[爆卦]เมตตากรุณา หมายถึง是什麼?優點缺點精華區懶人包

雖然這篇เมตตากรุณา หมายถึง鄉民發文沒有被收入到精華區:在เมตตากรุณา หมายถึง這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章

在 เมตตากรุณา產品中有5篇Facebook貼文,粉絲數超過0的網紅,也在其Facebook貼文中提到, หัวใจพุทธศาสนา คือ ละบาป(ไม่เบียดเบียน)เป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ ทำบุญ(เมตตากรุณา) เคยคิดว่าเดินจงกรม นั่งสมาธิงมงาย-จะช่วยโลกได้ไง พอเข้าใจก็รู้ว่า"ก...

เมตตากรุณา 在 Feawfoaw Instagram 的精選貼文

2020-11-02 13:11:19

ข้าพเจ้า เฟี้ยว์ฟ้าว สุดสวิงริงโก้ เคารพ และ ศรัทธา และ นอบน้อม ต่อองค์ 🐍พ่อปู่ และ แม่ย่าพญานาค #ทั้งหมดหัวใจและตัวของข้าพเจ้า เพราะ อิม รู้ว่า ...

  • เมตตากรุณา 在 Facebook 的最佳解答

    2021-08-25 11:01:06
    有 44 人按讚

    หัวใจพุทธศาสนา คือ ละบาป(ไม่เบียดเบียน)เป็นอันดับ 1
    รองลงมาคือ ทำบุญ(เมตตากรุณา)

    เคยคิดว่าเดินจงกรม นั่งสมาธิงมงาย-จะช่วยโลกได้ไง

    พอเข้าใจก็รู้ว่า"การฝึกสติ" ทำให้รู้สึกตัว มันลดเบียดเบียนได้

    คนไม่ทำดี แต่ก็ไม่เบียดเบียน
    ลดความวุ่นวายของโลกได้มากกว่า
    คนดีที่ยังเบียดเบียน

  • เมตตากรุณา 在 สาระศาสตร์ Facebook 的最佳貼文

    2021-04-26 10:00:04
    有 12 人按讚

    ความหมายของชื่อสายพันธุ์มนุษย์นั้น แปลว่า "มนุษย์ที่ฉลาด" หรือที่รู้จักกันดีว่า โฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) (homo = มนุษย์ sapiens = ฉลาด)

    ระยะเวลา 2564 ปีของมนุษย์ตั้งแต่ที่เริ่มมีการนับพุทธศักราช ได้กำเนิดมนุษย์ที่มีความฉลาด และมีความสามารถมากมาย บ้างก็เป็นนักปราชญ์ บ้างก็เป็นจิตกร บ้างก็เป็นนักธุกิจ ภูมิปัญญามากมายต่างถูกส่งต่อจากอดีต มาถึงยังพวกเราคนในยุคปัจจุบัน

    1. ขงจื๊อ นักคิดและนักปรัชญา ( 8 กันยายน 551 – 479 ปีก่อน ค.ศ )

    คำสอนของขงจื๊อนั้น ฝังรากอิทธิพลลึกลงไปในสังคมเอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึง 20 ศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อนั้นเน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัว และศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะสมของความสัมพันธ์ในสังคม และ ความยุติธรรมและบริสุทธิ์ใจ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีคนให้ความเคารพศรัทธา และยึดถือแนวทางคำสอนกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ได้สอนหลักในการคบคนไว้ ดังนี้ "การคบคน ต้องเลือกคบคนที่มีคุณธรรมสูงกว่าหรือเท่า ๆ กับเรา" หากเราคบหาสมาคมกับคนที่ขาดคุณธรรม จะทำให้จิตใจของเรา ตกต่ำตามไปด้วย ดังนั้น ถ้าอยากมีชีวิตที่ดี มีความสุข ประสบความสำเร็จ จะต้องเลือกคบคนดีมีคุณธรรม

