雖然這篇อุบาย หมายถึง鄉民發文沒有被收入到精華區:在อุบาย หมายถึง這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章
在 อุบาย產品中有3篇Facebook貼文,粉絲數超過1萬的網紅Taepoppuri,也在其Facebook貼文中提到, ‘A Dream Partnership’ Tales from the Shadows เป็นซีรีส์เรื่องสั้นของ FFXIV แบบ Official บอกเล่าเรื่องราวเพิ่มเติมจากเนื้อหาหลัก แต่งโดยทีมเขียนบทของเ...
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過36萬的網紅Club gig,也在其Youtube影片中提到,ภาษาที่ผู้ชายไว้ใช้หลอกผู้หญิง (ทุกช่วงอายุ ทุกชาติทุกวัย) (ปรึกษาโค้ชกิกฟรีที่ https://bit.ly/35AnSjz) (ปรึกษาโค้ชกิกฟรีที่ https://bit.ly/35AnSjz) ...
อุบาย 在 อ. Gundam Instagram 的最佳解答
2020-05-01 22:46:57
#4วิธี_ทานอาหาร_ลดน้ำหนักไว . ร่างกาย แน่นอนว่าเป็นไปตามกฎของพลังงาน ไขมัน = พลังงานสำรอง ทำยังไงให้ร่างกายใช้พลังงานสำรอง 👉คำตอบ คือ ใช้พลังงานให้เยอ...
อุบาย 在 Adam Bradshaw Instagram 的精選貼文
2020-05-10 20:52:39
ในช่วงก่อนเทศกาลวันแห่งความรัก ประเทศอังกฤษได้ออกมาเตือนว่า 'อย่าตกเป็นเหยื่อของกลโกงความรัก' โดยพวกโจรจะหาเหยื่อตามเว็บไซต์ หรือแอพหาคู่ แล้วปลอมโปร...
อุบาย 在 ภาษาไทยครูลิลลี่ Instagram 的精選貼文
2020-05-14 08:40:19
สุโขทัย = สุข+อุทัย ( อุ แผลงเป็น โอ เหมือนคำว่า นย+อุบาย=นโยบาย ชล+อุทร=ชโลทร กุศล+อุบาย=กุศโลบาย) เอาบุญมาฝากทุกท่านค่ะ#ภาษาไทยครูลิลลี่#thailand ...
-
อุบาย 在 Club gig Youtube 的最讚貼文
2020-02-05 11:00:15ภาษาที่ผู้ชายไว้ใช้หลอกผู้หญิง (ทุกช่วงอายุ ทุกชาติทุกวัย)
(ปรึกษาโค้ชกิกฟรีที่ https://bit.ly/35AnSjz)
(ปรึกษาโค้ชกิกฟรีที่ https://bit.ly/35AnSjz)
Live พิเศษของอ.หมอแพน กับโค้ชกิ๊กนะครับ
อาจารย์หมอ ดร แพน สุ่นสวัสดิ์ (อ. สอนเรื่อง Neuron Anatomy สมองและประสาท) ที่จะมาไขความลับให้เราเข้าใจในเรื่องการทำงานของสมองที่ส่งผลต่อความรัก และที่มาของปัญหาต่างๆในความรักพร้อมแนะนำวิธีแก้ไข
ปรึกษาปัญหาความรัก กับโค้ชกิ๊กผ่านไลน์ฟรี หรือสอบถามคอร์สเรียนเพื่อพัฒนาตนเอง ที่ตอบโจทย์ปัญหาความสัมพันธ์ในทุกๆด้าน คลิกที่นี่เลยครับ
https://bit.ly/35AnSjz
อุบาย 在 Taepoppuri Facebook 的最讚貼文
‘A Dream Partnership’
Tales from the Shadows เป็นซีรีส์เรื่องสั้นของ FFXIV แบบ Official บอกเล่าเรื่องราวเพิ่มเติมจากเนื้อหาหลัก แต่งโดยทีมเขียนบทของเกมเอง เป็นเนื้อหาที่ทีมงานนับว่าเป็น canon เพียงแค่ไม่มีจังหวะเหมาะๆจะใส่เข้าไปในเกมเท่านั้น
สำหรับตอนที่สองของปีนี้ เป็นเรื่องราวของอาร์ดเบิร์ตและเซโต้ เป็นตอนที่ตะเตือนใจคนชอบอมาโร่ เลยถือโอกาสแปลมาให้อ่านกันค่ะ
*สปอยล์เนื้อหาภาค Shadowbringers
*รื้อฟื้นคนที่ลืม อมาโร่ที่ใช้แทนโจโคโบะในเดอะเฟิสต์นั้นเป็นสัตว์ที่มีมาแต่โบราณ ฉลาดกว่าสัตว์ทั่วไปเข้าใจภาษาคน บางตัวเมื่อเติบโตถึงจุดหนึ่งจะพูดได้ ในกรณีของเซโต้นั้นพูดได้หลังอาร์ดเบิร์ตตายไปแล้ว
.
.
.
