ถอดบทสัมภาษณ์ "น้ำตาล-ชลิตา" กับบท 'ปรางทิพย์' ที่เจ้าตัวเผยว่า เป็นงานที่ #ยากและเหนื่อยมาก !

“ดีใจ ที่ได้กลับมาเจอพี่สมาร์ทอีกครั้ง แต่คนละบทบาทจากเดิมเลย ขอบคุณทุกคนที่ยังจำภาพเราทั้งคู่ตอนเล่น #สาปกระสือ ได้อยู่ ซึ่งเรื่องนี้ฉีกไปเยอะมาก

จากเดิมเราเล่นเป็นผี แต่เรื่องนี้ เราต้องเล่นเป็นสาวเมืองลับแล มีความลึกลับซ่อนอยู่ ต้องเล่นลึก ในเรื่องของอารมณ์ แววตา น้ำเสียง เพราะมีทั้งความแค้นและความเศร้า

ในอดีต คือ ปรางทิพย์ และพิณทิพย์ เป็นยายแก่หลังค่อม พอปัจจุบันก็ต้องมาปะทะกับแม่หมอเนตรมายา (ณฉัตร) คือสู้กันด้วยมนต์ไสยเวทย์ ต้องสู้กับ บุษบาลาวัลย์ (ดาว พิมพ์ทอง) อีก มันมีอะไรที่น่าสนใจเยอะมาก

ต้องดูเลยค่ะ เพราะยากและเหนื่อยมาก ต้องใช้ผ้าคลุมเป็นอาวุธในการต่อสู้ สะบัดผ้า ฟาดใส่กัน มันต้องบังคับทิศทางผ้าให้ได้ เล่นเอาปวดแขน กล้ามขึ้นเลย แต่สนุกมากค่ะ

ด้วยความที่โครงหน้าเราดูไทยๆ ก็อาจจะทำให้เราเหมาะกับบทบาทแบบนี้ ส่วนตัวเป็นคนชอบชุดไทยอยู่แล้ว ชอบตั้งแต่ตอนใส่ประกวด พอได้ใส่ผ้าไทยบ่อยๆ เราก็กลายเป็นชอบอะไรไทยๆ ไปเลย ฝากทุกคนติดตาม เพราะเข้มข้นขึ้นทุกตอน จุดจบของแต่ละคนที่คนดูคาดไม่ถึงแน่นอน

#เพรงลับแล ออกอากาศทุกวันจันทร์ - พฤหัส 18.45น. และ ศุกร์ 18.25น. ทาง #ช่อง8 #ใครๆก็ดูช่อง8

รับชมย้อนหลัง คลิก >>
YouTube : http://bit.ly/2WwA5lE
LINE TV : https://tv.line.me/prenglublae

#นำ้ตาลชลิตา
#NamtanChalita

จับตาเกาะสิมิลันกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

ผมเชื่อว่าหลายๆคนรู้จักเกาะสิมิลันกันเป็นอย่างดี หลายคนคงจำสิมิลันได้ในฐานะ เกาะที่สวยที่สุดในประเทศไทยที่เป็นแม่เหล็กดึงดูให้คนจากทั่วโลกเดินทางมาที่ประเทศไทย

ปีที่แล้วเกาะสิมิลัน ได้เกิดปัญหาที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยว ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวขึ้นเกาะเป็นจำนวนมากๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่บางวันเดินทางไปยังเกาะสิมิลันเป็นจำนวนหลักพันคน หากไม่พูดถึงเรื่องของผลกระทบต่อธรรมชาติ การหักปะการัง การทำทัวร์แบบด้อยคุณภาพ

แต่หากพูดถึงความพอดี ลองนึกภาพกรุ๊ปนักท่องเที่ยวลักษณะกรุ๊ปละ 50 คน ขึ้นเกาะพร้อมกันๆ 5 กลุ่ม ก่อให้เกิดความวุ่นวาย เมื่อก่อนที่เราเห็นนักท่องเที่ยวเอาผ้าไปปูนอนอาบแดด ตอนนี้กลับมีคนมากมายเดินข้าม สะบัดผ้า ตะโกนกันวุ่นวายความเงียบสงบของเกาะได้หายไป พร้อมๆกับเสน่ห์ของเกาะสิมิลัน

จริงๆเราไม่สามารถโทษนักท่องเที่ยวชาวจีนได้โดยเหมารวม เพราะหลายคนที่เดินทางไปเที่ยวก็น่ารัก ตั้งใจไปเสพธรรมชาติ แต่คงโทษรูปแบบของการท่องเที่ยว ที่เหมือนเรากำลังทุบหม้อข้าวตัวเอง ทำลายเสน่ห์ของตัวเอง ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียกำลังทะยานได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

พึ่งได้ข่าวว่าอุทยานกำลังจะประกาศให้มีการจำกัดการขึ้นเกาะ นับหัว ให้ลิมิตขึ้นได้แต่ละวัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ .........