    หลักการของจื๊อได้แก่

    #ศาสตร์สี่แขนง

    รากฐานที่ขงจื๊อวางไว้ ได้แก่ วัฒนธรรม ความประพฤติ ความจงรักภักดี และ ความซื่อสัตย์ โดยวัฒนธรรมเน้นถึงการเคารพบรรพบุรุษและพิธีการโบราณ ยึดถือผู้อาวุโสเป็นหลัก แต่ไม่ยึดติดหรืออายที่จะหาความรู้จากคนที่ต่ำชั้นหรืออายุน้อยกว่า

    #แปดหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้

    ได้แก่ สำรวจตรวจสอบ ขยายพรมแดนความรู้ จริงใจ แก้ไขดัดแปลงตน บ่มเพาะความรู้ ประพฤติตามกฎบ้านเมือง ประเทศต้องได้รับการดูแล นำความสงบสุขมาสู่โลก

    #ลำดับการเรียนรู้

    ได้แก่ พิธีกรรม ดนตรี ยิงธนู ขี่ม้า ประวัติศาสตร์ และ คณิตศาสตร์

    #คุณธรรมทั้งสาม

    ได้แก่ ภูมิปัญญา เมตตากรุณา และความกล้าหาญ

    #สี่ขั้นตอนหลักการสอน

    ตั้งจิตใจไว้บนมรรควิธี ตั้งตนในคุณธรรม อาศัยหลักเมตตาเกื้อกูล สร้างสรรค์ศิลปะใหม่

    #สี่ลำดับการสอน

    ได้แก่ คุณธรรมและความประพฤติ ภาษาและการพูดจา รัฐบาลและกิจการบ้านเมือง และสุดท้ายคือวรรณคดี

    2. ลีโอนาโด ดาวินชี จิตรกร นักปั้น นักพฤกษศาสตร์ ( 15 เมษายน ค.ศ. 1452 - 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519 )

    คงมีน้อยคนที่จะไม่รู้จัก ลีโอนาโด ดาวินชี เพราะความสามารถอย่างล้นเหลือ จนเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลก ชายผู้ที่เป็น จิตรกร นักปั้น นักพฤกษศาสตร์ และบิดาแห่งศิลปะทางด้านกายวิภาคศาสตร์ (Gross Anatomy) สิ่งที่ดาวินชี่ได้ถ่ายทอดไว้ให้แก่ชาวโลกมีมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ปรัชญาในการดำรงชีวิตที่เป็นอมตะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่

    หลักปรัชญาที่สำคัญจากหนังสือเรื่อง How to Think Like Leonardo da Vinci แต่งโดย Michael Gelb มีใจความสำคัญ ดังนี้

    "คุณมองแต่คุณไม่เห็น (You look but you don't see)
    คุณฟังแต่คุณไม่ได้ยิน (You listen but you don't hear)
    คุณสัมผัสแต่คุณไม่รู้สึก (You touch but you don't feel)
    คุณพูดแต่ไม่ได้คิดก่อนที่จะพูด (You speak but you don't think)"

    มนุษย์มักทำอะไรโดยขาดสติ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ต่ำลง การมีสติตลอดเวลา ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้รวดเร็ว ว่องไว และเฉียบคม สามารถรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร ที่ไหน อย่างไร และเพื่ออะไร สามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีชีวิตเป็นของตนเอง

    3. เดล คาร์เนกี นักเขียนและผู้พัฒนาหลักสูตรการพัฒนาตนเอง (24 พฤศจิกายน 1888 – 1 พฤศจิกายน 1955)

    อดีตเด็กรับจ้างตัดหญ้าด้วยค่าแรงชั่วโมงละ 5 เซนต์ สู่นักพูดค่าตัวนาทีละ 1 ดอลลาห์ และนักเขียนผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของหนังสือที่ขายดีที่สุดตลอดกาลอย่าง How to Win Friends and Influence People และ How to Stop Worrying and Start Living

    หากคุณอยากที่จะผูกมิตรกับใครสักคน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามลองปฏิบัติตาม กฏทั้ง 6 ข้อนี้

    กฎข้อที่ 1 จงเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อผู้อื่น

    การผูกมิตรกับผู้อื่นจะได้ผลเรียบร้อยภายในสองเดือนด้วยการเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อเค้าผู้นั้น มันดีกว่าที่จะให้คนอื่นมาพยามใส่ใจเรา เพราะธรรมชาติของมนุษย์ชอบที่จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เริ่มจากใส่ใจที่จะจำชื่อใครก็ตามที่อยากรู้จักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยของเค้าไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ชอบ สีโปรด หรือแม้แต่ความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวของเค้าคนนั้น