บทแปลเรื่องสั้น Tales from the shadows
ตอน 6 : คู่หูที่ใฝ่ฝัน
อมาโร่สายเลือดเก่าแก่นั้นมีอายุขัยที่ยาวนาน ยืนยาวกว่าผองเพื่อนที่พลังยังไม่ตื่นขึ้นมามากนัก กระนั้น เวลาก็ไม่ได้ปรานีพวกมัน ดวงตาเริ่มฟ้าฟาง ปีกก็เริ่มไร้เรี่ยวแรงและอ่อนพลัง ในกรณีของเซโต้ที่มีร่างกายใหญ่โตและเป็นหัวหน้าฝูงแห่งวอเลคดอร์ฟ อายุอันยืนยาวของมันส่งผลให้เจ้าตัวอยากจะงีบหลับอยู่เรื่อยไป ราวกับขวบปีที่ทับถมนั้นมาถ่วงที่เปลือกตา..
.
วันนี้ก็เช่นกัน เซโต้ผู้เป็นที่เคารพนับถือของลูกฝูงกำลังนอนหลับอย่างสงบสบายท่ามกลางกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์ และจิตใจมันก็ล่องลอย หวนคิดไปถึงอดีตที่อบอุ่น
.
.
ณ เมืองนาบาธอาแรงค์ อมาโร่วัยเยาว์ตัวหนึ่งนอนแผ่หราอยู่กลางพื้นหินที่ร้อนระอุจากแสงแดด มันบอบช้ำและอ่อนแรง ชายตามองครู่เดียวก็บอกได้ว่ามันถูกข่มเหงอย่างทารุณมายาวนาน ร่างกายที่ถูกทุบตีและผอมแห้งพยายามที่จะเอาชีวิตรอดไปวันต่อวัน
.
คงไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ตนใดเลือกที่นอนเป็นแผ่นหินอันแสบร้อนแผดเผา แต่เมื่อถูกผูกไว้ด้วยเกวียนหลังใหญ่จนเคลื่อนที่ยาก เจ้าอมาโร่ก็ไม่มีทางเลือกมากนัก มันจึงนอนอยู่ตรงนี้ สงวนพลังเอาไว้จนกว่าเจ้านายของมันจะกลับมา...
.
อา นายท่านกลับมาแล้ว
.
มนุษย์ร่างท้วมเดินออกมาจากร้านค้าใกล้ๆและพุ่งตรงมาที่เกวียน มือใหญ่ๆกำแส้มัดโตเอาไว้แน่น แส้นั้นถักขึ้นจากเอ็นของกิ้งก่า การเฆี่ยนแต่ละครั้งสร้างความเจ็บปวดลึกซึ้งจนเจ้าอมาโร่จำฝังใจ แม้จะเหนื่อยแทบล้มสลบ แต่เมื่อแส้สะบัด มันก็จำต้องขานรับคำสั่ง
.
วันนี้ก็ต้องโดนอีกแน่ จะเป็นที่ไหล่รึที่คอกันนะ? หรือหลังและขา? หวังว่าจะไม่โดนจมูกก็แล้วกัน มันหลับตาแน่นเตรียมรอรับแรงฟาดอันเจ็บปวด…แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
.
ด้วยความสับสน อมาโร่น้อยเปิดตามองเห็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นระหว่างมันและเจ้านาย คนแปลกหน้าคนนี้อายุยังน้อย ราวกับพ้นวัยเด็กมาได้ไม่นาน แต่เขาก็สะพายขวานใหญ่เกินขนาดปกติได้อย่างสบาย
“ยอมซะเถอะ ลามุนธ์! แผน‘จิ้งจอกหยก’ ของแกน่ะจบแล้ว”
นั่นคือครั้งแรกที่อมาโร่ได้พบกับอาร์ดเบิร์ต คนที่ตั้งชื่อให้เขาในภายหลังว่า ‘เซโต้’ การพบพานที่จะกลายเป็นมิตรภาพตลอดชีวิต ต้นเหตุของเหตุการณ์นี้มีที่มาจากเหตุอื้อฉาวเมื่อหลายวันก่อน ในตลาดค้าเพชรพลอยของนาบาธอาแรงค์ มีสินค้าปลอมปรากฏขึ้นสร้างความปั่นป่วน แม้จะเป็นของเลียนแบบแต่ก็แนบเนียนจนผู้เชี่ยวชาญยังจำแนกออกได้ยาก
.
เมื่อความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงถูกสั่นคลอน กลุ่มผู้ค้าเพชรพลอยเสนอเงินรางวัลก้อนโตให้กับใครก็ตามที่จับนักปลอมแปลงสินค้าฉายา ‘จิ้งจอกหยก’ ได้
.
ประกาศดังกล่าวแพร่กระจายไป นักล่ารางวัลจากทั่วสารทิศแออัดกันแน่นเมืองเพื่อหวังขึ้นรางวัล แต่กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก็ต้องล้มเหลวที่จะจับตัวโจรจิ้งจอก หลักฐานที่พบเจอก็มีแต่ของปลอมจำนวนมากขึ้นเท่านั้น
.
