[爆卦]อ่านว่า ภาษาอังกฤษ是什麼?優點缺點精華區懶人包

雖然這篇อ่านว่า ภาษาอังกฤษ鄉民發文沒有被收入到精華區:在อ่านว่า ภาษาอังกฤษ這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章

在 อ่านว่า產品中有1201篇Facebook貼文,粉絲數超過178萬的網紅ลงทุนแมน,也在其Facebook貼文中提到, สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse ทำไมเงินถึงไหลเข้ากองทุน ESG ถึง 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ? Clubhouse BBLAM x ลงทุนแมน ถ้าพูดถึง Theme การลงทุนพล...

 同時也有571部Youtube影片,追蹤數超過31萬的網紅Apologize Ch,也在其Youtube影片中提到,Apologize Ch อ่านว่า (อโพโลจั้ย) สมัครสมาชิก https://www.youtube.com/ApologizeCh/join กดซับตะไคร่ http://goo.gl/TzfchR ดิสคอร์ส https://discord.gg/S9k...

อ่านว่า 在 Kanok Ratwongsakul Instagram 的最佳解答

2021-09-17 12:55:50

เคยไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ 2-3 แห่งในอังกฤษ คนเยอะมาก ยิ่งแห่งที่มีเก็บมัมมี่อียิปต์นับพันปี คนต้องรอคิวรอเข้าชมหนาแน่น . ขณะที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้า...

อ่านว่า 在 Took Chanokwanan Instagram 的精選貼文

2021-09-17 18:50:41

เพราะร่างกายขาดหวานไม่ได้ Beignet โดนัทฝรั่งเศส @tooktooktogo888 แป้งเหนียวนุ่ม หอมๆ เคี้ยวเพลิน 🥰 ✨เปิดรับออเดอร์ถึง วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม ✨ Bei...

  • อ่านว่า 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文

    2021-09-27 18:00:25
    有 4,328 人按讚

    สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse
    ทำไมเงินถึงไหลเข้ากองทุน ESG ถึง 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ?
    Clubhouse BBLAM x ลงทุนแมน

    ถ้าพูดถึง Theme การลงทุนพลังงานสะอาด หลายคนก็มักจะติดภาพความน่าเบื่อ และไม่ตื่นเต้น
    แต่หลังจากที่ ลงทุนแมน ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์คือ คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy กองทุนบัวหลวง ในวันพุธที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา

    ก็พบว่า Theme พลังงานสะอาด ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่หลายคนคิด นอกจากนั้นยังเป็น Theme ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก และยังเกี่ยวโยงกับหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตในอนาคต อีกด้วย

    ความน่าสนใจของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
    ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟังง่าย ๆ 9 ข้อ..

    1. ทำไมกระแส ESG จึงกลายเป็นที่พูดถึงในตอนนี้ ?

    พลังงานสะอาดคือ เทรนด์การลงทุนที่สำคัญมากในอนาคต และไม่ใช่แค่เทรนด์ระยะสั้น
    สังเกตได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน ESG ทั่วโลกแตะ 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ อ่านว่า “1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ” เป็นครั้งแรก

    ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในยุโรป และการลงทุนใน ESG ยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย จึงเป็นหลักของการลงทุนที่เรียกว่า Green and Great Return

    ถ้าเราลองมาดูผลตอบแทนของ กองทุน Pictet Global Environmental กองทุนรวมที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่ B-SIP เข้าไปลงทุน ก็ให้ผลตอบแทนดีในหลายไตรมาส

    และหากลงทุนตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนในปี 2014 ก็จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 14.92% ถือว่าทำได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในดัชนีโลกที่มีทั้ง ESG และไม่มี ESG ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 10%

    สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การลงทุนกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
    ก็เป็นเพราะว่าบริษัทที่ยึดหลัก ESG จะมีคุณภาพทั้งด้านรายได้ กำไร และผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ดีกว่า บริษัททั่ว ๆ ไป

    ทำให้สามารถกำหนดราคาสูงขึ้นได้ ดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงานได้ง่าย รวมทั้งยังมีโอกาสด้านต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกกว่า เสียดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า และธนาคารปล่อยสินเชื่อง่ายกว่าอีกด้วย

    2. ทำไม พลังงานสะอาด จะเป็นการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก ?

    สิ่งที่ทำให้ กองทุนบัวหลวงมองว่า พลังงานสะอาดจะไม่ใช่เทรนด์ระยะสั้น
    ก็คือการสังเกตคลื่นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ผ่านมาแล้ว 5 คลื่นด้วยกัน นั่นคือ
    - คลื่นที่ 1 คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรม
    - คลื่นที่ 2 คือ การเริ่มใช้พลังงานไอน้ำ
    - คลื่นที่ 3 คือ การใช้รถยนต์แทนม้า
    - คลื่นที่ 4 คือ การเดินทางโดยเครื่องบิน
    - คลื่นที่ 5 คือ โลกออนไลน์ เช่น Microsoft, Facebook, Amazon, Netflix

    สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่กินระยะเวลายาวนานหลายสิบปี และนำมาซึ่งกิจการขนาดใหญ่ที่มีความมั่งคั่งมากขึ้น

    แต่ในโลกอีก 25 ปีข้างหน้า สิ่งที่จะกลายเป็นประเด็นสำคัญ และทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญเหมือนกันอยู่ก็คือ “ภาวะโลกร้อน”

    เพราะฉะนั้น คลื่นที่ 6 ก็คือ “เทคโนโลยีพลังงานสะอาด” ซึ่งจะเป็นหนึ่งเทรนด์ต่อจากนี้ไปอีก 25 ปี พร้อม ๆ กับ Robotics, Drones, AI, IoT สิ่งนี้เองที่จะเป็นแนวทางให้เราได้ว่า โลกในอนาคตจะเป็นไปในทิศทางไหน แล้วเราควรจะลงทุนอะไรต่อไป

    3. สัญญาณสำคัญที่ชี้ว่า โลกกำลังอยู่ในช่วงต้น คลื่นที่ 6 พลังงานสะอาด คืออะไร ?