    กฎข้อที่ 2 ยิ้ม

    รอยยิ้มเป็นสิ่งมีค่าที่เราให้คนอื่นได้ฟรีๆ หมั่นยิ้มทักทายให้ทุกคนที่ท่านอยากผูกมิตรด้วย รอยยิ้มเปรียบเสมือนเป็นประตูแห่งความสัมพันธ์ เมื่อรอยยิ้มปรากฎมาบนรอยหน้าของคนใดคนนึง เรื่องต่อๆ ไปก็จะง่ายเอง

    กฎข้อที่ 3 จงจำไว้ว่าชื่อของบุคคลใดก็ตามสำหรับบุคคลนั้นเป็นสำเนียงหวานที่สุดและสำคัญที่สุดในภาษามนุษย์

    หมั่นทักทายผู้อื่นด้วยชื่อของเค้า จดจำชื่อของคนที่ท่านปราถนาจะผูกมิตรให้แม่น เอ่ยชื่อของเค้าอย่างชัดถ้อยชัดคำเมื่อท่านต้องการสรรเสริญถึงความดีความชอบใดๆ ที่เค้าทำ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เพราะคนเราให้ความสำคัญกับชื่อตัวเองอย่างที่สุด

    กฎข้อที่ 4 จงเป็นนักฟังที่ดี

    จงสนับสนุนให้อีกฝ่ายหนึ่งคุยถึงเรื่องของเขา พูดถึงตัวเองให้น้อยฟังคนอื่นพูดให้เยอะ ทุกคนล้วนอยากเป็นคนสำคัญ อยากถูกเอาใจใส่ การรับฟังเป็นเรื่องง่ายๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้ หากคุณทำได้คุณจะเป็นคู่สนทนาคนโปรดของใครหลายๆ คน

    กฎข้อที่ 5 สนทนาในเรื่องที่อีกฝ่ายสนใจ

    ศึกษาดูว่าคนที่คุณอยากผูกมิตรชอบอะไรเป็นพิเศษ คุณสามารถหยิบมาเป็นประเด็นในการสนทนาได้เสมอ หากคุณทำการบ้านมาดีคุณจะคุยกับเค้าคนนั้นได้อย่างลื่นไหล

    กฎข้อที่ 6 จงทำให้ผู้อื่นรู้สึกสำคัญ และจงทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ

    เราทุกคนต่างมีข้อดีในแบบของตัวเอง ไม่ว่าใครก็ต้องมีเรื่องที่เก่งกว่าคนอื่นสักเรื่องสองเรื่อง ในขณะเดียวกันผู้อื่นก็มีเรื่องที่เราเทียบไม่ได้เลยเช่นกัน หาเรื่องนั้นให้เจอและเอ่ยปากชมเค้าผู้นั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ

    4. นโปเลียน ฮิลส์ เนักเขียนแนวพัฒนาตัวเอง ( 26 ตุลาคม 1883 – 8 พฤศจิกายน 1970 )

    ปี 1928 นโปเลียน ฮิลล์ ได้เผยแพร่ผลงานของเขา กฎแห่งความสำเร็จ (The Law of Success) ได้แสดงถึง 45 รายชื่อที่เขาศึกษา “ชีวิตส่วนใหญ่ของบุคคลเหล่านี้ในระยะใกล้ ด้วยตัวเอง” เช่นเดียวกับบุคคลที่หนังสือได้อุทิศไว้ แอนดรูว์ คาร์เนกี้, เฮนรี่ ฟอร์ด และ เอ็ดวิน ซี บานส์ (ผู้ร่วมงานของ โทมัส เอดิสัน) คาร์เนกี้ได้ให้จดหมายแนะนำฮิลล์แก่ฟอร์ด ซึ่งเป็นผู้แนะนำให้ฮิลล์รู้จักกับ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์, เอลเมอร์ อาร์ เกตส์, โทมัส เอดิสัน และ ลูเธอร์ เบอร์แบงก์

