雖然這篇อวัจนภาษา鄉民發文沒有被收入到精華區:在อวัจนภาษา這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章
在 อวัจนภาษา產品中有7篇Facebook貼文,粉絲數超過35萬的網紅สมองไหล,也在其Facebook貼文中提到, ทักษะอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญมาก เเต่เเทบไม่มีสอนกันในโรงเรียน ก็คือ “ทักษะการเจรจาต่อรอง” เพราะคนเรามีการต่อรองกันตลอดทั้งวัน ตั้งแต่การต่อรองกับครอ...
「อวัจนภาษา」的推薦目錄
อวัจนภาษา 在 ภาษาไทยครูลิลลี่ Instagram 的精選貼文
2020-05-14 07:41:50
คลิป ๑๐๙ ภาษามือจัดว่าเป็น"อวัจนภาษา" หมายถึงภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำ การบ้านวันนี้คือให้ทุกท่านพยายามแปลภาษามือ#ครูลิลลี่ #krulilly #kru_lilly #ภาษาไทย...
อวัจนภาษา 在 ภาษาไทยครูลิลลี่ Instagram 的精選貼文
2020-05-14 08:41:21
"โอเคที่สุด เมืองไทยของเรา ไม่มีที่ไหนสุขเท่าอยู่บ้านเรา" การใช้มือ ท่าทางร่างกายสื่อสารก็เรียกเป็น "อวัจนภาษา" แต่ถ้าใช้ถ้อยคำสื่ิอสารเราเรียกว่า "วั...
อวัจนภาษา 在 ภาษาไทยครูลิลลี่ Instagram 的最佳貼文
2020-05-14 08:42:33
"ครูลิลรักทุกคน" ภาษามือคือ อวัจนภาษา (ภาษาที่ไม่ได้ใช้ถ้อยคำ) อรุณสวัสดิ์เช้าวันพุธนะคะ ขออวยพรให้แฟนคลับผู้หญิงเจอ "พุธไม่เป็นตั๋ว"...
อวัจนภาษา 在 สมองไหล Facebook 的最佳解答
ทักษะอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญมาก เเต่เเทบไม่มีสอนกันในโรงเรียน ก็คือ “ทักษะการเจรจาต่อรอง” เพราะคนเรามีการต่อรองกันตลอดทั้งวัน ตั้งแต่การต่อรองกับครอบครัวว่าใครจะเป็นคนล้างจาน ต่อรองกับเพื่อนว่าใครจะเป็นคนทำงานดึก ต่อรองกับอาจารย์ให้เลื่อนเวลากำหนดส่งงาน ต่อรองกับพนักงานขายให้ลดราคาสินค้า ต่อรองเงินเดือนกับนายจ้าง จนทระทั่งต่อรองทางธุรกิจ แน่นอนว่าเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่มีทักษะในด้านนี้ มันจึงทำให้คนเหล่านั้นมักตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบคนที่ต่อรองเก่งเสมอ
.
อย่างไรก็ตาม การเจรจาต่อรองนั้นไม่มีหลักการตายตัวที่สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ เพราะแต่ละกลยุทธ์มันขึ้นอยู่กับบริบทและสไตล์ของแต่ละคน แต่กลยุทธ์หนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นอาวุธที่ทรงพลังและสามารถใช้ได้เกือบทุกการเจรจาต่อรอง นั่นก็คือ “ความเงียบ”
.
ความเงียบ ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่ควรจะนำเข้าสู่โต๊ะเจรจาต่อรอง ถึงขนาดที่ The Washington Post เคยมีบทความหนึ่งที่ชื่อว่า “Powerful tools a negotiator has is silence หรือ เครื่องมืออันทรงพลังที่คู่เจรจาควรมี ก็คือ ความเงียบ” ออกมาเลยทีเดียว
.
แต่การเงียบในที่นี้ ก็ไม่ใช่ไปนั่งมองตากันแล้วเงียบอย่างเดียว แต่เราต้องใช้ความเงียบให้เป็นด้วย ซึ่งในพอดแคสต์ของช่อง Taksa Academy ก็ได้สรุปข้อดีของการใช้ความเงียบในการเจรจาต่อรองเอาไว้ 3 ข้อ คือ
.
1) แสดงถึงความมั่นใจ คือ ความเงียบนั้นมันเป็นการสื่อให้อีกฝ่ายเห็นถึงความมั่นใจของเรา แต่การเงียบในที่นี้ อวัจนภาษา สีหน้า แววตา ท่าทางของเราต้องสื่อถึงความมั่นใจด้วย ไม่ใช่เงียบแต่หลบสายตา ทำท่าทางลุกลี้ลุกลน แบบนี้เขาจะรู้ทันทีว่าเราไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
.