เกาะสิมิลันเปิดให้สามารถเที่ยวขึ้นเกาะได้ในวันที่ 15 ตุลาคม 2018 ณ ตอนนี้ ยังไม่มีการประกาศออกมาเป็นทางการ ซึ่งมีแนวทางที่ยังไม่ยืนยันดังนี้

1. จำกัดจำนวน ที่ 3325 คน/วัน ไม่รวม Diving
2. E-Ticket (อาจจะใช้ไม่ทัน)
3. ถ้า E-Ticket ถ้าใช้ไม่ทัน ให้ผู้ประกอบไปซื้อตั๋วที่อุทยานฯ โดยนำพาสปอร์ตของ ลูกค้าไปซื้อ

ซึ่ง ณ ขณะนี้วันที่ 1 ตุลาคม 2018 ยังไม่มีการออกมาประกาศให้ชัดเจนอาจะเกิดผลกระทบในวงกว้าง การเปลี่ยนแปลงเกียวกับการท่องเที่ยวแบบนี้ควรจะประกาศล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อที่นักท่องเที่ยวะจได้วางแผนล่วงหน้า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จากทั่วโลกยังไม่ทราบ แต่ตอนนี้กลุ่มทัวร์จีนต่างต้องวิ่งเต้น รีบไปล๊อคไปเหมาบริษัทต่างๆ และสุดท้ายนี่ก็อาจเป็นช่องทางเข้าสู Loop เดิมๆ

ทุกวันนี้การท่องเที่ยวในประเทศไทยซบเซา นักท่องเที่ยวหลายคนเลือกไม่มาซ้ำอีกต่อไป สิ่งสำคัญที่เราต้องหาทางแก้ไข คือการรักษาให้อยู่ใน Balance ที่ดีและมองถึงความยั่งยืนมากกว่า

การเปลี่ยนแปลงแบบกระทันในครั้งดี อาจจะทำให้เกิดขึ้นได้ในสองแง่ คือ 1. สิมิลันจะเป็นเกาะที่ไปยากขึ้น ไปแล้วคนน้อย 2. สิมิลันโดนยึดครองด้วยตลาดใดตลาดหนึ่งเป็นหลักและนักท่องเที่ยวอีกหลายกลุ่มหันไปเที่ยวที่อื่นแทน

ต้องรอติดตามกันดู สงสารสิมิลันจริงๆ

" This is my Last Time For Similan " ฉันจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว

เป็นประโยคจบสนทนาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนหนึ่ง ที่มาเที่ยวเกาะสิมิลันเป็นประจำทุกปี

ไม่น่าเชื่อเลยว่า เราพึ่งจะได้ยินข่าวดีว่าสิมิลันใต้น้ำมีการฟื้นฟูมากขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมามีนักวิชาการร่วมกันสนุบสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคนไทยทุกคนตระหนักมากขึ้น และมันก็ดีขึ้นจริงๆด้วย

กลิ่นของข่าวดียังไม่ทันจางหาย กลิ่นข่าวร้ายก็เข้าแทรกมาทันที ว่าสิมิลัน ถูกทำร้ายด้วยนักท่องเที่ยวหลายพันคนต่อวัน แต่นักท่องเที่ยวจะเยอะได้อย่างไร ในเมื่อธุรกิจคนพื้นที่ซบเซา เคาเตอร์ทัวร์ต่างๆรายได้ลดลงกว่า 50% หลายๆบริษัททัวร์มีเรือจอดเพียบจากที่ไม่เคยมีมาก่อน