    "ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้"

    การเชื่อมั่นในตนเองไม่ใช่การหลอกตัวเอง แต่เป็นการตั้งหลักในจิตใจว่า เราจะต้องทำสิ่งเหล่านั้นให้จงได้ เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนพอที่จะเป็นไปได้ และท้าทายความสามารถในระดับหนึ่งรวมกับขั้นตอนและกลยุทธต่าง ๆ ที่จะต้องทำและแผนสำรอง เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ "ความเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำได้"

    "ว่าวจะลอยสูงได้ต้องมีลมมาปะทะ"

    ผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ ต้องรับได้ในทุกสถานการณ์ และเมื่อเจอปัญหาต้องนิ่งสงบใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาอย่างสุดความสามารถ

    5. แจ็ค เวลช์ ผู้จัดการแห่งศตวรรษที่ 21 ( 19 พฤศจิกายน 2478 - 1 มีนาคม 2563 )

    แจ็ค เวลซ์ คือ หนึ่งใน CEO ที่ประสบความสำเร็จจนมีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลก พูดได้ว่า ไม่มีหนังสือที่เกี่ยวกับ CEO เล่มไหนในโลกที่ไม่อ้างถึงแนวคิดและวิธีการบริหารจัดการของ แจ็ค เวลซ์ เขาจึงเป็น“ต้นแบบ”ที่ผู้บริหารระดับสูงในองค์กรชั้นนำทั่วโลกต่างยึดถือเป็นแบบอย่าง

    แจ็ค เวลส์ คืออดีต CEO ของบริษัท General Electric หรือ GE ที่มีค่าตัวสูงที่สุดในโลก สุดยอดแนวคิดของ Jack Welch นำมาจากหนังสือเรื่อง Control the Destiny or Someone Else Will คือการรู้จักกำหนดชะตาชีวิตของตนเองก่อนที่คนอื่นจะเข้ามาบงการชีวิตคุณ

    "Live with the present reality as it is, not the kind of reality that used to be in the past or the reality that you want it to be"

    "จงอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบันที่คุณกำลังประสบอยู่ ไม่ใช่ความเป็นจริงที่มันเคยเป็น หรือความเป็นจริงที่คุณอยากให้มันเป็น"

    จงอยู่กับปัจจุบัน มนุษย์มักยึดติดกับความสุข ความสำเร็จในอดีต และคิดว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้นดังเดิมตลอดไป แต่เมื่อปัจจุบันไม่เป็นอย่างที่หวังก็เศร้าเสียใจ หรือติดกับความทุกข์ในอดีตจนไม่กล้าที่จะทำสิ่งใดต่อไปในอนาคต ชีวิตก็จมปรักอยู่กับที่ การดำเนินชีวิตเพื่อไปสู่ความสำเร็จ คือการอยู่กับปัจจุบันทิ้งอดีต และทำวันนี้ให้ดีที่สุด

    6. สตีฟ จ็อบส์ นักธุรกิจและนักประดิษฐ์ (24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 - 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011)

    ชายผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแห่งทศวรรษ 21 อัจฉริยะผู้พลิกโลกแห่งวงการไอที แม้ว่าในวันนี้เขาจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาสร้างเอาไว้ได้เปลี่ยนแปลงโลกของไอทีไปตลอดกาล และตลอดระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่ สตีฟ จ็อบส์ ก็ได้ทิ้งบทเรียนดีๆไว้มากมาย

    8 บทเรียนที่ สตีฟ จ๊อปส์ ได้บอกคนทั้งโลกผ่านการทำงานของเขาทั้งชีวิตได้แก่

    1. อย่าไปฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ

    ไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์ หรือพวกกูรูทั้งหลาย ความเห็นของพวกเขาเป็นร้อยก็ช่วยคุณเป็นผู้ประกอบการไม่ได้หรอก มันก้เป็นเพียงแค่ “ความเห็น” เท่านั้น

    “ถ้าคุณเป็นผู้ประกอบการตัวจริง หาทางเอาเองสิ อย่ามัวแต่พึ่งคนอื่น”