    กองทุนบัวหลวงมองว่า Megatrends จะต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ
    1. ความร่วมมือระดับโลก
    2. การเห็นด้วยจากรัฐบาล
    3. ความร่วมมือภาคเอกชน

    เมื่อครบทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ เงินลงทุนก็จะหลั่งไหลมายังเทรนด์นั้น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งเทรนด์ ESG ตอนนี้มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบเรียบร้อยแล้ว

    เริ่มต้นด้วยความร่วมมือระดับโลกคือ ข้อตกลง Paris Agreement จาก UN
    ที่ต้องการให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน

    ต่อมาคือ การขานรับนโยบาย จากรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจ

    เราได้เห็นประเทศต่าง ๆ ในยุโรปมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น
    - European Green Deal เพื่อที่จะลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ ภายในปี 2050
    - European Climate Law กฎหมายที่พูดถึงการลดการปล่อยมลพิษลงอย่างน้อย 55% ภายในปี 2030

    นอกจากนี้มหาอำนาจอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ก็ได้จัดตั้งแผนงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อม เช่น
    - แผนที่ 1 วงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการผลิตรถยนต์ EV และแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน
    - แผนที่ 2 วงเงิน 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสีเขียว ซึ่งภายในปี 2035 สหรัฐอเมริกาตั้งเป้าจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 40% ของพลังงานทั้งหมด

    ขณะเดียวกัน มหาอำนาจซีกโลกตะวันออกอย่าง “จีน” ที่แม้จะยังคงใช้พลังงานถ่านหินเป็นหลัก แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2035 เป็นต้นไป

    โดยล่าสุดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม ไว้ในแผนการพัฒนาประเทศฉบับที่ 14 ซึ่งจะลดการปล่อยคาร์บอนต่อสัดส่วนของ GDP ลง 65% และจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน 25% ภายในปี 2030 อีกด้วย

    หรือประเด็นรถยนต์ไฟฟ้า แม้ในปี 2020 ยุโรปขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.3 ล้านคน ขณะที่จีนขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.2 ล้านคัน แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจีนจะสามารถแซงหน้าและกินส่วนแบ่ง 20% จากตลาดรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2025 ได้ไม่ยากเลย

    4. แล้วภาครัฐและภาคเอกชน เชื่อมั่นใน Megatrends เรื่องพลังงานสะอาด แค่ไหน ?

    ผลสำรวจของ UBS หรือธนาคารเพื่อการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์
    ที่ได้สอบถามองค์กรต่าง ๆ ว่าอยากลงทุนใน Theme อะไรเป็นอันดับหนึ่ง
    ปรากฏว่า 2 ใน 3 ตอบว่า จะลงทุนในพลังงานสะอาด เพราะเป็นปัญหาที่โลกเราต้องแก้ไข และยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย

    ซึ่งหากลงทุนในด้านพลังงานทดแทนเป็นระยะเวลา 5 ปี เมื่อเทียบกับการลงทุนในพลังงานแบบเก่า
    จะเห็นว่า ผลตอบแทนแตกต่างกันค่อนข้างมาก จุดนี้เองที่บอกว่ามันคือ Green and Great Return

    นอกจากนี้กองทุนใหญ่ ๆ ก็ประกาศเข้ามาลงทุนในเรื่องพลังงานสะอาดเช่นกัน

    เช่น Cathie Wood ผู้จัดการกองทุน ETF ARK
    ประกาศว่าจะทำกองทุน ETF ใหม่ ที่ใช้ ESG Score ทั้งสามด้าน
    คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
    โดยจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม หรือไม่ส่งผลดีต่อสังคม

    ขณะเดียวกัน กองทุนมหาวิทยาลัย Harvard ที่มีขนาด 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ประกาศหยุดการลงทุนในบริษัทที่ผลิตพลังงานฟอสซิลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    รวมทั้งบริษัทผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Saudi Aramco ก็ประกาศลงทุนในพลังงานสะอาด
    โดยลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบีย

    นอกจากนี้ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ยังวางเป้าหมายประเทศว่าจะใช้พลังงานสะอาดให้ได้ 50% ภายในปี 2030 และจะไม่ได้ลงทุนแค่พลังงานลมและแสงอาทิตย์ แต่ยังลงทุนในพลังงานไฮโดรเจน อีกด้วย

    5. แล้วอะไรคือ ความเสี่ยงของเทรนด์ ESG และพลังงานสะอาด ?

