[爆卦]อุตสาหกรรม ภาษาจีน是什麼?優點缺點精華區懶人包

雖然這篇อุตสาหกรรม ภาษาจีน鄉民發文沒有被收入到精華區:在อุตสาหกรรม ภาษาจีน這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章

在 อุตสาหกรรม產品中有194篇Facebook貼文,粉絲數超過178萬的網紅ลงทุนแมน,也在其Facebook貼文中提到, BREAKING: จีนเจอปัญหา ขาดแคลนไฟฟ้าหนัก กระทบการส่งมอบ สินค้าทั่วโลก จีนกำลังเจอกับวิกฤติด้านพลังงาน ที่ทำให้ประเทศขาดแคลนไฟฟ้า และส่งผลกระทบโดยตรงต่ออ...

 同時也有209部Youtube影片,追蹤數超過8萬的網紅ZoLKoRn,也在其Youtube影片中提到,เป็นหนึ่งในคำถามที่หลายคนต้องการคำตอบกันอยู่ว่า เมื่อไหร่สถานการณ์ชิบขาดแคลนจะดีขึ้น ราคาสินค้าในโลก it จะปรับตัวลดลง โดยเฉพาะการ์ดจอ และคำตอบที่จะได้...

อุตสาหกรรม 在 nottvorarit Instagram 的精選貼文

2020-10-17 04:08:07

ตะลุยอีสานม่วนซื่น กรู๊ววววววววววววววววว มาอีสานในครั้งนี้ผมได้มีโอกาสได้ไปสัมผัสวิถีชุมชนชาวผู้ไท ที่จังหวัดยโสธร บ้านห้องแซง ชุมชนเก่าแก่ที่อาศัยก...

  • อุตสาหกรรม 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文

    2021-09-29 19:32:46
    有 5,692 人按讚

    BREAKING: จีนเจอปัญหา ขาดแคลนไฟฟ้าหนัก กระทบการส่งมอบ สินค้าทั่วโลก
    จีนกำลังเจอกับวิกฤติด้านพลังงาน ที่ทำให้ประเทศขาดแคลนไฟฟ้า และส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมการผลิต และระบบซัปพลายเชนทั้งระบบ เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก

    ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีต้นตอมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ๆ คือ

    1) ทางการจีนต้องการลดมลพิษภายในประเทศ จึงได้ออกคำสั่งให้ 20 มณฑลของจีน จะต้องถูกตัดไฟบางส่วน เพื่อลดการใช้พลังงาน ซึ่งเป็นต้นเหตุของการสร้างมลพิษ
    พร้อมกับขอให้ประชาชนช่วยกันประหยัดไฟ และลดการใช้ไฟฟ้า

    ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว ที่ถูกสั่งให้ตัดไฟฟ้าบางส่วน ครอบคลุม GDP มากกว่า 66% ของประเทศ
    และมาตรการนี้ ยังมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น โรงงานผลิตสิ่งทอ, โรงงานอะลูมิเนียม

    2) ราคาถ่านหินที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานไฟฟ้าสูงขึ้น โดยส่วนหนึ่งก็เพราะปัญหาที่จีนกับออสเตรเลียมีข้อพิพาทระหว่างกัน ซึ่งเดิมออสเตรเลียเคยส่งออกถ่านหินให้จีนเป็นจำนวนมาก แต่ในตอนนี้จีนต้องพยายามจัดหาถ่านหินจากแหล่งอื่นแทน

    ในขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลด้านราคาไฟฟ้าของจีน ก็มีการควบคุมค่าไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนและธุรกิจ ให้อยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้โรงงานไฟฟ้าขึ้นราคาได้ไม่มาก

    จนทำให้โรงงานไฟฟ้าประสบปัญหาขาดทุนในทุก ๆ หน่วยไฟฟ้าที่ผลิตออกมาได้

    พอเรื่องเป็นแบบนี้จึงทำให้โรงงานไฟฟ้าเลือกที่จะชะลอการผลิตไฟฟ้า ซึ่งสวนทางกับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกที่ต้องการสินค้าจากจีนในช่วงนี้

    และนั่นก็เป็นที่มาของการขาดแคลนไฟฟ้าในประเทศจีนตอนนี้

    ซึ่งถ้าถามว่า พลังงานไฟฟ้าจากการเผาถ่านหิน สำคัญกับจีนมากแค่ไหน ?