2) แสดงให้เห็นว่ากำลังฟัง และ เหมือนเป็นการโยนความกดดันไปให้เขา เพราะการที่เรากำลังเงียบเพื่อฟัง นั่นหมายความว่ามันถึงเวลาที่เขาต้องพูดอะไรบางอย่างออกมา
.
3) เป็นการคาดหวังให้เกิดการตอบรับ และ เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อบีบให้อีกฝ่ายรีบตัดสินใจ
.
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งจาก NewDawn Partners ได้บอกเอาไว้ว่า มีคนจำนวนมากคิดเป็น 75-80 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่ใช้ความเงียบให้เป็นประโยชน์เวลาต้องเข้าสู่การเจรจาต่อรอง ส่วนคนอีกส่วนหนึ่งคิดเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ มีการใช้ความเงียบในการเจรจาต่อรอง แต่ไม่สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ และมีคนเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่สามารถใช้ความเงียบในการเจรจาต่อรองได้อย่างมีประสิทธิผล
.
แต่การใช้ความเงียบในการเจรจานั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะมานั่งเงียบกันอย่างเดียว เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นมันคงจะไม่ถูกกาลเทศะสักเท่าไหร่ NewDawn Partners จึงวิเคราะห์ออกมาว่าเราควรจะใช้ความเงียบอย่างไรถึงจะถูกจังหวะในการเจรจาต่อรอง โดยแบ่งออกเป็น 3 เหตุการณ์ ดังนี้
.
เหตุการณ์ที่ 1 หลังจากที่ยื่นข้อเสนออะไรบางอย่างให้ฝ่ายตรงข้าม
.
เช่น คุณกำลังยื่นข้อเสนอให้นายจ้างเพื่อขอขึ้นเงินเดือน แล้วเห็นเจ้านายกำลังเงียบและนั่งครุ่นคิดอยู่ ก็ควรเงียบเสียก่อน
.
แต่คนส่วนใหญ่เวลายื่นข้อเสนอไปแล้วเห็นอีกฝ่ายเงียบ ก็มักจะเกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง ทำให้เริ่มออกอาการลุกลี้ลุกลน พอทำตัวไม่ถูกก็เลยต้องพยายามพูดให้เหตุผลมากมายเพื่อทำลายเดดแอร์ กลายเป็นว่าคนที่ยื่นข้อเสนอนั้นแหละพูดมากไปเอง
.
จนสุดท้ายพอไม่มั่นใจในตัวเอง ก็เลยเปลี่ยนใจปฏิเสธข้อเสนอที่ยื่นไปเสียเอง แล้วเป็นคนเดินออกจากห้องไปเองทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ
.
ฉะนั้น ถ้าคุณเพิ่งยื่นข้อเสนออะไรบางอย่างไป ให้ลองเงียบดูก่อน เพื่อให้เวลาอีกฝ่ายได้คิดนะครับ
.
เหตุการณ์ที่ 2 ใช้ความเงียบหลังจากถามคำถาม
.
การเงียบหลังจากที่เราเพิ่งโยนคำถามบางอย่างให้อีกฝ่าย ก็เพื่อให้เวลาเขาได้คิด ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำให้เขาอึดอัดและต้องรีบตัดสินใจให้คำตอบ
.
แต่หลายครั้งเวลาถามคำถามไป คนที่อึดอัดก็มักจะเป็นคนถามเอง เพราะเห็นอีกฝ่ายเงียบก็เลยกลัวไปเอง ทั้งที่บางทีอีกฝ่ายอาจจะแค่ยังนึกไม่ออกก็ได้ จนสุดท้ายคนที่ถามคำถามนั้นแหละกลับเป็นฝ่ายพูดก่อนแล้วก็เป็นฝ่ายยอมไปเอง ทั้งที่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ได้ตอบอะไรเลย
.
ฉะนั้น เวลาถามคำถามอะไรไป ลองใช้ความเงียบดูก่อน เพราะมันอาจจะทำให้คุณได้คำตอบที่ดีกว่าที่คาดหวังเอาไว้ก็ได้
.
เหตุการณ์ที่ 3 เมื่อถูกท้าทาย
.
ส่วนใหญ่เหตุการณ์นี้มักจะเกิดขึ้นบ่อยที่ประชุมเวลามีการประชุมระดมสมอง แล้วต่างฝ่ายต่างเสนอไอเดียของตัวเอง ตอนแรกก็เหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอประชุมกันไปสักพักจนมีการถกเถียงกันมากขึ้น ก็จะเริ่มมีบางคนที่ใช้อารมณ์เกิดขึ้น จนบางครั้งเรามักจะได้ยินคำท้าทายประมาณว่า “ถ้าเก่งนักก็ไปทำเองสิวะ”
.