กลับเป็นนักเดินทางมือใหม่อย่างอาร์ดเบิร์ตและลามิตต์ที่จับตัวจิ้งจอกหยกได้ พวกเขารวมมือกับแบรนเดน อดีตอัศวินแห่งวูเบิร์ตที่ช่วยทำลายเวทลวงตาซึ่งซ่อนโรงเจียระไนเพชรพลอยปลอมเอาไว้ เมื่อได้หลักฐานสำคัญ ในที่สุดทั้งพวกเขาก็สืบพบตัวการซึ่งเป็นชายนามว่าลามุนธ์
.
หลังจากขึ้นรางวัลก้อนโตแล้ว ทั้งสามคนตกลงแบ่งเงินออกเป็นสามส่วนเท่าๆกัน แต่เมื่อคิดถึงนิสัยชอบเที่ยวสนุกของแบรนเดน สองคนที่เหลือก็ตัดสินใจจะเก็บเงินส่วนของแบรนเดนเอาไว้ให้แล้วค่อยจ่ายให้เขาเป็นงวดทีหลัง ทั้งลามิตต์และอาร์ดเบิร์ตรู้ดีว่าแบรนเดนสามารถใช้เงินทั้งหมดนี้ในคืนเดียวเพื่อเมามายในโรงเหล้า เจ้าตัวเองก็เห็นด้วยอย่างเสียไม่ได้และตกลงจะรับเงินส่วนของตนในอีกวันเพ็ญให้หลัง ทำให้เขาต้องติดสอยห้อยตามอีกสองคนไปสักพัก
.
สำหรับอาร์ดเบิร์ตนั้นมีแผนในใจอยู่แล้วว่าจะใช้รางวัลทำอะไร เมื่อรู้ว่าเจ้าหน้าที่กฏหมายกำลังริบทรัพย์สินของลามุนธ์ รวมถึงอมาโร่ที่ถูกทารุณตัวนั้น เขาก็เร่งรีบไปต่อรองราคาทันที
.
.
อมาโร่ผู้อ่อนแอเดินโซเซตามกลุ่มเจ้านายใหม่จนมาถึงกระโจมชั่วคราว แล้วก็ฟุบลงอย่างหมดเรี่ยวแรง
“คิดอะไรของเอ็งวะ ไอ้หนู?” แบรนเดนแซะอาร์ดเบิร์ต “ไอ้นกนี่เหลือแต่หนังกับกระดูกแล้ว อย่าว่าแต่จะเดินข้ามทะเลทรายเลย ข้าว่าแค่เดินรอบเมืองมันก็ตายแล้วมั้ง? จะเอามาต้มกินเนื้อก็ไม่พอกินสักกะชาม!“
อมาโร่พ่นลมออกจมูกราวกับจะโต้แย้งคำสบประมาท ในขณะที่อาร์ดเบิร์ตเกาคางของมันช้าๆ
“อย่าไปฟังคนปากเสียเลย เซโต้! ข้ายอมเห็นไอ้หมอนั่นลงหม้อดีกว่าจะเป็นเจ้า เดี๋ยวก็จะได้เห็นกันว่าเซโต้มีดียังไง”
.
ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่กฏหมายก็คิดเหมือนแบรนเดน พวกเขาคิดว่าอมาโร่ตัวนี้มีสภาพย่ำแย่ ไม่คุ้มค่าที่จะเลี้ยงดูให้กลับมาใช้สอยได้ อาร์ดเบิร์ตรู้ดีว่าพวกเขาจะกำจัดมันจึงรีบช่วยมันมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเมตตา แต่อีกสาเหตุเป็นเพราะเขารู้สึกได้ว่าเจ้าสัตว์น่าสงสารตัวนี้มีบุคลิกที่แตกต่างออกไปจากอมาโร่ทั่วไป
.
อาร์ดเบิร์ตเกิดในเกาะเล็กๆกลางทะเลของโคลูเซีย เมื่อไม่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันให้สนุกด้วยเขาจึงใช้เวลาวัยเด็กเล่นกับสัตว์และนกชนิดต่างๆในภูเขา พ่อที่เป็นครอบครัวคนเดียวของเขาก็สอนวิธีดูแลปศุสัตว์ต่างๆให้ รวมไปถึงสัตว์พิเศษอย่างอมาโร่
.
เพราะเหตุนี้ บุคลิกของเซโต้ทำให้อาร์ดเบิร์ตสังเกตเห็นความแตกต่างได้ทันทีตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นมันรีบตื่นขึ้นมาและรอให้เจ้านายเก่าเดินผ่านไปก่อนจะกลับไปนอนหลับพัก เป็นความเฉลียวฉลาดที่จะเลี่ยงการถูกทำโทษนั่นเอง
.
.
.
“ได้เวลาพิสูจน์ตัวเองแล้ว เซโต้!”
อาร์ดเบิร์ตผิวปากเสียงดัง เจ้าอมาโร่วิ่งโซซัดโซเซออกมากลางทุ่งแล้วก็นอนหมอบลง อาร์ดเบิร์ด ลามิตต์ และแบรนเดนที่อยู่ปลายทางห่างออกไปกำลังหลบอยู่หลังหินก้อนโต พ่อค้าท้องถิ่นร่วมกันว่าจ้างพวกเขาให้กำจัดฝูงหมาป่าดุร้ายที่รบกวนเส้นทางการเดินเกวียน และเซโต้ที่ยังไม่เข้าใจเหตุผลเท่าไหร่ก็กำลังทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อ
.