    ก็ตอบได้เลยว่า คิดเป็นการผลิตพลังงาน 2 ใน 3 ของพลังงานที่จีนใช้ทั้งประเทศ..

    ดังนั้น เรื่องนี้จึงกลายเป็นวิกฤติครั้งใหญ่ของจีน ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

    เพราะมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเสื้อผ้า, สิ่งทอ และของเล่น จะได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากในช่วงปลายปีนี้ เป็นฤดูแห่งการช็อปปิง

    ซึ่งตามปกติแล้ว ตอนนี้ก็ควรมีการเร่งการผลิต เพื่อให้ผลิตสินค้าได้ทันเวลา และเพียงพอต่อความต้องการ

    นอกจากนี้ ผลกระทบของวิกฤติขาดแคลนไฟฟ้านี้ ยังลามไปถึงโรงงานที่ผลิตสินค้าให้กับบริษัทระดับโลก อย่าง Apple และ Tesla ด้วย

    โดยเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ได้มีข่าวออกมาว่า ลูกค้าที่สั่งจอง iPhone 13 กับทาง Apple อาจต้องรอนานกว่า 1 เดือน
    เนื่องจากติดปัญหาในระบบซัปพลายเชน ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากโรงงานในจีน ที่ลดกำลังการผลิตลง ตามมาตรการของทางการจีน ที่ต้องการลดมลพิษ

    ทั้งนี้ ด้านผู้ผลิตในจีน ได้ออกมาเตือนว่ามาตรการที่เข้มงวดดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

    เพราะพื้นที่แค่ 3 มณฑล ซึ่งได้รับผลกระทบต่อมาตรการดังกล่าว เช่น เจียงซู, เจ้อเจียง และกวางตุ้ง รวมกัน
    ก็คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของ GDP ทั้งประเทศแล้ว

    นอกจากนี้ การลดกำลังการผลิตของโรงงานในจีน จะทำให้ร้านค้าหลายแห่งทั่วโลก มีปัญหาในการจัดการสินค้าในสต็อก ทำให้ของขาดตลาด และอาจทำให้สินค้าแพงขึ้น จนเกิดเงินเฟ้อได้

    ซึ่ง ณ ตอนนี้ ตลาดโลกก็จะเริ่มรู้สึกถึงการขาดแคลนสินค้าต่าง ๆ ตั้งแต่สิ่งทอ, ของเล่น, เสื้อผ้า ไปจนถึงชิ้นส่วนเครื่องจักร

    เรียกได้ว่า ส่งผลกระทบต่อซัปพลายเชนทั้งระบบ ในหลาย ๆ อุตสาหกรรม

    แน่นอนว่าพอเรื่องเป็นแบบนี้ หลายสถาบันการเงิน จึงได้ออกมาปรับลดการคาดการณ์ GDP ของจีน ในปีนี้
    เช่น ทางด้าน Nomura สถาบันการเงินของญี่ปุ่น ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ เป็น 3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 4.4%

    ที่สำคัญคือ เรื่องนี้อาจส่งผลกระทบและลามมาถึงประเทศไทยด้วย
    เพราะหากไปดูในปี 2020 ที่ผ่านมา มูลค่าสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีน สูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท
    โดยสินค้าที่นำเข้ามากที่สุด คือ เครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรต่าง ๆ
    นอกจากนี้ ไทยยังมีสินค้าแฟชั่น ที่มีการนำเข้าจากจีนในปริมาณที่สูงมากเช่นกัน

    ดังนั้น ถ้าโรงงานในจีนลดกำลังการผลิตลง จนสินค้าในตลาดมีน้อยลง หรือขาดตลาด
    และราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ก็จะกระทบต่อการนำเข้าของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    พอเห็นแบบนี้ ก็ยิ่งต้องลุ้นกันต่อไป ว่ารัฐบาลจีนจะแก้ปัญหานี้อย่างไรบ้าง
    และประเทศไทย จะได้รับผลกระทบแค่ไหนจากวิกฤติไฟฟ้าของจีนในครั้งนี้..