    2. ลูกค้าบอกไม่ได้หรอกว่าเขาต้องการอะไร

    สตีฟ จ็อฟส์บอกเสมอว่า “หลายๆครั้ง คนก็บอกไม่ได้ว่าเขาต้องการอะไรจนกว่าคุณเอาสิ่งที่พวกเขาอยากได้ไปให้เขาเห็น” จงหาปัญหาของผู้คนให้เจอแล้วแก้ปัญหาให้เขาก่อนที่คนอื่นจะทำ

    3. ดีไซน์เป็นเรื่องจำเป็น

    "ในโลกที่คนพูดแต่เรื่องราคา การออกแบบก็เป็นเรื่องสำคัญ สำหรับหลายๆคนแล้ว ดีไซน์เป็นสินค้าอย่างหนึ่งด้วย"

    4. จงทำให้ดีขึ้น 10 เท่า ไม่ใช่ 10 %

    นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นถ้าผู้ประกอบการทำสินค้าและบริการให้ดีขึ้น 10 เท่า ไม่ใช่เพียงแค่ 10%

    5. ความเป็นเลิศ

    ผู้คนตัดสินคุณจากการกระทำ ดังนั้นจงมุ่งเป้าหมายไปที่ผลลัพธ์ จงเป็นมาตราฐานในการวัดคุณภาพ เพราะคนบางคนไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเป็นเลิศ

    6. อย่ากลัวการแข่งขัน

    ผมไม่คิดว่า Apple เป็นเจ้าของผม ผมคิดว่าผมเป็นเจ้านายตัวเอง และการที่ผมจะไม่สามารถทำอาชีพที่ถนัดได้อีกในชีวิตนี้ผมเห็นว่าเป็นเรื่องประหลาดพิลึก เราไม่ได้นำเทคโนโลยีหรือความคิดที่เป็นของ Apple โดยเฉพาะใดๆไปจากที่นั่น ไม่มีอะไรที่ระบุว่า Apple ไม่สามารถแข่งขันกับเราถ้าพวกเขาคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นความที่วิเศษ มันยากนะที่จะคิดว่าบริษัทที่มีมูลค่า 2,000 ล้าน และพนักงานกว่า 4,300 คน จะไม่สามารถแข่งขันกับคนนุ่งกางเกงยีนส์แค่หกคน ( หลังจากที่ สตีฟ จ็อบส์ โดนไล่ออก เขาและอดีตพนักงาน Apple ทั้งหกคนต่อมาได้ก่อตั้งบริษัท NEXT )

    7. ปฏิเสธเพื่อเป้าหมาย

    คนมักคิดว่าการมุ่งเป้า หมายถึง การตอบรับสิ่งที่คุณต้องมุ่งไปหา แต่นั่นไม่ใช่ความหมายของมันเลย มันหมายถึงการ "ปฏิเสธ" ความติดดีๆ อื่นๆ นับร้อยต่างหาก คุณต้องเลือกอย่างระมัดระวัง จรีงๆแล้วผมภูมิใจที่ไม่ได้ทำพอๆกับสิ่งที่ได้ทำ นวัตกรรมนั้นคือ "การปฏิเสธ" อะไรเป็นพันๆอย่าง

    8. คิดอย่างผู้เริ่มต้น

    ความหนักอึ้งของการประสบความสำเร็จถูกแทนที่ด้วยความเบาหวิวของการเป็นผู้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ความรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในทุกอย่าง มันทำให้ผมมีอิสระที่จะเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต

  • เมตตากรุณา 在 Capt.Benz Facebook 的最佳解答

    2020-05-16 21:00:01
    有 43,948 人按讚

    Ep. 58 - คนแบบไหนที่ควร "เมตตา?"

    .

    พรหมวิหาร 4 ก็เหมือนขนมปัง

    ที่มีไส้อยู่ข้างใน มันเคลือบด้วยความ ”เมตตากรุณา”

    แป้งคือความ “เมตตา” น้ำตาลคือความ “กรุณา”

    กัดไปเจอไส้ อันนั้นน่ะ คือ “มุทิตา”

    แต่ถ้าหมดไป

    มันต้อง “อุเบกขา”

    .