    ความเสี่ยงของ ESG พลังงานสะอาดอย่างแรกคือ กองทุนที่เสนอขายเป็น ESG จริงหรือไม่ แล้วมีมาตรฐานขอบเขตการลงทุนด้านพลังงานสะอาดที่ชัดเจนจริง ๆ หรือไม่

    ความเสี่ยงที่สองคือ ต้องระวังว่าบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานสีเขียวนี้ มีราคาแพงไปแล้วหรือยัง มีฟองสบู่ที่เรียกว่า Green Bubble จากเม็ดเงินที่เข้าไปลงทุน 1.65 แสนล้านในปี 2019 และอีกกว่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 อยู่หรือไม่

    ดังนั้น วิธีการลงทุนที่สำคัญ คือ การเลือกกองทุนที่ใส่ใจเรื่อง Valuation และใช้เรื่องมูลค่ามาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญในการลงทุน

    6. แล้วเราควรเลือกลงทุนใน ธุรกิจพลังงานสะอาด อย่างไร ?

    เราลองมาดูตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง การทำการเกษตร ว่าจะสามารถ Green and Great Return ไปพร้อมกับการให้ผลตอบแทนที่ดีได้จริงหรือไม่

    เริ่มต้นที่ Orsted บริษัทพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเดนมาร์ก เดิมทีเคยเป็นบริษัทพลังงานถ่านหินเก่าแก่มาตั้งแต่ปี 1972 โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากฟอสซิล

    จากนั้นในปี 2008 ก็พลิกธุรกิจครั้งใหญ่มาสู่เส้นทางพลังงานสะอาด โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากพลังงานสีเขียว และเดินทางสู่การเป็นบริษัทพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดของโลกได้สำเร็จ

    ซึ่งรู้หรือไม่ว่า กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF บริษัทพลังงานของไทย ก็ได้ร่วมลงทุนใน Orsted เช่นกัน เพราะมองเห็นนวัตกรรมของพลังงานลมที่ดีที่สุดในโลกของ Orsted โดย 1/3 ของพลังงานลมของโลก มาจากบริษัทนี้

    ที่น่าสนใจก็คือ ราคาของพลังงานลม ถูกกว่า ราคาพลังงานของถ่านหินไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2018 และยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 พลังงานลมและแสงอาทิตย์จะเป็นแหล่งพลังงานที่ถูกที่สุดในโลก

    ในแง่ของ Green and Great Return อย่าง Orsted เริ่มเข้าตลาดปี 2016 ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ราคาปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 96% ต่อปี
    ขณะเดียวกันยังมีรายได้เติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี และจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปอย่างน้อยถึงปี 2050 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ได้อีกมาก เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น

    7. ธุรกิจพลังงานสะอาดที่ไม่พูดไม่ได้ในตอนนี้ ก็คือ EV ?

    เราทราบดีอยู่แล้วว่า หนทางลดปัญหามลภาวะจากการใช้รถยนต์ก็คือ การหันมาใช้รถยนต์ EV หรือรถไฟฟ้า แต่สงสัยไหมว่า ทำไมเทรนด์นี้จึงกลายเป็นโอกาสลงทุนมหาศาลในอนาคต

    จากข้อมูลคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ EV จะเพิ่มขึ้น 18 เท่าในอีกสิบปีข้างหน้า แสดงว่าอาจเพิ่มขึ้นสองเท่าทุก ๆ ปี ซึ่งในอนาคตรถยนต์ทั่วโลกจะกลายเป็นรถยนต์ EV อย่างน้อย 80%

    เหตุผลก็เพราะว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงเรื่อย ๆ สังเกตได้จาก ลิเทียมไอออนแบตเตอรี่ ที่มีราคาถูกลง 88% เมื่อเทียบกับสิบปีก่อน หากราคายังคงลดลงเรื่อย ๆ ก็เชื่อว่า ราคารถยนต์ EV และรถยนต์สันดาป จะมีระดับราคาใกล้เคียงกัน

    นอกจากนี้ นโยบายของประเทศแถบยุโรปยังให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยจะยกเลิกการขายรถยนต์สันดาปแล้วจริง ๆ เช่น สวีเดน ประกาศยกเลิกในปี 2025 หรืออังกฤษ ก็ประกาศยกเลิกในปี 2035

    พอเป็นแบบนี้ แบรนด์รถยนต์ต่าง ๆ จึงต้องปรับตัวกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่อย่าง Honda, Toyota หรือแบรนด์ใหม่อย่าง Tesla, BYD, XPeng แม้กระทั่งค่ายเก๋าอย่าง Harley-Davidson, Porsche ก็ต้องปรับตัวตามเช่นกัน

    ที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์รอบนี้ ทิศทางเงินลงทุนไม่ใช่แค่ส่วนของรถยนต์ EV เพียงอย่างเดียว แต่จะไปถึง Supply Chain ต่าง ๆ ทั้งหมด เช่น
    - บริษัทผลิตแบตเตอรี่
    - บริษัทชิป Semiconductor
    - บริษัท Software ที่ทำ ADAS (รถยนต์ไร้คนขับ Autonomous Driving) และบริษัท Simulation ทำการจำลองการขับรถ

    ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างธุรกิจรถยนต์ EV ที่กองทุน B-SIP เข้าไปลงทุนกันบ้าง

    XPeng อ่านว่า เสี่ยวเผิง เป็นบริษัทรถยนต์ EV เน้นตลาดระดับกลางเเละระดับสูงในจีน ที่เรียกได้ว่าท้าชนกับ Tesla ได้เลย เช่น รถยนต์ EV รุ่น XPeng P7 ที่มีราคาเปิดตัวล้านกว่าบาท ชาร์จหนึ่งครั้งจะวิ่งได้ 700 กิโลเมตร โครงสร้างต่าง ๆ มาจากการออกแบบของวิศวกรที่มาจาก Apple, Tesla

