雖然這篇ลักษณะคือ鄉民發文沒有被收入到精華區:在ลักษณะคือ這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章
在 ลักษณะคือ產品中有22篇Facebook貼文,粉絲數超過0的網紅,也在其Facebook貼文中提到, คำถาม คือ ควรกลับบ้านวันไหนดี คนที่ออกมาจากพื้นที่มีวางแผนไว้มั้ยคะ? จากเหตุเพลิงไหม้โรงงานภายในซอยกิ่งแก้ว 21 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ จนมีคำสั่งให้ผู...
同時也有3部Youtube影片,追蹤數超過1萬的網紅TRADERIDER,也在其Youtube影片中提到,Forex Grade 1 # Trend เทรนของกราฟ แนวโน้มกราฟ เทรดขาขึ้น UP Trend เทรนขาลง Down Trend สวัสดีครับวันนี้มาเรียน บทแรก พื้นฐานทั่วไปของการเทรด Forex...
「ลักษณะคือ」的推薦目錄
- 關於ลักษณะคือ 在 Happykulchaya Instagram 的最佳解答
- 關於ลักษณะคือ 在 Miinmin Ratawan Instagram 的精選貼文
- 關於ลักษณะคือ 在 Facebook 的最佳解答
- 關於ลักษณะคือ 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
- 關於ลักษณะคือ 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳解答
- 關於ลักษณะคือ 在 TRADERIDER Youtube 的最佳解答
- 關於ลักษณะคือ 在 Channel RL Youtube 的最佳貼文
- 關於ลักษณะคือ 在 FoodTravelTVChannel Youtube 的最讚貼文
ลักษณะคือ 在 Happykulchaya Instagram 的最佳解答
2020-11-22 14:00:00
#รีวิวจันทบุรี เลื่อนภาพ มีวีดีโอขั้นตอนการทำน้ำพริกมาฝาก เพื่อใครไปทำทานกันนะคะ . โพสต์นี้พาทุกคนมาที่ #สวนพวงมณี ไฮไลต์ของที่นี่คือได้ทาน #พริกเกล...
ลักษณะคือ 在 Miinmin Ratawan Instagram 的精選貼文
2020-05-11 22:03:40
"สัจจะ" แปลว่า ความสัตย์ ความซื่อ ถ้าขยายความตามศัพท์แยกได้ 3 ลักษณะคือ มีความจริง ความตรง และความแท้จริง คือ ไม่เล่น ตรง คือ ความประพฤติทางกาย วาจา ต...
-
ลักษณะคือ 在 TRADERIDER Youtube 的最佳解答
2019-10-07 13:09:40Forex Grade 1 # Trend เทรนของกราฟ แนวโน้มกราฟ เทรดขาขึ้น UP Trend เทรนขาลง Down Trend
สวัสดีครับวันนี้มาเรียน บทแรก พื้นฐานทั่วไปของการเทรด Forex คือ เรื่้อง การอ่านแนวโน้มของกราฟ ซึ่ง เรื่องแนวโน้มของกราฟนี้ เป็นหลักการทั่วไปที่ Trader หรือ นักลงทุน ทั้วไปจะต้องรู้เป็นพื้นฐานไม่ว่า คุณจะเทรด อยู่ในตลาด Forex ,หุ้น , ตลาดน้ำมัน ,ตลาด โลหะ ทอง เงิน ทองแดง หรือ ตลาดอื่นๆ ที่มีกราฟ เป็นส่งนประกอบ ทีนี้มาเรียนรู้ เทรนของกราฟ แนวโน้มกราฟ ทั่วไป
หลักการเริ่มต้นทั่วไปของการลงทุน เทรด โดยทั่วไป ก็คือ การมองแนวโน้ม หรือ เทรนของตลาด ของกราฟ ซึ่งเทรนของกราฟจะมีอยู่ 3 ลักษณะคือ
1) เทรนขาขึ้น Uptrend (เป็นช่วงที่น่าลงทุน)
2) เทรนขาลง Downtrend (เป็นช่วงที่น่าลงทุน)
3) Side way คือตลาด ยังไม่มีแนวโน้ม ที่ชัดเจนคือกราฟ เคลื่อนที่ ขึ้นลงแบบไร้ทิศทาง อาจ Side Way เพื่อที่จะไปต่อ ตามแนวโน้มเดิม
หรือ Side way เพื่อที่ กลับตัวในทิศทางตรงกันข้ามของแนวโน้มเดิม ซึ่งก็จะมีหลักการใน การ วิเคราะห์ที่หลากหลาย แต่ โดย ส่วนมากแล้ว
ช่วงตลาด Side way จะเป็นช่วงที่ไม่ควรลงทุกมากที่สุดเนื่องจากเป็นช่วงที่นักลงทุนส่วนมากจะขาดทุนมากที่สุดจากช่วงที่ตลาด เป็น Side Way
ซึ่ง Side way ก็สามารถ แบ่งได้อีกเป็น 2 แบบ ก็คือ
3.1 Side way Up
3.2 Side way Down
การเปิดบัญชีเพิ่ม Forex กับ XM.COM สำหรับผู้ที่มีบัญชีอยู่แล้ว สามารถเปิดได้สูงสุด 8 บัญชี ต่อคน แถมได้ Rebate เงินคืน 3$/ 1 Lot ทุกการเทรด Link การเปิดบัญชี XM.com : http://www.xm.com/gw.php?gid=10185 กับ www.traderider.com