    มันคือก้อนเดียวกัน มึงไม่สามารถ

    ที่จะกินครีมอย่างเดียว

    แล้วอร่อยได้ มึงต้องกินทีเดียว

    .

    การกินหนึ่งคำเนี่ยทำให้เกิดจิตที่

    ได้บทเรียนเรื่องพรหมวิหาร

    มันต้องมาเกือบจะพร้อม ๆ กัน

    อย่ารีบอุเบกขา ถ้ารีบอุเบกขา

    นั่นคือมึงไม่รับผิดชอบ

    ต่อสิ่งที่มึงรับผิดชอบได้

    .

    พระพุทธเจ้า ไม่ได้ให้ใช้ชีวิต

    ด้วยความอุเบกขา

    ท่านให้เมตตานำ ใช้เมตตาก่อน

    ถ้าเมตตากรุณาแล้ว

    ก็คือรัก

    แล้วก็สงสารแล้ว

    ถ้าเขาเปลี่ยนแปลงได้

    “มุทิตา”

    นี่คือโอเค…

    Celebrate ด้วย ดีใจด้วย มึงเปลี่ยนแปลงได้

    แต่ถ้ามันสุด ความสามารถเราแล้ว

    ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเขาได้แล้ว

    “อุเบกขา”

    วางเฉย…

    .

    ต้องย้อนกลับไปว่า

    คนที่คุณเมตตาน่ะ

    เป็นใคร?

    .

    พระพุทธเจ้า

    ตรัสสิ่งนี้ไว้ชัดเจนแล้วว่า

    เวลาจะทำบุญน่ะ

    “ปุญฺญเขตฺตํ”

    มึงต้องดูเนื้อนาบุญด้วย หว่านเมล็ดลงไป

    ในคอนกรีต

    เป็นไง?

    ขึ้นมั้ยอะ?

    ไม่ขึ้น

    หว่านลงไปต้องเป็นพื้นดิน

    พืชถึงจะขึ้น

    .

    ‘พรหมวิหาร’

    พรหม แปลว่า ผู้ประเสริฐ

    วิหาร แปลว่า ที่อยู่

    ใครที่มีพรหมวิหาร นั่นแปลว่าในใจ

    มีที่อยู่ของความเป็นผู้ประเสริฐอยู่

    คนที่มี พรหมวิหารประจำใจ

    เป็นคนที่ ไปในทางดีแน่นอน

    .

    คนรักษาศีลไม่ได้ถ้าเกิดไม่มีพรหมวิหาร

    พรหมวิหารมันเกิดจากความรัก

    และสงสาร ในสรรพสัตว์

    ในสรรพสิ่งทั้งตัวเองด้วย

    ถ้าเราไม่มีเมตตาไม่สงสารคน

    เรามีโอกาสที่จะทำร้ายเขาได้มั้ย?

    มี!

    ถูกปะ?

    .

    แต่ถ้าเราเป็นคนสงสาร เราจะเอาที่ไหน

    ไปทำร้ายคน เราจะเอาที่ไหน

    ไปลักทรัพย์คน เอาที่ไหน

    ไปผิดลูกผิดเมียเขา จะเอาที่ไหน

    ไปโกหกหลอกลวงเขา

    ถูกมั้ย?

    .

    เพราะฉะนั้นแล้ว

    คนจะรักษาศีลได้

    ต้องมีพรหมวิหารเป็นที่ตั้ง

    ธรรมะของพระพุทธเจ้า

    สอดคล้องต้องกันหมด

    ไม่มีขัดกันเลย

    แม้แต่บทเดียว

    .

    จริง ๆ พระพุทธเจ้า ท่านก็บอกแบบนี้

    ถ้าจะช่วยโจรช่วยคนร้ายเนี่ย

    ไม่ต้องช่วยด้วยอะไรเลย

    ช่วยด้วยการเอาใจช่วยเขา

    เนี่ยแค่นี้ก็ช่วยแล้ว

    แต่ถ้าเจอคนพวกนี้

    “สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”

    ให้อะไรไม่สู้

    ให้ธรรมเป็นทาน

    ให้อะไรไม่สู้ให้ความคิด

    ให้อะไรก็ไม่สู้ให้ความรู้

    ดีที่สุด

    .