    XPeng ยังใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ อย่าง 5G, AI ซึ่งตอนนี้ก็มีเทคโนโลยี Autonomous Driving เรียบร้อยแล้ว และยังใช้แบตเตอรี่ของ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่จีนที่ใหญ่ที่สุด ที่เพียงใช้เวลา 30 นาที ก็สามารถชาร์จได้ 80% อีกด้วย

    ด้วยเหตุนี้ กองทุน B-SIP จึงไม่พลาดที่จะเข้าไปลงทุน IPO ปีที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจพลังงานสะอาดที่มี Green and Great Return เลยทีเดียว

    8. นอกจาก พลังงานลม และรถยนต์ EV ยังมีธุรกิจไหนจะเป็นเทรนด์อนาคตได้อีกบ้าง ?

    เริ่มต้นด้วยเรื่องใกล้ตัว อย่างอาหารที่เรียกว่า “Beyond Meat” ซึ่งเป็นธุรกิจผู้ผลิตอาหารคล้ายเนื้อที่ไม่ได้มาจากเนื้อจริง ๆ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องปัญหาดิน ปัญหาน้ำ และปัญหามลพิษ

    โดยในปี 2050 คาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก 2.8 พันล้านคน และจะตามมาด้วยปริมาณอาหารที่ต้องการเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

    หากเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ จำเป็นต้องใช้พื้นที่เลี้ยงสัตว์และปัจจัยต่าง ๆ มากกว่าการปลูกพืชอย่างมาก เช่น การเลี้ยงวัว จะใช้ที่ดินมากกว่า 18 เท่า รวมทั้งใช้น้ำและพลังงานมากกว่า 10 เท่า และยังจะปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทน ออกมาจากร่างกายอีกด้วย

    จึงไม่แปลกใจเลยว่า สัดส่วน 79% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการเกษตรมาจาก “การเลี้ยงสัตว์”

    ปัจจุบัน Beyond Meat กำลังขยายฐานลูกค้าได้ดี สังเกตได้จากแบรนด์อาหารต่าง ๆ ที่หันมานำเสนอผลิตภัณฑ์จาก Beyond Meat มากขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา

    เช่น แมคโดนัลด์, เอแอนด์ดับบลิว, Dunkin'
    และยังกระจายไปตามร้านสะดวกซื้อ ที่เราสามารถซื้อกลับไปปรุงอาหารที่บ้านได้เองอีกด้วย

    Beyond Meat กลายเป็นบริษัทที่น่าจับตามอง และเข้า IPO ในปี 2019 ที่มีมูลค่าบริษัท 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มาในปีนี้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นมาเป็น 9.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นสองเท่ากว่า ๆ ภายในสองปี นอกจากนี้ยังมีรายได้ปี 2020 เติบโต 36% อีกด้วย

    นอกจากธุรกิจอาหารแล้ว ก็ยังธุรกิจอื่น ๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น

    - Schneider Electric เป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ลิฟต์ ที่มีการคำนวณการใช้งานแบบประหยัดพลังงาน ซึ่งในอนาคตหากอาคารไหนเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ก็จะสามารถเรียกค่าเช่าสูงขึ้นได้

    - Equinix เป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก เป็นศูนย์จัดเก็บข้อมูลที่ไม่สามารถหยุดทำงานได้ ต้องใช้ไฟตลอดทั้งวันทั้งคืน ปัจจุบันบริษัทสามารถใช้พลังงานหมุนเวียน 92% ของพลังงานทั้งหมด

    - Ansys เป็นบริษัทจำลองผล จำลองสถานการณ์สำหรับรถยนต์, เครื่องบิน และอื่น ๆ เพื่อช่วยลดปริมาณการสูญเสียทรัพยากรในช่วงของการทดสอบ

    เช่น Dyson แบรนด์เครื่องเป่าผมของผู้หญิง ทำให้แห้งเร็วขึ้นและดีขึ้น
    Ansys เข้ามาช่วยคำนวณทิศทางลม, ลมแรง และค้นหาประสิทธิภาพที่ดีที่สุด โดยใช้ซอฟต์แวร์จำลองผลการทดสอบ ช่วยประหยัดทรัพยากร และประหยัดต้นทุนไปได้อย่างมาก

    สรุปแล้ว แค่ Theme พลังงานสะอาดอย่างเดียว ก็ทำให้เราเห็นโอกาสของธุรกิจหลากหลายสาขา
    ไม่ว่าจะเป็น การผลิตไฟฟ้าที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังงานลม
    หรือจะเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ที่จะเปลี่ยนทั้ง EV Supply Chain
    รวมทั้ง การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยอุตสาหกรรมอาหาร และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือมากขึ้น นั่นเอง

    9. แล้วเราจะเข้าถึงโอกาสการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ได้อย่างไร ?