ถ้าคุณถูกคำท้าทายในลักษณะนี้ หรือ คำท้าทายอื่นๆ ให้ลองใช้ความเงียบดูครับ เพราะความเงียบจะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นวุฒิภาวะของเขาเอง ซึ่งมันอาจทำให้เขาเปลี่ยนท่าทีของตัวเอง แล้วจำเป็นต้องกลับไปทบทวนคำท้าทายของเขา ซึ่งสุดท้ายเขาเองอาจจะเป็นคนที่ถอนคำท้าทายของตัวเองทั้งที่เรายังไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เพราะสุดท้ายมันก็จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ต้องยอมไปที่สุด
.
เมื่อรู้แล้วว่าสถานการณ์ไหนที่เราควรจะเงียบ คราวนี้ลองมาดูกันว่า แล้วเราควรจะเงียบนานแค่ไหน เพราะการใช้ความเงียบก็ต้องมีจังหวะของมัน ไม่ใช่ต่างคนต่างเงียบแล้วนั่งมองหน้ากันเป็นชั่วโมง โดยระยะเวลาของการเงียบจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้
.
ระยะที่ 1 ตั้งแต่ 3-5 วินาที
.
การเงียบในช่วงตั้งแต่ 3-5 วินาที คือ ช่วงเวลาที่ความเงียบเริ่มใช้ได้ผล เพราะมันเหมือนเรากำลังร่ายเวทมนต์ใส่ฝ่ายตรงข้ามอยู่ จนทำให้ฝ่ายตรงข้ามเริ่มเกิดความอึดอัดในการเจรจาครั้งนั้น และเป็นการส่งสัญญาณให้คู่ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ว่าเขาจะต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างแล้ว
.
แต่ในทางกลับกับคนที่ถูกฝึกให้คุ้นเคยกับความเงียบแล้ว อาจจะไม่รู้สึกอึดอัดกับความเงียบในช่วงเวลานี้ และยังสามารถควมคุมสติและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ความเงียบกำลังดำเนินได้อยู่
.
ระยะที่ 2 ตั้งแต่ 5-12 วินาที
.
การเงียบในช่วงตั้งแต่ 5-12 วินาที ถือเป็นช่วงที่ดีที่สุด เพราะเวทมนต์ที่เรากำลังร่ายนั้น กดดันให้เขาอึดอัดจนทำให้เขาต้องตั้งใจที่จะตอบคำถามเรามากขึ้น ซึ่งมันส่งผลให้เราได้รับคำตอบที่มีประสิทธิผลตามที่เราคาดหวังมากขึ้น
.
ระยะที่ 3 ตั้งแต่ 12 วินาที เป็นต้นไป
.
การเงียบในช่วงตั้งแต่ 12 วินาที เป็นต้นไป นั่นหมายความว่าประสิทธิผลของความเงียบนั้นจะเริ่มลดลงแล้ว แล้วก็จะลดลงตามเวลาที่นานขึ้น ซึ่งความอึดอัดในช่วงเวลานี้จะเป็นความอึดอัดที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ แล้วถ้าเกิดมันเงียบได้ไปจนถึงจุดที่ 45-60 วินาที มันก็ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องทำลายความเงียบนั้นลง
.
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นฝ่ายยอมในการเจรจาครั้งนั้นเสมอไป อาจจะเป็นไปได้ที่คุณจะตอบกลับไปว่า “เอาเป็นว่าเรามาคุยเรื่องนี้ตอนจบก็แล้วกัน”
.
จะเห็นว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายยอม แต่เราแค่ยื้อเวลาออกไปก่อน ซึ่งตรงนี้มันจะเป็นเรื่องของการใช้ศิลปะและประสบการณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณต้องฝึกฝน
.
จะว่าไปแล้วการเจรจาต่อรองมันก็ไม่ได้วัดกันที่ว่าใครพูดมากกว่ากัน เอาเข้าจริงๆ คนที่พูดก่อนนั้นแหละมักจะมีแนวโน้มที่จะเป็นฝ่ายแพ้และต้องยอมมากกว่า เพราะยิ่งพูดมากเท่าไหร่ ก็เหมือนจะยิ่งเผยให้เห็นจุดอ่อนของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายการเจรจาต่อรองมันจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้คุมเกมเสมอ และการใช้ความเงียบให้เป็นที่แหละจะทำให้เราสามารถเป็นฝ่ายคุมเกมได้ อย่างคำกล่าวที่ว่า “เงียบให้ถูกจังหวะ คนชนะไม่พูดมาก”
.