    References
    -https://www.bloomberg.com/news/newsletters/2021-09-28/supply-chain-latest-china-s-power-curbs-to-hit-global-economy
    -https://www.reuters.com/technology/many-apple-tesla-suppliers-halt-production-china-amid-power-pinch-2021-09-27/
    -https://www.straitstimes.com/business/economy/chinas-electricity-shock-is-latest-supply-chain-threat-to-world
    -https://tradingeconomics.com/thailand/imports/china

  • อุตสาหกรรม 在 The Wild Chronicles - ประวัติศาสตร์ ข่าวต่างประเทศ ท่องเที่ยวที่แปลก Facebook 的最佳解答

    2021-09-22 23:00:07
    有 928 人按讚

    *** เส้นเก้าขีด และข้อพิพาทหมู่เกาะสแปรตลี ***

    ท่านผู้อ่านดูข่าวต่างประเทศทุกวันนี้ คงจะเห็นได้ว่า สหรัฐฯ และ จีน กำลังแข่งขันกันอย่างหนักในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการค้า, อุตสาหกรรม, เทคโนโลยี รวมไปถึงการแผ่ขยายอำนาจ โดยมีสมรภูมิหนึ่งที่สำคัญ ได้แก่ “สมรภูมิทะเลจีนใต้”

    สมรภูมิทะเลจีนใต้นี้ทับซ้อนอยู่กับหลายประเทศ เช่นเวียดนาม, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, ลากยาวไปถึงไทย (อ่าวไทยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลจีนใต้)

    ทำไมทะเลจีนใต้ถึงเป็นจุดสำคัญที่หลายประเทศต้องการอยากได้มาครอบครอง? “เส้นเก้าขีด” ที่ถูกใช้มาเป็นประเด็นสำคัญในศึกนี้คืออะไรกันแน่? ทำไมสหรัฐฯ ถึงได้ยื่นมือเข้ามาแทรกแซงในบริเวณนี้? แล้วไทยมีส่วนกับมันอย่างไรไหม? เราจะมาค้นคำตอบนี้ไปด้วยกันนะครับ

    (อ่านบทความผ่านคำบรรยายภาพประกอบไปเรื่อยๆ)

  • อุตสาหกรรม 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文

    2021-09-13 18:00:52
    有 4,463 人按讚

    สรุปประเด็นจากกองทุนบัวหลวง
    เปิดสูตรเฟ้นหา หุ้นอนาคตในอเมริกาเข้าพอร์ตระยะยาว
    BBLAM x ลงทุนแมน

    อังคารที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา ลงทุนแมนได้ชวนผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy กองทุนบัวหลวง

    มาพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นการเฟ้นหาหุ้นอนาคตในอเมริกาเข้าพอร์ตระยะยาว
    โดยเริ่มตั้งแต่อัปเดตสถานการณ์ล่าสุดในสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มเปิดเผยตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ไปจนถึงผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ในไตรมาสที่ 2

    ตัวเลขเหล่านี้กำลังส่งสัญญาณอะไร ?
    เราจะมีวิธีการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ?
    ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง..

    มาเริ่มต้นกันที่ สรุปภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกา เกิดอะไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา ?

    ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกา มีการทำ QE หรือ การซื้อสินทรัพย์ เช่น พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ เพื่อให้ระบบมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นสามารถดำเนินต่อไปได้

    โดยประเด็นหลักที่ตลาดยังคงจับตามองในปีนี้คือ การลดขนาดการเข้าซื้อสินทรัพย์ หรือที่เรียกว่า QE Tapering ซึ่งประธาน FED ออกมาพูดว่า การทำ Tapering จะเริ่มขึ้นในปีนี้ และเป็นการตัดสินใจแยกกันกับ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
    หมายความว่า หากเริ่มทำ Tapering ดอกเบี้ยก็ไม่จำเป็นจะต้องปรับขึ้นในทันที

    นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาจะยังใช้นโยบายการเงินที่ค่อนข้างผ่อนคลายต่อไป ทำให้ตลาดสหรัฐอเมริกา กลับมาเป็นขาขึ้น และเงินก็จะวิ่งเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง

    ซึ่งทางกองทุนบัวหลวงคาดว่า FED จะค่อย ๆ ลดการทำ QE ลงโดยจะใช้เวลาประมาณ 8 เดือน และ FED มีแนวโน้มจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในปี 2024 แต่ก็ยังเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ

    ดังนั้น นโยบายโดยรวม จึงยังเอื้ออำนวยให้การลงทุนในตลาดหุ้นยังให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ ไปอีกสักระยะ

    แต่ก็ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้ FED ชะลอการทำ QE Tapering ได้ เช่น ตัวเลขการจ้างงาน ที่ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ไปมาก

    อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง คือ เงินเฟ้อ ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 5.4%
    ถึงแม้ว่า ราคา สินค้าโภคภัณฑ์บางตัว ลดลงมาแล้ว เช่น ราคาไม้ ทองแดง แต่ราคาบ้านและค่าเช่าบ้านในสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ลดลงมา ก็อาจทำให้เงินเฟ้อยังคงสูงได้

    แล้วโหมดการลงทุนช่วงนี้ต้องปรับ หรือจับสัญญาณต่ออย่างไรดี ?

    กองทุนบัวหลวงก็เชื่อว่าในระยะสั้น เงินจะยังไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง และเงินยังอยู่ในหุ้นสหรัฐอเมริกา

    โดยในเดือนที่ผ่านมา ผู้จัดการกองทุนหลายรายในสหรัฐอเมริกาเข้าลงทุนกลุ่ม Healthcare มากที่สุด
    จากความต้องการหาการลงทุนในเชิงคุณภาพ และหุ้นใหญ่ที่ปลอดภัย และที่ผ่านมากลุ่ม Healthcare ยังถือเป็นกลุ่มที่ Laggard หรือเติบโตได้ช้า เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น

    แต่ถ้าหากดูกลุ่มที่ผู้จัดการกองทุนมีการถือครองมากที่สุด ก็ยังคงเป็นกลุ่มเทคโนโลยี

    ถ้าเทียบระหว่างเทคโนโลยีที่เป็น Hypergrowth อย่างเช่น หุ้น Tesla, Roku, Shopify กับ ดัชนี Nasdaq ที่ เป็นหุ้นเทคโนโลยีใหญ่ ๆ เช่น Microsoft, Facebook, Amazon ก็จะเห็นว่าในภาพรวม เงินไหลออกจากกลุ่ม Hypergrowth มาเข้าฝั่ง Nasdaq

    ซึ่งปริมาณเงินส่วนที่ไหลเข้ามาในตลาด Nasdaq ยังอยู่ที่ประมาณค่าเฉลี่ย ซึ่งหมายความว่า ไม่น่าเกิดฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยี อย่างที่หลายคนกังวล

    โดย Nasdaq ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีเพิ่มมา 18% ประกอบกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ยังมีผลกำไรที่ยังเติบโตต่อเนื่อง

    กองทุนบัวหลวงมองว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ต่อไป แต่อาจต้องใช้วิธี Active Management หรือการบริหารพอร์ตเชิงรุก เพื่อหาบริษัทที่มูลค่ายังไม่สูงเกินไป

    นอกจากนั้น กองทุนบัวหลวงยังมองว่าในสามเดือนสุดท้ายของปีนี้ เงินจะยังอยู่ในฝั่งตลาดพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น เนื่องจากมีความสามารถในการบริหารจัดการโควิด 19 ได้ดี และมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เศรษฐกิจกลับคืนสู่ภาวะปกติได้เร็ว

    สำหรับรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐอเมริกา ในไตรมาสที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตได้ดีมาก
    ผลกำไรภาพรวมของตลาด ออกมาสูงกว่าตลาดคาดการณ์ไว้

    อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเสี่ยงและความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ จากห่วงโซ่การผลิตที่มีปัญหาและค่าจ้างที่สูงขึ้น ซึ่งกองทุนบัวหลวงมองว่า เป็นเพียงระยะสั้น และจะคลี่คลายในระยะปานกลางจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

    คำถามต่อมาคือ S&P 500 จะสามารถไปได้ต่ออีกหรือไม่ และแพงไปแล้วหรือยัง ?

    ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นมา ตามกำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นมาต่อเนื่อง และนักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการเป้าหมาย S&P 500 เป็น 4,600 (ตอนนี้อยู่ที่ราว ๆ 4,500) หมายความว่า ดัชนี S&P 500 จะยังคงไปต่อได้

    อีกทั้งสหรัฐอเมริกายังเป็นตลาดการเงินที่สภาพคล่องสูงที่สุดในโลก รวมไปถึงมีบริษัทที่มีคุณภาพดีมากที่สุดในโลก ทำให้ P/E ที่ 20 เท่า ก็ยังสามารถลงทุนได้

    แล้วควรลงทุนเมื่อไร ดอกเบี้ยขึ้น จับจังหวะอย่างไร ?

    ถ้าเราลองย้อนไปดูสถิติ 12 เดือนก่อนที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ย จะเห็นว่าตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกหลังจากที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นครั้งแรก

    โดยกองทุนบัวหลวง แนะนำหนึ่งเทคนิคที่น่าสนใจ คือให้เข้าสะสมแบบมีวินัย ลงทุนแบบสม่ำเสมอ หรือ DCA เนื่องจากการจับจังหวะตลาดสหรัฐอเมริกา หรือไม่ว่าตลาดไหน ๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

    ทีนี้หลายคนคงกังวลว่า เงินทุนเริ่มไหลออกจากกลุ่ม Hypergrowth แล้วเงินส่วนนี้ย้ายไปอยู่ที่ไหน ?

    จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น คือปัจจุบัน เงินทุนไหลออกจากหุ้นในกลุ่ม Hypergrowth แต่ปรากฏว่าดัชนี Nasdaq นั้นยังคงปรับตัวสูงขึ้น ที่เป็นแบบนี้เพราะเงินกำลังไหลไปยังบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ๆ นั่นเอง

    หลายคนอาจมองว่า บริษัทเหล่านี้น่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด 19 แต่กลับกลายเป็นว่า จากวิกฤตินี้ทำให้คนหันมาพึ่งเทคโนโลยีกันมากขึ้น

    โดยสังเกตได้จากรายได้ของบริษัทเทครายใหญ่ ที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องของแผนในอนาคตที่น่าจับตามอง ทำให้นักลงทุนยังคงให้ความสนใจ

    ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Facebook และ Microsoft

    Facebook เป็นบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, WhatsApp ที่มีรายได้หลักมาจากค่าโฆษณาออนไลน์

    โดยจุดเด่นของ Facebook คือ ความสามารถในการยิงโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ พร้อมทั้งยังมีโอกาสเติบโตไปกับอุตสาหกรรมสื่อออนไลน์อีกมาก เนื่องจากโควิด 19 ก็เป็นตัวเร่งที่ทำให้คนหันมาพึ่งเทคโนโลยีกันมากขึ้น

    สำหรับแผนในอนาคตของ Facebook นั้นยังคงเป็นเรื่องของแผนการปรับตัวให้บริษัทเป็น บริษัท “Metaverse” หรือโลกแห่งการผสมผสาน ระหว่างโลกจริงและโลกเสมือน อย่างเต็มตัว

    โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook มองว่า โลกของ Metaverse จะกลายเป็นอนาคตของโลกอินเทอร์เน็ต โดยล่าสุดก็ได้มีการเปิดตัว Horizon Workrooms ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปประชุมได้แบบเสมือนจริง ผ่านตัวละคร Avatar

    มาต่อกันที่บริษัทซอฟต์แวร์ที่เราคุ้นเคยกัน อย่าง “Microsoft” ซึ่งในปีที่ผ่านมายังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยมูลค่าบริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

    ทั้งนี้ก็เนื่องมาจาก ผลประกอบการในไตรมาสที่ผ่านมา ที่ยังคงเติบโต 17% จากบริการ Intelligence Cloud ที่เติบโตได้ดี