“ก็ยังดูไม่ค่อยมีเนื้อจนน่ากินนะ ไอ้นกนั่น” แบรนเดนบ่นพึมพำ “หวังว่าไอ้หมาพวกนั้นจะหิวมากพอ...”
.
ส่วนเซโต้ก็คิดถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ของชะตาชีวิตตน อาร์ดเบิร์ตไม่เคยทุบตีเขาเลย และก็ยังให้อาหารเขามากมาย รวมไปถึงปัดฝุ่นแปรงขนให้อีกด้วย อาร์ดเบิร์ตมักจะเกาคางเขาตรงที่เขาชอบ เจ้าอมาโร่ไม่คุ้นชินกับความอ่อนโยนแบบนี้มาก่อน
.
แต่แล้วก็มาถึง’อุบาย’ในวันนี้ที่เซโต้ยังไม่เข้าใจเหตุผล แต่เขาไม่อยากทำให้นายใหม่โกรธและเสี่ยงที่จะต้องกลับไปเป็นอย่างเดิม จึงพยายามทำหน้าที่ตามที่อาร์ดเบิร์ตกำชับให้ดีที่สุด วิ่งออกมาและหมอบรอ แต่ตอนนี้เหมือนกับว่ามันกำลังจะถูกใช้เป็นเหยื่ออย่างทิ้งขว้าง...
ก็น่าจะรู้อยู่แล้ว
มนุษย์ก็เหมือนกันทั้งนั้น
เซโต้นอนพังพาบอย่างหมดอาลัยตายอยาก ยอมจำนนต่อชะตาชีวิต ฝูงหมาป่าเริ่มวิ่งเข้ามา มิน่าล่ะเขาถึงให้อาหารข้ามากๆ ก็เพราะแบบนี้-
“เซโต้! วิ่งมาเลย!”
อาร์ดเบิร์ตวิ่งพุ่งมาพร้อมกับชูขวานใหญ่ เซโต้ผงกหัวขึ้นอย่างสับสน แล้วก็เข้าใจว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้ถูกทิ้งให้ตาย เจ้าอมาโร่วิ่งสุดฝีเท้าไปหานายใหม่พร้อมกระพือปีก แต่มันก็ยังบินไม่ได้เพราะการเลี้ยงดูทิ้งๆขว้างๆหลายปีที่ขาดสารอาหาร
.
ฝูงหมาป่านักล่าทุกตัววิ่งตามเจ้านกใหญ่มา ภาพของอมาโร่ที่กระพือปีกวิ่งตุปัดตุเป๋อย่างร้อนรนทำให้แบรนเดนหัวเราะจนน้ำตาไหล
“ก๊ากกก! ไอ้ขี้ก้างวิ่งเร็วจี๋เลยว่ะ”
เมื่อฉุนที่ถูกล้อเลียน เซโต้จึงเปลี่ยนทิศการวิ่งเฉไปทางอดีตอัศวิน มันรวบรวมพลังกระโดดสูงข้ามหัวแบรนเดนไป ฝูงหมาป่าเลิกไล่งับหางเจ้าอมาโร่แล้วหันมาเตรียมฝังคมเขี้ยวใส่ชายร่างใหญ่แทน
“อ้าวเฮ้ย!” แบรนเดนอุทานลั่นแล้วยกโล่ขึ้นกันทันพอดิบพอดี
.
.
นับแต่นั้นมา กลุ่มของพวกเขาก็รับงานหลายต่อหลายงานโดยมีเซโต้เล่นบทบาทสำคัญของตน บางครั้งก็แกล้งเป็นสัตว์อ่อนแอ บางครั้งก็เลียนเสียงร้องดุร้ายของนักล่า ศักยภาพของเจ้าอมาโร่ฉายแววให้เห็นหลายต่อหลายครั้ง จนอาร์ดเบิร์ตยังต้องทึ่ง
.
เมื่อต้องตามล่านกปิศาจซึ่งคอยหลอกหลอนหุบเขาแห่งอำพัน เซโต้ก็สามารถลอกเลียนเสียงนกตัวเมียล่อให้เจ้าสัตว์ร้ายปรากฏตัวออกมาได้ และพวกเขาก็ตามล่าไปจัดการถึงรังของมันได้สำเร็จ
“ดูนี่สิ!” ลามิตต์ที่ใส่หมวกไว้แม้ยามต้องต่อสู้ชี้ให้ทุกคนดูของที่พื้น “ต้องเป็นสมบัติที่มันเก็บไว้แน่ๆเลย” อย่างที่เธอว่า บนฟางแห้งนั้นมีของมีค่ามากมายกระจัดกระจายอยู่
“ข้าก็เคยได้ยินอยู่นะว่านกบางประเภทน่ะชอบเก็บของแวววาว” แบรนเดนตาส่องประกายขณะที่เอื้อมมือลงไปหยิบเหรียญทองอันใหญ่ มันสะท้อนแสงแดดวาววับ “นี่สิเจ๋ง ขุนนางของนาบาธเคยให้เหรียญผู้กล้าแบบนี้กับนายทหาร นี่ต้องอายุไม่ต่ำกว่าสองร้อยปีแน่ๆ...แปลว่าเจ้าปิศาจนี่เอามาจากลูกหลานของพวกนั้น ไม่ก็ไปขุดมาจากหลุมศพล่ะนะ”
แบรนเดนยิ้มกว้าง “จะยังไงก็ได้ราคาดี” และลดมือลงจะยัดเหรียญใส่กระเป๋า แต่อาร์ดเบิร์ตก็โผเข้ามาฉกเหรียญไปจากมือ “ช้าก่อนเพื่อน” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างเช่นกัน “เหรียญนี่ต้องให้คนที่สมควรที่สุดสิ”
“งั้นเรอะ?” แบรนเดนพูดเซ็งๆ “งั้นก็คืนมาสิฟะ ใครกันที่ช่วยป้องกันเจ้าจากการโจมตี? แล้วใครกันน้อที่เป็นคนลงดาบสุดท้ายใส่คอเจ้าปิศาจ?”