และภาพก็จัดขึ้นเมื่อได้เห็นข่าวจากในทีวี ว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ฟังก็ไม่สู้กับสิ่งที่ตาผมเห็นผมเลยเดินทางไปที่สิมิลัน เรือของผมเป็นลำแรกๆที่ถึงเกาะในวันนั้น มองด้วยตาเปล่าสิมิลันยังสวยเหมือนเดิม และไม่อาจปฏิเสธว่านี่คือเกาะที่สวย Top 3 ในเมืองไทย แต่เสพความสุขอยู่ไม่นาน ฝูงเรือก็แล่นเข้ามา ขนส่งคนบนเกาะ แต่เดี๋ยวนะ ทุกลำเป็นคนจีน และมันดูวุ่นวายเหมือนตลาดนัด เมื่อคนกลุ่มใหญ่ หลายร้อยคนกรูกันขึ้นเกาะ มองจากหินเรือใบมันเหมือนมดจริงๆ

มันไม่อะไร ไม่ได้ผิดที่เชื้อชาติ เชื้อชาติไม่ได้ประเด็นสำคัญแน่นอน ถ้าไม่ใช่รูปแบบการทำธุรกิจทัวรืแบบทัวร์ 0 เหรียญ แต่พอเดินสำรวจก็เห็นว่า ฝรั่งลดน้อยลงมากๆมองสัดส่วนแล้วแทบจะไม่มีหัวทอง คำว่าเกาะสวรรค์ที่เงียบสงบ คงใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะมันโหวกเหวก โปรยทราย สะบัดผ้า เดินข้ามคนที่นอนอาบแดดกันอย่างชุลมุน จนต้องถามตัวเองซ้ำ ว่านี่เราอยู่สิมิลันจริงๆหรือว่ะเนี่ย แย่จริงๆ เกาะที่ทุกคนจากทั่วโลกฝันมาสักครั้งในชีวิต ภาพมันจางไปอย่างช้าๆ หากใครจะมาถ่ายรูปทำโบว์ชัวร์ในวันนี้ บอกเลยว่ายาก ไปซื้อรูปเก่าๆเถอะ หรือไม่ก็ต้องไปจ้างรีทัชผู้คนออก แต่ทำใจไว้เถอะราคารีทัชจะต้องแพงแน่ๆ แม่งงานยาก

ปีนี้ต้องชื่นชมอุทยานมากๆ ปีนี้เก็บเงินได้ไว รวดเร็ว ทุกครั้งที่เรือจอดที่ใดก็ตามจะมีเจ้าหน้าวิ่งตรงมาเก็บทุกครั้ง ผมเชื่อว่าปีนี้ เม็ดเงินคงมหาศาลและเงินต้องนำไปพัฒนาในทางที่ดีแน่ๆ ถ้าเสริมหรือแก้ไขทันในปีนี้ ผมอยากให้มีเจ้าหน้าที่ประจำที่จุดดำน้ำตื้นและ จับ ปรับ จริง กับนักท่องเที่ยวที่ทำผิดเลย จับทันที ปรับทันที ปีนี้ คนแอบว่ายน้ำขึ้นเกาะ (ที่ห้าม) ขึ้นโหดหิน หรือยืนปกปะการัง เห็นจนชินตา อย่าให้พวกเขามาทำร้ายบ้านของเราเลยครับ จับ ปรับ ให้จริงจังนะ

แต่มองอีกด้าน คิดดูดีๆ มันคุ้มแล้วเหรอหากเงินจำนวนมากในปีนี้ ส่งผลในทางลบของการท่องเที่ยวในปีข้างหน้า ที่ฝรั่งคงต้องเผ่นหนีกันหมด 10 ปีที่แล้วตอนเรียนมัธยมผมเคยจ่ายเงิน 3500 บาทเพื่อไปเช้าเย็นกลับ แต่ปัจจุบันอ่านข่าวแล้วพบว่าคนจีนสามารถเที่ยวเกาะได้ในราคา 1400 บาท ซึ่งต่ำกว่าต้นทุน ปัญหาจะไม่ใช้เรื่องใหญ่ หากทัวร์เหล่านี้เป็นทัวร์ปกติ แต่หากเป็นทัวร์ 0 เหรียญ ปัญหามันเกิดขึ้นแล้วครับ