    แต่ที่น่าสนใจคือเรื่องของแผนในอนาคต อย่างการทำโลกเสมือน หรือที่ทาง Microsoft เรียกว่า Digital Twin ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการทำ Metaverse ของ Facebook แต่จะเป็นการก๊อบปี้ของจริงมาไว้บนโลกออนไลน์แทน เช่น จำลองสถานที่ จำลองตึก เพื่อนำมาใช้ทดสอบการบินของโดรนก่อนเอาออกไปใช้งานจริง

    ทั้งนี้ในส่วนของ Theme โลกเสมือนนั้น อาจมีความเสี่ยง เรื่องที่จะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย กว่าที่เราจะได้สัมผัสแบบเต็ม ๆ

    แต่นี่เป็นเหมือนการส่งสัญญาณว่าบริษัทเทคโนโลยีหลายรายกำลังตื่นตัวกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และมีการเตรียมพร้อม มองหาช่องทางการเติบโตใหม่ ๆ หรือที่เรียกว่า New S-Curve อยู่ตลอดเวลา

    มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่า แล้วกระแสเงินลงทุนที่ดูมีการเปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางเช่นนี้ จะมีผลกระทบกับกองทุน B-USALPHA และ B-FUTURE แค่ไหน ?

    สำหรับกองทุน B-USALPHA นั้น หลายคนอาจจะคิดว่ากองนี้มีแต่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างเดียว

    แต่ถ้ามาดูสัดส่วนของหุ้นในพอร์ตการลงทุนนั้นจะพบว่า กองทุนพยายามให้ความสมดุลระหว่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กับกลุ่มวัฏจักรในสหรัฐอเมริกา โดยกองทุนนี้มีแบ่งส่วนการลงทุนด้วยกันหลัก ๆ 3 อย่าง คือ

    1. กลุ่ม Digital Advertising เช่น Facebook, Pinterest, Snap
    2. กลุ่ม สถาบันการเงิน เช่น Morgan Stanley, PayPal, Square
    3. กลุ่ม Technology Enabled หรือก็คือ ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีสร้างนวัตกรรม เช่น Deere & Company, Freeport-McMoRan, Zillow Group

    ทั้งกลุ่ม Digital Advertising และ Technology Enabled นั้นยังมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับการเปิดเมือง

    ส่วนการลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงิน จะช่วยสร้างสมดุล และลดความเสี่ยงของพอร์ตในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่อาจปรับตัวสูงขึ้น ที่ทำให้กลุ่มของธุรกิจสถาบันการเงินนั้นได้รับประโยชน์ไปด้วย จากอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับสูงขึ้น

    ส่วนกองทุน B-FUTURE นั้น มีการกระจายลงทุนในธุรกิจ 3 กลุ่มคือ เทคโนโลยี Hypergrowth, อุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจ Theme เปิดเมือง

    โดยในส่วนของกลุ่ม Hypergrowth นั้น ทางผู้จัดการของกองทุน ก็ได้เน้นอย่างมาก กับการลงทุนในหุ้นที่ยังมี Valuation ไม่สูงจนเกินไป

    นอกจากนี้ ทางกองทุนยังเน้นการลงทุนใน Theme อนาคต ไม่ได้เจาะจงในประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยมีผู้จัดการกองทุนที่คอยปรับพอร์ตตามสถานการณ์การลงทุนต่าง ๆ

    ด้วยนโยบายการบริหารแบบ Active Management ทำให้ B-FUTURE สามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา

    เช่น หากมองว่าในระยะยาว หุ้นกลุ่มเอเชียหรือจีน ยังมีโอกาสเติบโตมาก ความกดดันของรัฐบาลจีนคลี่คลายลง แล้วยังมี Valuation ที่ไม่สูงเกินไป ทางกองทุนก็สามารถปรับน้ำหนักพอร์ตมาลงในหุ้นเอเชียหรือจีนเพิ่มขึ้นได้

    ทำให้เห็นว่า B-FUTURE นั้นเป็นกองทุนที่สามารถทยอยสะสมเข้าได้เรื่อย ๆ และเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลามาก แต่อยากลงทุนในหุ้นแห่งอนาคต