“ก็นายน่ะสิเพื่อนยาก ทำได้เยี่ยมไปเลย! แต่ว่านายไม่มีโอกาสจะได้ทำแบบนี้แน่ ถ้าไม่ใช่เพราะเซโต้ล่อศัตรูออกมาได้ตั้งแต่แรก” อาร์ดเบิร์ตคุ้ยค้นกระเป๋ารกๆของตัวเองอยู่สักพักก็ควักเชือกหนังออกมาเส้นหนึ่ง เขาคล้อยมันเข้ากับเหรียญแล้วก็ห้อยไว้รอบคอของเซโต้ราวกับเหรียญเกียรติยศ
“สำหรับเจ้าเพื่อนแท้ ผู้กล้าตัวจริง!”
อมาโร่พ่นลมเสียงดังพร้อมกับชูหัวขึ้นสูงอย่างภูมิใจ
“ฉันเห็นด้วย” ลามิตต์หัวเราะคิกคัก “ให้เซโต้ไว้ดีกว่าจะต้องทนดูแบรนเดนเอามันไปละลายกับโรงเหล้า”
“เฮ้อ ก็ตามใจ!” แบรนเดนชูมือยอมแพ้ “ไชโยให้สามครั้งแก่ท่านเซโต้! อมาโร่ที่ฉลาดที่สุดในโลกหล้า!”
.
ถึงจะทำไปด้วยอารมณ์ขัน แต่การกระทำของอาร์ดเบิร์ตในวันนั้นก็บ่งบอกว่าเซโต้อยู่ในกลุ่มในฐานะสมาชิกคนหนึ่งอย่างเท่าเทียมแล้ว และกลุ่มเล็กๆของพวกเขาก็ได้รับชัยชนะต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่า
.
ชื่อเสียงของพวกเขาเติบโตขึ้น ไม่นานนักนักล่าผู้เชี่ยวชาญอย่างเรนดาแรก็ขอเข้ากลุ่มด้วย หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้นักดาบผมเงินอย่างซิลวามาเพิ่มเป็นพรรคพวก สุดท้ายคือนักเวทอย่างเนลเบิร์ต
.
ทุกคนผจญภัยไปด้วยกัน ต่อสู้ไปด้วยกัน เจ็บปวดไปด้วยกัน มีอุปสรรคมากมาย แต่สำหรับเซโต้แล้ว ความสุขที่ได้รับจากการเดินทางนั้นมากมายจนลบเลือนความทุกข์ไปหมดสิ้น
.
.
.
ตื่นขึ้นจากการงีบหลับ อมาโร่ที่บัดนี้ชราแล้วถอนใจแผ่วเบาอย่างอิ่มเอม เหรียญทองอันเดิมคล้องอยู่รอบคอของเขา มันเคยหายไปตอนที่เขาพยายามปกป้องที่นี่จากฝูงซินอีทเตอร์ สายหนังขาดและเหรียญก็กระเด็นตกลงไปในห้วงน้ำลึกของทะเลสาบ
นักเดินทางผู้นั้นช่างใจดีเหลือเกินที่ไปเก็บมันกลับมาให้เขา
หลังจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือจากพิกซี่ สายคล้องก็ถูกถักขึ้นมาใหม่ และมันก็กำลังห้อยอยู่ตรงนี้แล้ว ท่าทางจะมีลูกเล่นอะไรสักอย่างด้วยล่ะนะ ถ้าให้เขาเดา ไม่งั้นจะฝันถึงอดีตอย่างแจ่มชัดขนาดนี้ได้อย่างไร
จู่ๆก็รู้สึกอยากเดินทางขึ้นมา อยากจะบินไปบนท้องฟ้าสูง เขาอาจจะออกไปท่องโลกกว้างอย่างที่เคยทำไม่ไหวด้วยความชรา แต่แค่ชายฝั่งทะเลสาบที่ห่างออกไปไกลๆตรงนั้นก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกน่า จะได้ไปเยี่ยมผู้ที่ถูกเรียกว่าช่างตัดเย็บและขอบคุณเสียหน่อยสำหรับของขวัญชิ้นนี้ที่ทำให้เขาได้ฝันถึงเรื่องดีๆ
.