    กองทุน B-SIP เป็นหนึ่งกองทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนในพลังงานสะอาดโดยตรง และมีจุดเด่นด้วยสไตล์การลงทุนของกองทุนบัวหลวง ที่จะเฟ้นหาธุรกิจดีมีคุณภาพและเติบโต ซึ่งจะสร้างความแตกต่างจากกองทุนอื่นทั่วไป นั่นคือ

    1. เน้นลงทุนธุรกิจรักษาสิ่งแวดล้อม ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคตที่เรียกว่า Green and Great Return นั่นเอง

    2. มองว่าเทรนด์รักษาสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด จะเป็น Megatrends ของโลกที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น จึงเชื่อว่า Theme นี้มีความน่าสนใจและสามารถลงทุนระยะยาวได้

    3. เปลี่ยนภาพจำว่า การลงทุนในพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นน่าเบื่อหรือหุ้นโครงสร้างพื้นฐานเสมอไป

    เพราะการลงทุนของ B-SIP ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเติบโต มีนวัตกรรม มีเทคโนโลยี และยังคำนึงถึงการประเมิน Valuation ด้วย

    ถ้าฉายภาพใหญ่ ๆ ก็คือ กองทุน B-SIP จะลงทุนทั้งในฝั่ง Global Environmental Opportunities และ Clean Energy นั่นเอง

    โดยฝั่ง Global Environment จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 40% นอกจากนั้นจะเป็นบริษัทอุตสาหกรรม, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มเคมีภัณฑ์
    ซึ่งจะมีรูปแบบลงทุน Active Management เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า

    ส่วนในฝั่งของพลังงานสะอาด จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 48% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรม EV ทั้ง Supply Chain ราว 33% ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทฝั่งสหรัฐอเมริกา และยุโรป เพราะเป็นผู้นำเรื่องเทคโนโลยีพลังงานสะอาด

    เช่น Orsted ธุรกิจพลังงานลมนอกชายฝั่งมากว่า 10 ปี มีเทคโนโลยีน่าสนใจ และยังมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก

    ทั้งหมดนี้ จึงสะท้อนได้ว่า กองทุน B-SIP เป็นอีกหนึ่งช่องทางลงทุนใน Theme พลังงานสะอาดที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาวได้แบบ Green and Great Return นั่นเอง..

  • อ่านว่า 在 Facebook 的最佳解答

    2021-09-26 19:56:44
    有 62 人按讚

    จังหวัด Aichi มีเมืองหนึ่งชื่อเมือง 江南 อ่านว่าโคนัน

    และมีนักสืบมืออาชีพรายหนึ่ง
    เปิดร้านคาเฟ่ ชื่อ 名探偵CONAN
    อ่านว่า เมย์ตันเตโคนัน
    แปลว่านักสืบโคนัน

    โดยมีข้อสำคัญว่า Conan อันนี้อ่านว่า こうなん โคนันตามชื่อเมือง
    ไม่ใช่ コナン โคะนัน ที่เป็นชื่อนักสืบจิ๋วชื่อดังรายหนึ่ง
    แถมเจ้าของก็มีอาชีพนักสืบจริง
    ถือว่ารอดในแง่กฏหมาย

    -------------------

    โดยมีจุดประสงค์
    สร้างร้านที่ลูกค้าและสำนักงานนักสืบ
    สามารถหาจุดร่วมพบหากันได้

    เพราะการจะไปหานักสืบที่สำนักงานโดยตรงนี่
    เป็นกำแพงที่สูงมาก

    มาสร้างร้านอย่างนี้
    ทำให้ลูกค้าเข้ามากินข้าว
    แล้วปรึกษาไปด้วยได้ง่ายขึ้น

  • อ่านว่า 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文

    2021-09-16 11:00:36
    有 1,050 人按讚

    รู้จัก บริษัทผลิตธนบัตร ใหญ่สุดในโลก /โดย ลงทุนแมน
    รู้หรือไม่ว่าเกือบ 90% ของธนบัตรทั่วโลก ถูกพิมพ์โดยหน่วยงานภาครัฐ เช่น ธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง เหมือนกับธนบัตรของประเทศไทย ที่พิมพ์โดยธนาคารแห่งประเทศไทย

    แต่ไม่ใช่ทุกประเทศที่มีโรงพิมพ์ธนบัตรเป็นของตัวเอง
    ประเทศเหล่านั้นจึงยังต้องสั่งพิมพ์ธนบัตรจากบริษัทในต่างประเทศอยู่

    โดยบริษัทที่ทำธุรกิจรับผลิตธนบัตรที่ใหญ่สุดในโลก เป็นบริษัทจากประเทศอังกฤษ ที่มีชื่อว่า “De La Rue” ซึ่งก่อนที่ไทยจะมีโรงพิมพ์ธนบัตรเป็นของตัวเอง ก็เคยสั่งพิมพ์ธนบัตรจาก De La Rue มาก่อนเช่นกัน

    เรื่องราวของบริษัท De La Rue มีความเป็นมาอย่างไร ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
    ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
    แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
    Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ประเทศไทยเริ่มใช้ “ธนบัตร” เป็นครั้งแรกในปี 1902 (พ.ศ. 2445) หรือตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5

    แต่ประเทศไทยเริ่มพิมพ์ธนบัตรเองเป็นครั้งแรกในปี 1941 (พ.ศ. 2484) โดยกรมแผนที่ทหารบก

    ก่อนที่เราจะมีโรงพิมพ์ธนบัตรเป็นของตัวเองในปี 1969 (พ.ศ. 2512) ซึ่งอยู่ในความดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย

    ก่อนที่ประเทศไทยจะเริ่มพิมพ์ธนบัตรเอง ธนบัตรรุ่นแรก ๆ ของไทยพิมพ์มาจากบริษัทในประเทศอังกฤษที่ชื่อ “De La Rue” อ่านว่า เดอ ลา รู

