากขึ้น เกิดตำราและหนังสือที่ได้ตีพิมพ์หลายเล่ม รวมไปถึงบทความที่ได้รับตีพิมพ์มากกว่า 30 เรื่อง
เดือนตุลา ปี 2554 (ผมใช้เวลาอีก 4 ปี หลังจากได้รับตำแหน่ง ผศ. ซึ่งผมขอ ผศ.ปี กย.2550) ผมก็ยื่นเสนอขอตำแหน่งรองศาสตราจารย์ (รศ.) และได้ผ่านการอนุมัติจากสภามหาวิทยาลัยตาปี ในปี 56 มีผลย้อนหลัง ปี 2554 และขณะเดียวกันผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักวิจัยควบคู่กับผู้อำนวยการบริการวิชาการ
อีกงานหนึ่งเป็นการบริการวิชาการให้กับท้องถิ่น ซึ่งทางมหาลัยได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับ องค์การบริหารส่วนตำบลตะเคียนทอง อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎ์ธานี โดยมอบหมายให้ผมเป็นผู้ประสานงาน ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายและแผนนโยบายให้กับ องค์การบริหารส่วนตำบล (ปี2552-2556) ไปด้วย ได้วางแผนพัฒนา จนองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งนี้ได้รับรางวัลชมเชยพระปกเกล้า ในการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล ซึ่งในช่วงที่เป็นที่ปรึกษาให้กับ องค์การบริหารส่วนตำบล ได้มีการร้องขอให้คณะนิติศาสตร์ ให้ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตะเคียนทอง ก็ได้ทำโครงการวิจัยดังกล่าว โดย มี รองศาสตราจารย์ ดร.โกเมศ ขวัญเมือง เป็นหัวหน้าโครงการ ผมเป็นผู้ร่วมวิจัยในโครงการวิจัยนี้ด้วย
ต่อมาผมได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยตาปี เมื่อมีนาคม 2556 ผมได้มาทำงานที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (เริ่มงาน ตุลา 2556)
ในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ราชภัฏสุราษฎร์ธานี ตำแหน่ง รองศาสตราจารย์ของรศ.ผมต้องให้ เกิดปัญหา คือ
ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ของสถาบันเอกชนต้องให้ สกอ.รับรอง ซึ่งสถาบันได้ส่งเอกสารชี้แจงให้กับ สกอ.รับรอง ช้า ทำให้ สกอ.พิจารณารับรองโดยใช้เกณฑ์ ประกาศ กพอ. เผยแพร่ผลงานวิชาการ 2556 มาพิจารณาเผยแพร่ผลงานผม ทั้งที่ผมเผยแพร่ผลงาน ปี 2552 แต่เอาเกณฑ์ปี 56 มาพิจารณา และสภามหาวิทยาลัยแห่งนั้นไม่นำเสนอเอกสารพิจารณายืนยันให้กับผม ทำให้ ทำให้สกอ.ไม่รับรอง ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ในส่วนของการเผยแพร่ผลงาน แต่รับรองผลงานวิชาการทั้งหมด
ทำให้ต้องยื่นเสนอ รศ.ใหม่ คือ ด้วยการ การเขียนผลงานเผยแพร่ คือ บทความวิจัย 2 เรื่อง (ส่วนงานวิจัย หนังสือ ตำรา รับรองใช้ได้ )
ผมจะยื่นใหม่ในปี 2557 ในสถาบันใหม่ก็ยื่นไม่ได้ เพราะไม่มีระเบียบการขอและการเทียบตำแหน่งทางวิชาการของมหาลัยรอวรับ และต้องรอให้ระเบียบออกมารองรับ
และผมได้ยื่น รศ. เสนอใหม่ ในปี 2558 แต่คณะได้พิจารณาว่าผมเผยแพร่ผลงานซ้ำผิดจรรยาบรรณ เสนอให้มหาวิทยาลัยพิจารณา มหาวิทยาลัยได้ทำหนังสือขอหารือ ไปที่ สกอ. ซึ่ง ใช้เวลาพิจารณาตอบข้อ หารือ มาถึง มหาลัย ปลายปี 2559 ว่าไม่ได้มีการซ้ำซ้อน เพราะการเผยแพร่ใหม่ คือ บทความวิจัย ไม่ใช่บทความรายงานวิจัย ถ้าบทความรายงานวิจัยเผยแพร่ได้ครั้งเดียว แต่บทความวิจัย คือ ส่วนหนึ่งส่วนใดของการงานวิจัย และทำให้ผมเสียเวลาไป ปี กว่า
และสุดท้าย มหาวิทยาลัย รับการยื่น รศ. เป็นทางการในเดือนธันวาคม 2559 ส่งให้ผู้ทรงอ่าน บทความวิจัย 2 เรื่อง ผลงานการอ่านส่งมาครบ ในต้นปี 2562
ปัญหาต้องเกิดอีกครั้ง คือ มีคนร้องเรียนถึงรักษาการอธิการบดีว่าผลงานผมเผยแพร่ซ้ำและเผยแพร่ผลงาน นั้นมีชื่อผม คนเดียว แต่งานวิจัย ทำกันหลายคน ให้ผมทำหนังสือชี้แจง และผมได้ทำหนังสือชี้แจงต่อมหาลัย
คือ ผมได้เผยแพร่ ผลงานบทความวิจัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งงานวิจัย และเผยแพร่ในส่วนงานวิจัยในบทหรือส่วนที่ผมรับผิดชอบ ไม่ได้เขียนในส่วนที่ไม่ได้รับผิดชอบ ส่วนบทความรายงานวิจัยที่ผมเขียนไปครั้งแรกที่เผยแพร่ใน ปี 2552 นั้นเสนอชื่อไปทุกคนที่ทำวิจัย
และต่อมาผ่านมาอีก 3 เดือน มีหนังสือให้ผมทำหนังสือชี้แจงและให้ผู้วิจัยร่วม ทำหนังสือยินยอมว่าไม่มีส่วนร่วมในการเขียนบทความวิจัย รับทราบและยินยอมการเขียนบทความวิจัยนี้ ผมต้องใช้ความพยายามประสานงานกับผู้ร่วมวิจัย โดยให้ภรรยาไปรับเอกสารจากผู้ร่วมวิจัย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่เป็นภาระอย่างมาก แต่ภรรยาก็สามารถเอาเอกสารนั้นมาได้ทั้งหมด เสนอต่อมหาวิทยาลัย
และได้ผ่านการประชุมพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิ อีกครั้ง ผ่านคณะกรรมพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการ ผ่านสภาวิชาการ และวันนี้ 17 กันยายน 2562 ผ่านสภามหาวิทยาลัยอนุมัติแต่งตั้งให้ผม ดำรงตำแหน่ง “รองศาสตราจารย์” อีกครั้ง มีผลย้อนหลังปี เดือนธันวาคม 2559
สรุป นับได้ว่าตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ของผมได้รับการอนุมัติ จากสภามหาวิทยาลัย 2 ครั้ง และภายใต้กฎหมาย 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติสถาบันเอกชน พ.ศ .2546 กับพระราชบัญญัติราชภัฏ พ.ศ. 2547 โดยปัญหาทึ่เกิดจากเทคนิคที่ไม่ได้เกิดจากปัญหาคุณภาพของผลงานเลยสักนิดเดียว แต่เป็นปัญหาในเรื่องทางเทคนิครูปแบบขั้นตอน (เงื่อนไข)