อมาโร่ยืนขึ้นและสยายปีกอันกว้างใหญ่ออก มันสูดหายใจลึก สัมผัสกับสายลมอันสดชื่น
ถึงจะชราแล้วแต่เขาก็ยังจดจำได้ดีอย่างแน่นอนว่าความรู้สึกที่ได้โบยบินอีกครั้งนั้นเป็นเช่นไร~
จบ.
--------------------
อื่นๆของ FFXIV
bit.ly/ShBTales
bit.ly/FF14_RIC
อุบาย 在 Roundfinger Facebook 的最佳解答
เมื่อวานนี้มีโอกาสได้นั่งสนทนารับความรู้จากพี่เตา-บรรยง พงษ์พานิชยาวนาน ระหว่างพูดคุยกัน ผมรู้สึกทึ่งเวลาที่วาณิชธนากรอาวุโสท่านนี้หยิบยกเอาเกร็ด ประวัติ ชื่อบุคคล รวมถึงเนื้อหาสำคัญจากหนังสือเล่มต่างๆ ออกมาเล่าให้ฟังได้ราวกับกางหนังสืออ่าน
"ทำไมพี่เตาความจำดีขนาดนี้ครับ" ผมเอ่ยถามด้วยความทึ่ง คำตอบของพี่เตาเรียบง่ายแต่กระตุกให้หยุดคิด "ผมอ่านหนังสือช้า" ก่อนจะอธิบายว่า ถ้าอ่านอะไรจะอ่านจนกว่าจะเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะอ่านอีก นอกจากนั้นยังใช้หลักโยนิโสมนสิการ หรือสิ่งที่ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต) เรียกว่าวิธีการแห่งปัญญามาใช้ในการอ่านด้วย
คืออ่านแล้วขบคิด ตั้งคำถาม เพื่อทำความเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว 'ข้อมูล' จะแปล่งร่างเป็น 'ความรู้' อยู่ในสมองของเรา เพราะเราผ่านกระบวนการ 'รู้' สิ่งนั้นแล้ว - ย่อหน้านี้ผมเสริมจากความเข้าใจของตัวเอง
คำตอบของพี่เตาชวนให้ผมทบทวนตัวเองที่บางครั้งก็อ่านหนังสือเร็ว (ไปถึงเร็วมาก) เพราะมีหนังสือที่อยากอ่านรออยู่อีกหลายเล่ม เดือนหนึ่งผมอ่านหนังสือจบหลายเล่ม แต่ที่น่าตั้งคำถามคือผมได้รับประโยชน์จากหนังสือเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหน
"เลือกเล่มที่จะอ่าน แล้วอ่านจนกว่าจะเข้าใจ" ดูเป็นคำแนะนำที่น่านำมาปรับใช้อยู่เหมือนกัน
...
อ่านแล้วคิดตามไปด้วยโดยใช้โยนิโสมนสิการนั้นทำอย่างไร
'โยนิ' แปลว่าเหตุ ต้นเค้า แหล่งเกิด ปัญญา อุบาย วิธี ทาง 'มนสิการ' แปลว่าการทำในใจ การคิด คำนึง ใส่ใจ พิจารณา เมื่อรวมแล้วจึงแปลว่า การทำในใจโดยแยบคาย
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) อธิบายวิธีคิดเช่นนี้ว่ามีหลักการ 2 แบบ คือ 1) มุ่งสกัดหรือกำจัดอวิชชาโดยตรง 2) มุ่งสกัดหรือบรรเทาตัณหา ซึ่งสามารถประมวลวิธีคิดเช่นนี้ได้เป็น 10 แบบ คือ
1. คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย:
คือคิดจากผลไปหาเหตุ เมื่อเกิดผลอย่างหนึ่งแล้วก็ลองค้นหาสาเหตุและปัจจัยที่ส่งผลสืบทอดกันมาว่าอะไรทำให้เกิดสิ่งนี้ เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นเหตุปัจจัยกัน วิธีคิดแบบนี้ทำให้ไม่หมกมุ่นอยู่กับผลตรงหน้า พอทราบเหตุที่มาแล้วก็จะเข้าใจว่าเพราะอะไรจึงเกิดผลเช่นนี้ ทำให้เห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น
2. คิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ:
พูดทางธรรมอาจเป็นการพิจารณาการประชุมกันของขันธ์ 5 เพื่อให้เห็นว่าตัวตนหรือสิ่งต่างๆ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ล้วนแล้วแต่ไร้แก่นสาร แต่ถ้าพูดทางโลกย์ก็อาจใกล้เคียงกับการคิดวิเคราะห์ คือแจกแจงองค์ประกอบต่างๆ ออกมาให้เห็นชัดๆ ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง แบ่งหมวดหมู่ได้อย่างไรบ้าง แบ่งส่วนแบ่งกลุ่มได้อย่างไรบ้าง การคิดแบบนี้ช่วยสะสางความมะรุมมะตุ้มของโจทย์ที่คิดอยู่ได้ดี
3. คิดแบบรู้เท่าทันความธรรมดา:
คือมองอย่างรู้เท่าทันความเป็นไปซึ่งต้องเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งต่างๆ ในทางธรรมคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หากปรับใช้กับชีวิตประจำวันอาจแบ่งเป็นสองขั้นคือ รู้เท่าทันและยอมรับความจริง เมื่อมีสิ่งไม่ถูกใจก็มองเห็นตามจริง ไม่ผลักไสปฏิเสธ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ทำให้ปลงตก ขั้นที่สองก็คือ แก้ไขไปตามเหตุปัจจัย เมื่อยอมรับความจริงแล้วและแก้ปัญหาไปตามจริงเช่นกัน เป็นอิสระจากอัตตา ความอยากที่ฝืนความจริงที่เกิดขึ้น การแก้ปัญหาด้วยหัวโล่งๆ กับการแก้ด้วยความทุกข์นั้นต่างกันมาก
4. คิดแบบแก้ปัญหา:
เป็นวิธีคิดที่ครอบคลุมวิธีแบบอื่นๆ ด้วย เช่น คิดจากผลไปหาเหตุ เมื่อรู้เหตุแล้วก็แก้ที่เหตุ คิดเพื่อแก้ปัญหาต้องคิดแบบตรงไปตรงมา ไม่ฟุ้งซ่านออกไปในเรื่องที่ไม่เกี่ยวทำให้เสียอารมณ์ หรือสนองความสะใจของตัวเอง สิ่งที่ควรทำคือ กำหนดวิธีการ แผนการ รายการสิ่งที่จะทำซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาหรือทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย
5. คิดตามหลักการและความมุ่งหมาย:
มั่นคงในเส้นทาง รู้ชัดว่าเรากำลังจะทำสิ่งนี้เพื่ออะไร จะได้ไม่ไขว้เขวออกนอกเส้นทางหรือหลงทาง เป็นสิ่งที่ต้องย้ำเตือนตัวเองบ่อยๆ มิฉะนั้นทำไปเรื่อยๆ ก็อาจผิดเพี้ยนไปจากความตั้งใจแรก
6. คิดแบบรู้ทันคุณโทษและทางออก:
มองสิ่งต่างๆ รอบด้าน เห็นทั้งด้านดีและร้าย ข้อดี-ข้อเสีย การแก้ปัญหาต้องเข้าใจทุกมุมก่อน ซึ่งการเห็นรอบด้านก็คือการมองตามจริง ไม่อคติ ระหว่างแก้ปัญหาก็จะมองเห็นว่าสิ่งที่เราทำนั้นดี-ไม่ดีอย่างไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร รู้ทันการการกระทำของตัวเองด้วย
7. คิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม:
เป็นวิธีคิดเพื่อขัดเกลากิเลสตัณหา เวลาจะซื้อ บริโภค หรือเลือกอะไรก็ตาม ถ้าถามตัวเองว่าสิ่งนั้นมีคุณค่าแท้ (จำเป็นต่อชีวิต สร้างความดีงามต่อจิตใจ ใช้แก้ปัญหา เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น) หรือคุณค่าเทียม (เพื่อพอกอัตตา เสริมความหยิ่งผยอง ให้ดูหรูหรา โดดเด่น) เป็นแบบไหนกันแน่ อีกแง่หนึ่งคุณค่าแท้คือสิ่งที่เป็นกุศล พอเหมาะพอดี มีสติ ส่วนคุณค่าเทียมก็คือเพิ่มความโลภ ริษยา ยกตนข่มท่าน แก่งแย่งจากคนอื่น
8. คิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม:
คิดเพื่อส่งเสริมความงอกงามในตัวเอง ประสบการณ์อย่างเดียวกัน จิตของมนุษย์ที่แตกต่างจะปรุงไปคนละแบบ การทำใจตั้งต้นเพื่อชักนำความคิดไปในแง่ดีและเป็นประโยชน์คือวิธีคิดแบบเร้าคุณธรรม ถ้าฝึกบ่อยๆ ก็จะมองประโยชน์จากสิ่งต่างๆ ที่ได้พบเจอได้ แม้ในเรื่องร้ายๆ ก็ตาม
9. คิดแบบอยู่กับปัจจุบัน:
กลับมารู้สึกตัว ตอนนี้มือของคุณกำลังจับโทรศัพท์มือถืออยู่หรือเปล่า ตาของคุณกำลังจ้องมองที่ตัวอักษร ร.เรือตัวนี้ ก้นของคุณกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หรือโซฟา เพื่อเรียกสติกลับมา ไม่หลุดลอยไปกับอดีตหรืออนาคต ต้องทำสิ่งนี้เพื่อไปหลุดลอยไปกับความคิดฟุ้งจนเกินไป
10. คิดแบบวิภัชชวาท:
คำนี้คือการรวมระบบวิธีคิดทั้งหมดเข้าด้วยกัน คือ เห็นตามจริง เห็นครบทุกด้าน จำแนกส่วนประกอบ จำแนกเหตุที่มา ฯลฯ ความสับสน 3 อย่างที่มักเกิดขึ้นกับคนเราก็คือ 1) เอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันมาเกี่ยวกัน 2) คิดว่าผลที่คล้ายกันเกิดมาจากเหตุปัจจัยแบบเดียวกัน ซึ่งอาจไม่จริงเลย 3) มองข้ามเหตุปัจจัยที่ไม่เหมือนกัน เช่น คนสองคนทำงานได้ดีเท่ากัน แต่มีคนหนึ่งได้รับเลือก อาจมีเหตุปัจจัยอื่น คนนั้นอาจพูดจาอ่อนน้อมกว่า เป็นต้น
...