    De La Rue เป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนมาตั้งแต่ปี 1947

    โดยธุรกิจหลักของบริษัทแห่งนี้ ก็คือบริการที่เกี่ยวกับการผลิตธนบัตรแบบครบวงจร ทั้งการรับออกแบบธนบัตร พิมพ์ธนบัตร รวมไปถึงขายเครื่องพิมพ์ธนบัตรและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

    แม้ว่าจะมีบริษัทที่รับพิมพ์ธนบัตรเหมือนกับ De La Rue เช่น

    บริษัท Crane ในประเทศสวีเดนและสหรัฐอเมริกา
    บริษัท Canadian Bank Note ของแคนาดา
    หรือบริษัท Giesecke & Devrient ของเยอรมนี

    แต่ในปัจจุบัน De La Rue เป็นบริษัทที่พิมพ์ธนบัตร มากที่สุดในโลก

    โดยมีการประเมินว่า ทั่วโลกจะมีธนบัตรพิมพ์ใหม่ประมาณ 1.7 แสนล้านฉบับโดยเฉลี่ยต่อปี
    คิดเป็นธนบัตรที่พิมพ์โดยบริษัทรับจ้างพิมพ์ธนบัตร 1.9 หมื่นล้านฉบับ หรือราว 1 ใน 10

    ในจำนวนนั้น จะเป็นธนบัตรที่พิมพ์โดย De La Rue ราว 7 พันล้านฉบับ คิดสัดส่วนมากถึง 1 ใน 3

    โดยลูกค้าของ De La Rue ส่วนใหญ่ คือธนาคารกลาง รวมถึงหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่พิมพ์ธนบัตร ในกว่า 140 ประเทศทั่วโลก ซึ่งมักเป็นประเทศขนาดเล็ก ยกตัวอย่างเช่น ประเทศคูเวต, เฮติ, กาตาร์, เปรู และนิการากัว

    ประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังไม่มีโรงพิมพ์ธนบัตรเป็นของตัวเอง เพราะการผลิตธนบัตรที่มีคุณภาพ ปลอมแปลงได้ยาก มีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง รวมถึงเครื่องพิมพ์ธนบัตร 1 เครื่อง ก็จะมีกำลังการผลิตที่สูงเกินกว่าความต้องการใช้ธนบัตรในประเทศเหล่านี้มาก เรียกได้ว่าไม่คุ้มที่จะผลิตธนบัตรเองในประเทศ

    การจ้างบริษัทต่างประเทศเพื่อพิมพ์ธนบัตร จึงคุ้มค่ากว่าและมีความน่าเชื่อถือมากกว่า ซึ่ง De La Rue ก็ถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการพิมพ์ธนบัตรของโลก

    สำหรับจุดเริ่มต้นของบริษัท De La Rue ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 200 ปีก่อน

    ในปี 1821 ที่ประเทศอังกฤษ ชายที่ชื่อว่า “Thomas de la Rue” ได้ก่อตั้งโรงงานสิ่งพิมพ์เล็ก ๆ โดยโรงพิมพ์ของเขาเริ่มมีชื่อเสียงจากการพิมพ์ไพ่ด้วยเทคนิคเคลือบมัน

    ต่อด้วยการคิดค้นเครื่องพับซองจดหมาย ซึ่งได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของรูปแบบซองจดหมายมาตรฐานที่ใช้กันในปัจจุบัน รวมไปถึงการผลิตอากรสแตมป์

    จนกระทั่งในปี 1860 บริษัท De La Rue เริ่มพิมพ์ธนบัตรเป็นครั้งแรกให้กับประเทศมอริเชียส

    ซึ่งประเทศแห่งนี้เป็นหนึ่งในประเทศอาณานิคมของอังกฤษ ก่อนที่ในเวลาต่อมา บริษัทจะเริ่มพิมพ์ธนบัตรให้ธนาคารกลางอังกฤษในปี 1914

    ก่อนหน้าที่ De La Rue จะผลิตธนบัตรให้กับธนาคารกลางอังกฤษนั้น
    ธนาคารอังกฤษเคยพิมพ์ธนบัตรกับบริษัท Portals มาก่อน
    ในภายหลัง De La Rue ได้เข้าซื้อกิจการ Portals
    De La Rue จึงกลายเป็นบริษัทเดียวที่พิมพ์ธนบัตรให้ธนาคารกลางอังกฤษ แบบในปัจจุบัน

    De La Rue รวมถึง Portals ก็ถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับธนบัตร ยกตัวอย่างเช่น ในปี 1957 De La Rue เริ่มผลิตเครื่องนับธนบัตรขาย เป็นครั้งแรกของโลก

    ในด้านเทคโนโลยีการผลิตธนบัตร ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1720 Portals ถือเป็นบริษัทแรกที่นำเทคนิคการพิมพ์แบบลายน้ำมาใช้กับธนบัตร

    ซึ่งเทคนิคการพิมพ์ลักษณะนี้จะทำให้เนื้อกระดาษหนาบางไม่เท่ากัน มีลายนูน
    ส่งผลให้ปลอมแปลงยาก เหมือนที่เรานำธนบัตรไปส่องกับแสงเพื่อดูว่าเป็นของจริงหรือปลอม