เขาหลักเป็นเมืองท่าที่ใช้ในการขนส่งคนไปเที่ยวเกาะชื่อดังอย่างสิมิลันและเกาะสุรินทร์ พี่นี้นักท่องเที่ยวซบเซาหนัก ร้านค้าเซ้งกันไปเพียบ แม้แต่ปีใหม่โรงแรมยังไม่เต็ม เรือหลายบริษัทถูกยกเลิก คนที่มาเที่ยวเขาหลักส่วนใหญ่เลือกใช้เวลาพักที่นี่ประมาณ 2 สัปดาห์ เป็นชาวสแกนและชาวยุโรปและเหตุผลของใครหลายๆคนก็คือมาพักที่เขาหลัก เพราะมาเที่ยวสิมิลันนี่แหละ

จากปัญหาที่เกิด " This is my Last Time For Similan " ประโยคที่พูดจากคุณป้า อาจทำให้การท่องเที่ยวเขาหลักที่แย่ลงเรื่อยๆกำลังจะต้องดิ่งลงไปอีก

เมื่อไม่นานมานี้เขาหลัก เริ่มมีคนไทยมาเจรจาตามโรงแรมต่างๆ เพื่อนำทัวร์จีนมาลง โดยเงื่อนไขคือ ขอราคา 50% จากราคขายปกติ โดยจะเหมาห้องในจำนวนมาก เป็นจำนวน 3 เดือน โดยยินดีโอนเงินให้ก่อนและนอนตีพุงรับเงินอย่างเดียวได้เลย โดยที่กรุ๊ปจีนจะมาเช็คอินในช่วงๆเวลา 22.00 และออกจากโรงแรมเวลา 7.00 - 7.30 โดยที่คนกลุ่มนี้มีโอกาสแวะแค่ 7-11 ผมไม่รู้เหมือนกันว่า เค้าทำธุรกิจกันแบบไหน แต่หลายๆรงแรมดีกว่าปล่อยให้เจ๊ง เลยตัดสินใจทำ แต่เอาจริงๆเป็นเหมือนที่คนพุดกัน ผมเจอคนจีนได้เฉพาะ 7-11 .ไม่เคยเห็นตามร้านค้าหรือร้านอาหารเลย

ในฐานะที่ผมเป็นคนพังงา เป็นคนที่นี่ ผมเริ่มแอบห่วงเหลือเกินว่า เรากำลังเอาของ Luxury ที่คนทั่วโลกยอมบินมาซื้อ ยอมมาใช้ วันนี้เราลดลงให้ด้อยค่าและลงไปแบกะดิน และมันก็จะทำให้เราเอาของกลับไปขายในตำแหน่งเดิมไม่ได้ มันคุ้มแล้วหรือ ก่อนที่การท่องเที่ยวเสียหายและจะบานปลายไปมากกว่านี้ อยากให้ใครก็ตามหาสาเหตุให้เจอว่ามันเกิดอะไรขึ้น อาทิตย์ที่แล้วมีวันนึงที่คนขึ้นสิมิลันเกิน 6000 คน ไหวเหรอ สิมิลัน

สำหรับคนที่ยังอยากมาสิมิลัน บอกสั้นๆว่ามาเถอะ สิมิลันยังสวยเหมือนเดิม ในช่วงเช้าและช่วงเย็น นอนค้างคงจะดีกว่า เกาะมันสวยที่คนไม่เยอะจนเกินไป แต่ถ้าเลือกได้ลองไปสุรินทร์ดีกว่า ส่วนเขาหลักผมว่าคงไม่มีใครใจร้ายซ้ำเติมเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกเยอะ

เขาหลักเคยโดนซึนามิทำร้ายมาหนึ่งรอบ แต่ภาวนาอย่าให้เขาหลักจะกลับมาโดนทำร้ายด้วยความ " รู้เท่าถึงการ " ของคนที่ " ละเลย " อีกเลย

ข่าวออกกันหลายช่อง แต่ก็เงียบและยังไม่ได้ข้อสรุปที่เห็นผลเลย
ที่ผมเขียนมาทั้งหมด ก็คงเป็นอย่างนั้นเช่นกัน

อย่าปล่อยให้สิมิลัน เป็นของด้อยค่าอีกเลย ผมรักบ้านของผมและผมเชื่อว่ายังมีหลายร้อยหลายพันคน ที่เคยมาและหลงรักบ้านของผมเช่นกัน
รอสิมิลัน ในวันที่กลับมาเป็นเหมือนเดิมกันนะครับ