    ช่วยโจรได้

    ช่วยเพื่อให้เขาเป็นคนดี

    ไม่ใช่ช่วยให้เขา

    เป็นโจรที่ดีขึ้น

    เข้าใจปะ?

    .

    โจรที่แบบ…

    ปล้นเก่งมากขึ้น

    นี่ไม่ใช่การช่วยละ

    ส่งเสริมคนไปในทางชั่ว

    อย่างนี้เราทำตัวเป็นคนพาลละ

    คนประกอบด้วย 3 อย่าง

    อะไรบ้าง?

    .

    กำลังกาย

    กำลังความคิดสติปัญญา

    กำลังความดี

    เราช่วยคนพาลอยู่หรือไม่

    ดู 3 กำลังนี้

    ถ้ามีกำลังกาย

    แต่ไม่มีกำลังความดี

    นี่ไม่ใช่คนดี

    ไม่ใช่สาธุชน

    เป็นพาลชน

    .

    ถ้ามีแต่กำลังความคิด

    แต่ไม่มีกำลังความดี

    นี่ก็เป็นคนพาลเช่นกัน

    ไม่ใช่สาธุชน ใครก็แล้วแต่

    ประกอบด้วย กำลังความดีเป็นหลัก

    คนนั้นเป็นสาธุชน

    ไม่ใช่คนพาล

    .

    การพัฒนาตัวเอง มันเหมือนเดินขึ้นบันได

    ต้องใช้กำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังความดี

    แล้วถามจริง คนเดินขึ้นบันได

    มีเสียงมั้ย?

    สมมุติบันไดไม้

    ก็มีเสียง

    ตึก ๆ ๆ ๆ

    ถ้าคนตกบันได

    เสียงยังไง?

    ตุ๊บๆ ๆ

    ถูกปะ?

    .

    เหมือนกันเลย ฉันใดฉันนั้น

    การขึ้นมันยาก การลงมันง่าย

    จิตถ้าไม่ระวัง มันลงอยู่แล้ว

    แล้วลงทีนึง มันลง ตุ๊บๆ

    .

    จริง ๆ แล้ว

    การที่เราพูดคำว่าสาธุ

    “เออ…”

    “ดีแล้ว ๆ” เนี่ย จิตเรา ณ ตอนนี้

    เขาเรียกว่ามันเป็น

    “ปตฺตานุโมทนามย”

    ก็คือได้บุญ บุญที่เกิดจากการ พลอยยินดี

    บุญที่เกิดจากการ

    “โอเค”

    “เฮ้ยเยี่ยม”

    “เจ๋งว่ะ”

    “ดีว่ะ”

    .

    เวลาเราเห็นคนที่ เขาเก่งกว่าเรา

    มีทางเลือก ถ้าคุณจะอิจฉาเนี่ย

    ไม่ได้อะไรเลยนะ มีแต่ความโกรธ

    แต่ถ้าเกิดว่า คุณเห็นคนดีปุ๊บ

    .

    “แ-่งเจ๋งว่ะ!”

    มึงพูดแค่นี้

    “ปตฺตานุโมทนามย”

    แ-่งเกิดเลยนะ

    ได้บุญจากการอนุโมทนา

    มันอยู่ที่คุณ ว่าคุณจะเลือกยังไง

    ใช่ปะ?

    .

    มันเลือกที่จะอิจฉา

    ก็เอาเถอะ

    เอาความโกรธ

    เอาความพยาบาทอาฆาต

    ผูกไป

    แต่ถ้าคุณจะเลือก

    “โอ้โหแ-่งเจ๋งว่ะ”

    นี่

    แค่นี้บุญก็เกิดแล้ว

    .

    #ผู้กองเบนซ์

    ปล. ตรวจสอบคนพาล ด้วยการดูความดี

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    *ติดต่องานวิทยากร,อบรมสัมมนา,สนับสนุนช่อง โทร 094-449-9464 (คุณจี้)

    ช่องยูทูป : ผู้กองเบนซ์ - Capt.Benz
    blockdit : ผู้กองเบนซ์ - Capt.Benz
    IG : capt.benz
    Line OA : @ captbenz
    twitter : @ captbenz

你可能也想看看

搜尋相關網站