    ส่วนเทคโนโลยีการผลิตธนบัตรที่ทำจากพอลิเมอร์ แม้จะถูกคิดค้นที่ประเทศออสเตรเลียในปี 1988 แต่ De La Rue ก็ยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เทคโนโลยีนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น

    ซึ่งในปัจจุบัน De La Rue เป็นเพียง 1 ใน 2 บริษัท ที่ขายพอลิเมอร์สำหรับทำธนบัตร และเป็นบริษัทเดียวในโลกที่ขายพอลิเมอร์ทำธนบัตร และรับพิมพ์ธนบัตรพอลิเมอร์ควบคู่ไปด้วย

    การเป็นผู้นำเทคโนโลยีการพิมพ์ธนบัตร รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือตลอด 200 ปีที่ผ่านมา เลยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ De La Rue เป็นหนึ่งในบริษัทรับผลิตธนบัตร ที่เป็นผู้นำของโลก มาอย่างยาวนาน

    มาถึงตรงนี้ อาจเกิดคำถามว่า โลกที่หมุนเข้าสู่สังคมไร้เงินสด
    กระทบกับบริษัท De La Rue หรือไม่ ?

    แม้ว่าทั่วโลกจะยังมีความต้องการใช้ธนบัตรอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะประเทศในทวีปเอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง ที่ยังใช้จ่ายด้วยเงินสดเป็นหลัก

    แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
    สะท้อนให้เห็นจากการใช้จ่ายทั่วโลกราว 20% ยังคงเป็นเงินสด
    แต่สัดส่วนนี้ลดลงจาก 60% ในช่วง 10 ปีก่อนหน้า

    ที่น่าสนใจก็คือ ในช่วงเวลาดังกล่าว หลายประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เป็นผู้นำด้านการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเช่นประเทศในยุโรป แคนาดา และสิงคโปร์ กลับพบว่ามูลค่าธนบัตรที่หมุนเวียนในระบบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่เป็นปัจจัยเร่งให้การใช้จ่ายแบบอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตาม

    ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุว่ามูลค่าธนบัตรหมุนเวียนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว แม้แต่ในปี 2020 ก็ยังเพิ่มขึ้นได้ราว 8% ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ระบุว่าในปี 2020 มูลค่าธนบัตรหมุนเวียนเพิ่มขึ้นราว 11%

    ซึ่งทางธนาคารกลางอังกฤษได้ให้เหตุผลว่า มูลค่าธนบัตรหมุนเวียนที่ยังคงเพิ่มขึ้นแม้การใช้จ่ายแบบอิเล็กทรอนิกส์จะได้รับความนิยมสูงขึ้น เป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่ยังมองว่าการเก็บเงินสดเป็นการเก็บของที่มีมูลค่าในตัวมันเองอยู่

    จากข้อมูลเหล่านี้ เลยทำให้ผู้บริหาร De La Rue มองว่าความต้องการธนบัตร จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปได้ในอนาคต

    แต่อย่างไรก็ตาม ธุรกิจรับผลิตธนบัตรยังคงมีความเสี่ยงอีกหลายด้าน อย่างเช่น การที่ลูกค้าเป็นประเทศขนาดเล็กหรือเศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพ ความต้องการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม จึงไม่แน่นอน

    ในกรณีเลวร้ายกว่านั้นคือ สั่งพิมพ์ธนบัตรไปแล้วแต่กลับจ่ายเงินไม่ได้ อย่างกรณีของประเทศเวเนซุเอลา ที่ในปี 2018 บริษัท De La Rue ต้องบันทึกหนี้สูญ 800 ล้านบาท เพราะธนาคารกลางเวเนซุเอลาไม่สามารถจ่ายเงินค่าสั่งพิมพ์ธนบัตรได้

    นอกจากนั้นแล้ว หลายประเทศที่เคยเป็นลูกค้า ก็หันมาสร้างโรงพิมพ์ธนบัตรของตัวเองกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทยที่เคยพิมพ์ธนบัตรกับ De La Rue แค่ช่วงแรก นอกจากนั้นก็มีฮ่องกงและอินเดีย โดยเฉพาะอินเดียที่เคยเป็นลูกค้ารายใหญ่ ก็หันไปพิมพ์ธนบัตรเองกันหมดแล้ว

    แม้ว่า De La Rue จะไม่ได้มีธุรกิจผลิตธนบัตรอย่างเดียว แต่ยังมีธุรกิจผลิตพาสปอร์ต รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีการป้องกันไม่ให้ถูกปลอมแปลงอยู่ด้วย แต่รายได้หลักกว่า 70% ยังมาจากธุรกิจธนบัตร

    แล้วผลประกอบการตามปีงบประมาณของ De La Rue ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เป็นอย่างไรบ้าง ?