    สำหรับใครที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุน จากหุ้นในสหรัฐอเมริกา หรือหุ้นใน Theme อนาคต
    ทั้งกองทุน B-USALPHA และ B-FUTURE ก็ยังเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทน ได้โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล พร้อมคอยปรับพอร์ตการลงทุนให้ในระยะยาว ซึ่งการใช้กลยุทธ์ DCA ทยอยลงทุนทุกเดือนก็เป็นวิธีการที่น่าสนใจ

    คำเตือน
    การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

  • อุตสาหกรรม 在 ZoLKoRn Youtube 的最佳解答

    2021-06-03 22:36:54

    เป็นหนึ่งในคำถามที่หลายคนต้องการคำตอบกันอยู่ว่า เมื่อไหร่สถานการณ์ชิบขาดแคลนจะดีขึ้น ราคาสินค้าในโลก it จะปรับตัวลดลง โดยเฉพาะการ์ดจอ และคำตอบที่จะได้ยินดูเหมือนว่าจะเป็นข่าวร้าย จากรายงานล่าสุดของรอยเตอร์ ตามที่วอชิงตัวโพสท์ ได้ไปสอบถามทาง Ceo ของ Intel ในประเด็นนี้ เกี่ยวกับตลาด semiconductor ผลคือ มันจะยังขาดตลาดต่อไปอีกเป็นปี ๆ และกำลังจะลามไปสู่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลกทรอนิกส์แล้ว #ZoLKoRn #Tsmc #intel

    อุตสาหกรรม semiconductor : https://youtu.be/OnyTwOFaLj0

    ติดตามผลงานของเรา...
    ติดตามผ่าน Facebook ได้ที่ : https://www.facebook.com/ZoLKoRn
    พูดคุยเรื่องระบบเสียง : https://www.youtube.com/channel/UCwY27ufiIhMXn_PO9hgCIjA
    ติดตามผ่าน Twitch : https://www.twitch.tv/ZoLKoRn
    ติดตามผ่าน Twitter ได้ที่ : https://twitter.com/ZoLKoRn
    ติดตามเว็บไซต์ : http://www.zolkorn.com
    ติดต่อเรา : http://www.zolkorn.com/contact/

  • อุตสาหกรรม 在 ลงทุนแมน Youtube 的最佳解答

    2021-05-24 21:00:29

    ช่วงที่ผ่านมา อุตสาหกรรมชิปของโลกกำลังขาดแคลน และหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ของโลก ที่ทุกคนกำลังจับตากัน คือ ไต้หวัน
    ไต้หวัน ทำอย่างไร ถึงสามารถก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าแห่งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ได้ ติดตามกันได้ในลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

    ลงทุนแมน ลงทุนในความรู้
    การลงทุนในความรู้ไม่มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรกด”Subscribe”ลงทุนแมนไว้ในทุกช่องทาง

    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - https://www.longtunman.com
    Blockdit - https://www.blockdit.com/longtunman
    Facebook -​ https://www.facebook.com/longtunman
    Twitter - https://twitter.com/longtunman
    Instagram - https://www.instagram.com/longtunman/...
    Line - https://page.line.me/ayw2996y
    YouTube -https://www.youtube.com/longtunman
    Spotify - https://open.spotify.com/show/4jz0qVn...
    Soundcloud - http://soundcloud.com/longtunman​
    Apple Podcasts - https://podcasts.apple.com/th/podcast
    Clubhouse - @longtunman

  • อุตสาหกรรม 在 ZoLKoRn Youtube 的最讚貼文

    2021-05-16 05:02:51

    นับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา จนถึงเวลานี้ก็ร่วม ๆ ครึ่งปีที่หลายคนประสบปัญหาสินค้า IT ขาดตลาดจนทำให้มีราคาพุ่งสูงขึ้นมากจนน่าตกใจ ซึ่งหากเป็นฝั่งคอเกมก็คงเห็นชัดจากการ์ดจอที่ราคาพุ่งสูงขึ้น ซึ่งเรื่องนี้มีต้นสายปลายเหตุมาจากหลายอย่าง ไม่ใช่เพราะจากอุตสาหกรรม Semiconductor เพียงอย่างเดียว หรือจากการบูมของการจุดเหรียญเพียงอย่างเดียวเช่นกัน เพราะหากหันไปมองผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในโลก IT, Electronic ทุกอย่างล้วนแล้วมีการปรับราคาสูงขึ้นทั้งสิ้น

    จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มีจำนวนมากยังมองภาพไม่ออกว่าทำไม เพราะอะไร และเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับอุตสาหกรรม Semiconductor ? โดยเแพาะอย่างยิ่งกับบริษัทที่ชื่อว่า TSMC จากบริษัทที่น้อยคนจะรู้จัก แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าเริ่มจะเป็นที่รู้จักแทบจะทุกสาขาอาชีพ วันนี้ลองมาทำความเข้าใจ มาทำความรู้จักโลกของอุตสาหกรรม Semiconductor กันว่า มันส่งผลต่อโลกใบนี้ได้อย่างไร เหตุใดจึงทำให้ราคาสินค้า IT พุ่งสูงขึ้นได้ และใครคือผู้กุมชะตาในปัจจุบันและอนาคตของตลาดดังกล่าวนี้ ? #ZoLKoRn #Semiconductor #TSMC

    Time Stamps
    0:00 : เพลงเริ่มรายการ
    3:07 : เริ่มรายการ
    7:12 : Start : ที่มาของเนื้อหาในเทปนี้
    9:07 : Knowledge : แผ่นเวเฟอร์ คืออะไร สำคัญอย่างไร ?
    11:51 : Q/A : โรงงานผลิตเยอะแยะ ทำไมของยังแพงอีกล่ะ ?
    13:19 : Knowledge : สาเหตุและเหตุผล ทำไมของถึงแพง ?
    18:35 : Knowledge : ความต่างวิธีการผลิตชิบของ AMD กับ Intel และ Samsung
    20:50 : Knowledge : Trade War ระหว่าง US กับ จีน ใครได้รับผลกระทบ ?
    22:46 : Whiteboard : ความเป็นมาของราคาของการ์ดจอแพง(มาก)
    29:17 : Whiteboard : ทำไม อุตสาหกรรมเซมิตอนดักเตอร์ ถึงลงทุนยาก ?
    40:11 : Knowledge : ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ อุตสาหกรรมเซมิตอนดักเตอร์ มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร ?
    51:47 : Q/A : Intel กำลังจะตายเพราะ CPU จริงหรือ ?
    52:47 : Knowledge : ใครคือเจ้าพ่อแห่งวงการอุตสาหกรรมเซมิตอนดักเตอร์ ?
    1:04:29 : Whiteboard : Cartel ของอุตสาหกรรมเซมิตอนดักเตอร์ คืออะไร ?
    1:10:41 : Knowledge : ASML คืออะไร ? สำคัญอย่างไร ?
    1:31:17 : Q/A : ชิบมันเร่งผลิตให้เร็วขึ้นได้มั้ย ?
    1:34:39 : Whiteboard : เรื่องของชิบ IC
    1:36:44 : Knowledge : ส่องดูอาณาจักรโรงงาน TSMC
    1:54:11 : Talk : พูดคุยถาม-ตอบ เรื่องชิบ Semi Conductor
    2:35:40 : Recap : สรุปเนื้อหาโดยรวมในเทปนี้
    2:38:59 : End : ช่วงท้ายรายการ

    ติดตามผลงานของเรา...
    ติดตามผ่าน Facebook ได้ที่ : https://www.facebook.com/ZoLKoRn
    ติดตามผ่าน Twitch : https://www.twitch.tv/ZoLKoRn
    ติดตามผ่าน Twitter ได้ที่ : https://twitter.com/ZoLKoRn
    ติดตามเว็บไซต์ : http://www.zolkorn.com
    ติดต่อเรา : http://www.zolkorn.com/contact/

    Credit :
    ___________________________
    Countdown music :
    Titre : Claw Through
    Artist : Austin Woodward
    Powered by: https://www.facebook.com/echopraxiaband/

    End music :
    Titre : Nothing I Won't Do (feat. Kianna)
    Artist : Giulio Cercato
    Powered by: https://www.facebook.com/GiulioCercatoMusic/

你可能也想看看

搜尋相關網站