อย่างไรก็ตาม การเจรจาต่อรองนั้นไม่มีหลักการไหนตายตัวที่สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ต้องฝึกฝนและใช้ประสบการณ์มากพอสมควร ถึงกระนั้นมันก็เป็นทักษะที่ทุกคนฝึกฝนกันได้ และบอกเลยว่ามันเป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมี เพราะถ้าคุณเจรจาไม่เป็นสุดท้ายคุณจะกลายเป็นคนที่เสียเปรียบตลอดไป
.
.
Source : หนังสือ งานประจำสอนทำธุรกิจ
.
ตอนนี้หนังสือเล่มนี้ขาดตลาด ทางเพจสมองไหลไม่มีเหลือแล้ว
.
แต่ทุกคนยังพอสั่งซื้อได้ทางเพจสำนักพิมพ์ เพียงแค่คลิกลิงก์ข้างล่างนี้
.
https://m.me/139971470015828?ref=sale_8wje9NxA
อวัจนภาษา 在 ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ Facebook 的最佳貼文
เทิร์นคนธรรมดาให้โลกจำ!!!
อัพ ios เป็นนักพูดในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด
.
โค้งสุดท้ายก่อนปิดรับสมัคร
MC Professional รุ่นที่ 7
สอบถามด่วน รับจำนวนจำกัด!!!
.
ไม่ว่าคุณจะเป็น YouTuber, Vlogger, นักพูด, นักขาย หรือพิธีกร
น่าเสียดายที่ของดีในตัวคุณ ไม่ถูกรับรู้
เพียงเพราะคุณไม่รู้วิธี "พูดปล่อยของแบบมือโปร"
.
มาเพิ่มสกิลการเป็นมือโปร
ในคลาส MC Professional
คลาสที่ไม่ได้สอนให้คุณเป็นพิธีกร
แต่ให้คุณมีไตล์ที่โดดเด่น ไม่เหมือนใคร
โดยครูซอ NATURAL BORN SPEAKERS ตัวจริง !!⠀
.
สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้จากคอร์สนี้
✅ เทคนิคการใช้ร่างกาย อวัจนภาษา กับการสื่อสาร
✅ เทคนิคการพูด การใช้เสียง ในงานพิธีกร
✅ ฝึกการสังเกต จับประเด็น เป็นผู้ฟังที่ดี
✅ เรียนรู้ความต้องการ เพื่อสื่อสารให้ตรงประเด็น
✅ เทคนิคการสัมภาษณ์ ฝึกการเป็นพิธีกร แบบเดี่ยวและแบบคู่ อย่างมืออาชีพ
✅ ฝึกการพูดในสื่อออนไลน์ (Live Youtuber Vlogger)
.
พบกันวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้
ลงทะเบียนได้ที่ LINE @kru-ngor
รับจำนวนจำกัด เพียง 10 ที่นั่งเท่านั้น!!
.
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
080-265-6266 , 096-646-6266 , 099-797-9615
คลิก https://line.me/R/ti/p/@kru-ngor
อวัจนภาษา 在 ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ Facebook 的精選貼文
แจ้งเกิดบนโลกออนไลน์ สร้างรายได้จากการพูด
.
ไม่ว่าคุณจะเป็น YouTuber, Vlogger, นักพูด, นักขาย หรือพิธีกร
.
น่าเสียดายที่ของดีในตัวคุณ ไม่ถูกรับรู้
เพียงเพราะคุณไม่รู้วิธี "พูดปล่อยของแบบมือโปร"
.
มาเพิ่มสกิลการเป็นมือโปร
ในคลาส MC Professional
คลาสที่ไม่ได้สอนให้คุณเป็นพิธีกร
แต่ให้คุณมีไตล์ที่โดดเด่น ไม่เหมือนใคร
โดยครูซอ NATURAL BORN SPEAKERS ตัวจริง !!⠀
.
สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้จากคอร์สนี้
✅ เทคนิคการใช้ร่างกาย อวัจนภาษา กับการสื่อสาร
✅ เทคนิคการพูด การใช้เสียง ในงานพิธีกร
✅ ฝึกการสังเกต จับประเด็น เป็นผู้ฟังที่ดี
✅ เรียนรู้ความต้องการ เพื่อสื่อสารให้ตรงประเด็น
✅ เทคนิคการสัมภาษณ์ ฝึกการเป็นพิธีกร แบบเดี่ยวและแบบคู่ อย่างมืออาชีพ
✅ ฝึกการพูดในสื่อออนไลน์ (Live Youtuber Vlogger)
.
พบกันวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้
ลงทะเบียนได้ที่ LINE @kru-ngor
รับจำนวนจำกัด เพียง 10 ที่นั่งเท่านั้น!!
.
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
080-265-6266 , 096-646-6266 , 099-797-9615
👉 คลิก https://line.me/R/ti/p/@kru-ngor