    ปี 2017 รายได้ 22,200 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 2,800 ล้านบาท
    ปี 2018 รายได้ 25,400 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 2,700 ล้านบาท
    ปี 2019 รายได้ 21,200 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 1,900 ล้านบาท
    ปี 2020 รายได้ 17,900 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 650 ล้านบาท

    จากรายได้และกำไรจากการดำเนินงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ก็ได้สะท้อนมาที่มูลค่าของบริษัท De La Rue ในปัจจุบัน ที่มีมูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปี 2017 กว่า 70%

    ทำให้เราสรุปได้ว่าแม้แต่บริษัทผลิตธนบัตร ที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน
    ก็หนีไม่พ้นยุคแห่งความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลง จากเทคโนโลยี เช่นกัน..
    ╔═══════════╗
    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
    ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
    แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
    Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - facebook.com/longtunman
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
    Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
    Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
    References:
    -https://www.ft.com/content/2585aaa7-6708-4ecc-ae60-6ddc407c6c95
    -https://www.bloomberg.com/opinion/articles/2019-11-26/world-s-biggest-banknote-maker-de-la-rue-is-running-out-of-money
    -https://www.economist.com/business/2017/04/06/de-la-rue-rethinks-its-strategy
    -https://www.bbc.com/news/business-50557097
    -https://www.bbc.com/news/business-45272704
    -https://www.bbc.co.uk/news/business-43807190
    -https://www.forbes.com/sites/francescoppola/2020/01/30/why-is-a-company-that-prints-money-running-out-of-cash/?sh=43b903eb3b5d
    -https://www.americanbanker.com/news/watermarks-an-appreciation-for-a-timeless-feature-of-currency
    -https://www.delarue.com/about-us/our-history-orig
    -https://www.delarue.com/investors/results-and-reports
    -https://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/HistoryAndSeriesOfBanknotes/Pages/All_Series_of_Banknotes.aspx

  • อ่านว่า 在 Apologize Ch Youtube 的最佳貼文

    2021-06-24 21:49:24

    Apologize Ch อ่านว่า (อโพโลจั้ย)
    สมัครสมาชิก https://www.youtube.com/ApologizeCh/join
    กดซับตะไคร่ http://goo.gl/TzfchR
    ดิสคอร์ส https://discord.gg/S9knGHvbyg
    สตรีมสด https://www.twitch.tv/apologizech
    ติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/ApologizeCh
    ติดต่อโฆษณาหรือสปอนเซอร์ [email protected] (คุณนัด)

    ♪ Sound Epidemicsound.com : https://player.epidemicsound.com
    ♪ Outro Song ♫ : Pretty Carolina - Jontha Links

    สมัครเป็นพาร์ทเนอร์กับ Online Station เพื่อช่วยพัฒนาให้ช่อง Youtube ของคุณเติบโตขึ้น http://caster.online-station.net
    ----------------------------------------­----------------------------------------­---------------------
    ::: สนใจติดต่อโฆษณาหรือสปอนเซอร์ :::
    ติดต่อทีมงาน Online Station (เฉพาะเรื่องงานเท่านั้น)
    โทร : 02-859-5171
    อีเมล์ : [email protected]

    #ApologizeCH #rust

  • อ่านว่า 在 Apologize Ch Youtube 的最讚貼文

    2021-06-19 20:57:40

    ASMO : https://www.twitch.tv/asmo_ch
    ICECAT : https://www.youtube.com/watch?v=6smGGvfboso
    Yik Aloha : https://www.youtube.com/UCllJdnpWPIRp5l1Wy7hcthA

    Apologize Ch อ่านว่า (อโพโลจั้ย)
    สมัครสมาชิก https://www.youtube.com/ApologizeCh/join
    กดซับตะไคร่ http://goo.gl/TzfchR
    ดิสคอร์ส https://discord.gg/S9knGHvbyg
    สตรีมสด https://www.twitch.tv/apologizech
    ติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/ApologizeCh
    ติดต่อโฆษณาหรือสปอนเซอร์ [email protected] (คุณนัด)

    ♪ Sound Epidemicsound.com : https://player.epidemicsound.com
    ♪ Outro Song ♫ : Pretty Carolina - Jontha Links

    สมัครเป็นพาร์ทเนอร์กับ Online Station เพื่อช่วยพัฒนาให้ช่อง Youtube ของคุณเติบโตขึ้น http://caster.online-station.net
    ----------------------------------------­----------------------------------------­---------------------
    ::: สนใจติดต่อโฆษณาหรือสปอนเซอร์ :::
    ติดต่อทีมงาน Online Station (เฉพาะเรื่องงานเท่านั้น)
    โทร : 02-859-5171
    อีเมล์ : [email protected]

    #ApologizeCH #Rust

  • อ่านว่า 在 ใยไหมชวนเล่น [Zanee Tube] Youtube 的精選貼文

    2021-06-18 18:45:50

    สถานที่จำหน่าย เว็บไซด์ www.kidzandkai.com (ชื่อเว็บ อ่านว่า คิด แอน ขาย)
    Lazada - kidz&kitz Flagship Store ▶ http://bit.ly/2VNPX5I
    Shopee - kidzandkitz ▶ http://bit.ly/2TFhjIv
    แผนกของเล่น ห้างสรรพสินค้า, ร้าน ทอยส์ "อาร์" อัส
    ซิลวาเนียน มาร์เก็ต 2 สาขา เกทเวย์ เอกมัย และ เดอะคริสตัล เอกมัย-รามอินทรา

    ติดต่อสอบถาม Website: www.sylvanianfamilies.com/th-th/
    Facebook: Sylvanian Official Thailand
    Instagram: kksylvanian
    Lind ID: @thaisylvanian

    #ใยไหม #ใยไหมชวนเล่น #ซิลวาเนี่ยน
    【Contact สนใจติดต่อโฆษณา รีวิวสินค้าหรือสปอนเซอร์】
    ►E-Mail : [email protected]
    Mr. BAT Fun Family (คุณแบท)

你可能也想看看

搜尋相關網站