หลักโยนิโสมนสิการทั้งสิบข้อนี้เป็นหลักในการคิดที่พี่เตาใช้เป็นประจำเพื่อมองปัญหาหรือโจทย์ต่างๆ ให้ชัดเจน นำไปสู่การแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อลองไล่เรียงไปทั้งสิบข้อจะพบว่าสิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่งของวิธีคิดเช่นนี้คือ 'สติ' หากไม่มีสติเราก็พร้อมจะตกร่องลงไปในความคิดที่มีอคติ ความคิดที่ไหลไปตามอารมณ์ ความคิดเข้าข้างตัวเอง ตีโจทย์มั่ว หาเหตุผลข้างๆ คูๆ เป็นไปได้มากมาย
วิธีคิดเช่นนี้เป็นวิธีคิดที่ตรวจสอบสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อนำมาใช้กับการอ่านจึงเป็นการตรวจสอบสิ่งที่ตัวเองอ่าน รวมถึงความคิดที่ผุดขึ้นมาระหว่างอ่านตลอดเวลาเช่นกัน
อ่านด้วยโยนิโสมนสิการก็อาจคิดไปด้วยว่า ทำไมผู้เขียนจึงเขียนสิ่งนี้ขึ้นมา มองเห็นด้านบวก-ด้านลบของสิ่งที่อ่านอยู่ เห็นเหตุปัจจัยของสิ่งที่เราอ่านว่ามีที่มาจากอะไร เตือนตัวเองว่าเราอ่านสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร รู้ทันคุณค่าที่ได้จากการอ่านว่าเป็นคุณค่าแท้หรือเทียม มองหาประโยชน์จากสิ่งที่อ่านได้อย่างไรบ้าง
หากอ่านเช่นนี้แล้ว การอ่านอาจไม่จำเป็นต้องเร็ว จำนวนเล่มที่มากอาจไม่สำคัญเท่าเราได้อะไรจากการอ่านหนึ่งเล่ม ซึ่งแน่นอนว่าถ้าอ่านได้มากและได้ประโยชน์มากด้วยก็ยิ่งวิเศษ แต่สำหรับตัวเองแล้ว ผมคิดว่าจะต้องฝึกฝนอีกสักระยะ พอประทับใจกับ 'ความเข้าใจ' จากวิธีการอ่านของพี่เตาทำให้อยากอ่านหนังสือให้ช้าลง ทำความเข้าใจกับเนื้อหาจนกระทั่งแปลงมาเป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้นในตัวเองให้มากกว่าที่เคย
ซึ่งจะว่าไป การอ่านเช่นนี้ไม่ได้หมายถึงแค่อ่านหนังสือ แต่ยังนำหลักคิดนี้มาใช้ 'อ่าน' สิ่งต่างๆ ในชีวิตและสังคมได้ด้วย
ผมอาจเคยหลงไปกับคุณค่าเทียมที่เพียรบอกตัวเองว่าเดือนนี้อ่านหนังสือได้สิบเล่ม ทว่า-คุณค่าแท้จากการอ่านน่าจะอยู่ที่ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการใส่ใจพิจารณาเนื้อหาในแต่ละเล่มอย่างแยบคายเสียมากกว่า
แต่ก่อนเวลามีคนชมว่า "เอ๋อ่านหนังสือเร็ว" ผมจะดีใจ ต่อไปคิดว่าตอบแบบพี่เตาอาจจะเท่กว่า "ผมอ่านหนังสือช้า"
ช้าๆ ได้ปัญญาเล่มงาม (ฮ่าฮ่า)
#นิ้วกลม
#Roundfinger
อุบาย 在 fanpage พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต Facebook 的最佳解答
"อุบาย ทำจิตให้สงบ"
" .. ถ้าหากว่าจิตใจมันวุ่นวายมาก ก็ตั้งสติขึ้นสูดลมเข้าให้มันมากจนไม่มีที่เก็บ แล้วก็ปล่อยให้มันหมดจนกว่าที่มันไม่มีในนี้แล้ว ก็หายใจเข้ามาอีก สูดให้มันเต็มที่แล้วก็ปล่อยไปสามครั้ง ตั้งจิตใหม่มีความสงบขึ้น
ถ้ามีอารมณ์วุ่นวายอีก ก็ทำอย่างนี้อีกทุกครั้ง จะเดินจงกรมก็ตาม จะนั่งสมาธิก็ตาม ถ้าเดินจงกรมมันวุ่นวายมากก็หยุดนิ่ง กำหนดให้ลงในที่สงบ ตั้งใหม่ให้รู้ จิตจึงจะเกาะ แล้วก็เดินต่อไป
นั่งสมาธิก็เหมือนกันอย่างนั้น เดินจงกรมก็เหมือนกันอย่างนั้น มันต่างกันแต่อิริยาบถนั่งกับอิริยาบถเดิน เท่านั้น .. "
หลวงปู่ชา สุภัทโท