การเพิ่มบัญชีเทรด forex XM.com จากบัญชีเดิมที่มี : http://traderider.com/index.php/topic,3242.msg92820.html#msg92820
แจ้งตรวจสอบบัญชีเทรด : http://traderider.com/index.php/topic,1433.0.html
facebook Fanpage : https://www.facebook.com/traderidergroup -
ลักษณะคือ 在 Channel RL Youtube 的最佳貼文
2017-10-01 12:06:17กด subscribe ติดตามทาง youtube ช่วยแชร์ด้วยบอกต่อเล่าต่อ เขียน comment มาคุยกันบ้าง
ขั้นตอนพิธีแต่งงานตามหลักศาสนาอิสลาม (นิกะห์)
1. การสู่ขอ
ในสมัยก่อนการสู่ขอของฝ่ายชายจะให้ญาติผู้ใหญ่ที่เป็นหญิงล้วน ไปสู่ขอกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง เมื่อพ่่อแม่ของฝ่ายหญิงตกลง ก็จัดการกำหนดวันหมั้น การตอบตกลงของพ่อแม่ฝ่ายหญิง จะไม่ขอความเห็นจากลูกสาว แต่ในปัจจุบันผู้ไปสู่ขอ คือบิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชาย ซึ่งต้องไปสู่ขอกับผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงพร้อมกับนำขนมและผลไม้ไปฝากทางด้านฝ่ายหญิงด้วย
จากนั้นเมื่อไปถึงแล้วก็บอกว่า “มีธุระ ที่จะขอปรึกษาด้วย” แล้วสอบถามว่าผู้หญิงที่ต้องการไปสู่ขอ “มีคู่รึยัง” ถ้าฝ่ายหญิงบอกว่า”ไม่มี” ก็จะบอกว่า ต้องการสู่ขอให้กับใคร ฝ่ายหญิงจะไม่ตอบตกลงในตอนนั้นและจะไม่ตอบรายละเอียด แต่จะขอเวลาปรึกษากันระหว่างญาติๆ ประมาณ 7 วัน ในช่วงนั้นฝ่ายหญิงอาจจะส่งคนที่นับถือไปบอกฝ่ายชายในกรณีที่ตกลง ถ้าไม่ตกลงก้จะเงียบเฉยให้เป็นที่รู้กันเอาเอง เมื่อฝ่ายหญิงตกลง ฝ่ายชายก็จะไปคุยกำหนดเรื่องวันแต่งงาน สินสอดทองหมั้น และมะฮัรฺ
2.การหมั้น
ในอดีตเมื่อถึงกำหนดวันหมั้น ฝ่ายชายจะจัดขบวนเถ้าแก่ ขบวนขันหมากไปยังบ้านของฝ่ายหญิง ฤกษ์แห่ขันหมาก จะใช้เวลาช่วงเย็นประมาณ 4 -5 โมงเย็น “ขันหมาก”ประกอบด้วย พาน 3 พาน คือ พานหมากพลู พานข้าวเหนียวเหลือง และพานขนม แต่บางรายที่มีฐานะดี ก็อาจจะเพิ่มพานขนมขึ้นอีกก็ได้ พานหมากพลูนั้นจะมีเงินสินสอดใส่ไว้ใต้หมากพลู เงินจำนวนนี้เรียกว่า ลาเปะซีเฆะ หรือเงินรองพลู ส่วนพานขนมนั้นจะประกอบไปด้วย ขนมก้อ (ดูปงปูตู) ข้าวพองและขนมก้อน้ำตาล (ดูปงฮะลูวอคีแม) ซึ่งขันหมากเหล่านี้จะถูกห่อด้วยผ้าสีสวย
เมื่อฝ่ายชายไปถึง เถ้าแก่ฝ่ายชายก็จะกล่าวขึ้นว่า”วันนี้ (ออกชื่อเจ้าบ่าว)ได้เอาของมาหมั้น(ชื่อเจ้าสาว)แล้ว เมื่อเถ้าแก่ของฝ่ายหญิงรับของหมั้นแล้ว เถ้าแก่ฝ่ายชายจะถามต่อไปทันทีเลยว่า”เงินหัวขันหมากนั้นเท่าใด” ซึ่งเถ้าแก่ฝ่ายหญิงจะต้องตอบ จากนั้นเป็นการปรึกษาหารือถึงกำหนดวันแต่งงาน วันจัดงานและการกินเลี้ยง ก่อนที่ฝ่ายชายจะกลับนั้น ฝ่ายหญิงจะนำผ้าโสร่งชาย (กาเฮงแปลก๊ะ) หรือผ้าดอกปล่อยชาย (กาเฮงปาเต๊ะลือป๊ะ) อย่างใดอย่างหนึ่งใส่พานที่ใส่หมากพลูมาหมั้นส่วนพานข้าวเหนียวเหลืองและพานขนมก็จะได้รับจากฝ่ายหญิงกลับเช่นกัน
*** การหมั้นในปัจจุบันจะทำ 2 ลักษณะคือ หมั้นก่อนแต่ง ทำพิธีนิกะห์ (การแต่งที่ถูกต้องตามหลักศาสนา) หรือหมั้นหลังทำพิธีนิกะห์ ซึ่งจะเป็นผลดีและมีข้อห้ามที่ต่างกัน กล่าวคือถ้าหมั้นก่อนแต่งงาน เจ้าบ่าวจะถูกเนื้อต้องตัวเจ้าสาวไม่ได้ ส่วนการหมั้นหลังพิธีนิกะห์แล้ว เจ้าบ่าวสามารถถูกเนื้อต้องตัวเจ้าสาวได้เจ้าบ่าวจึงสวมของหมั้น ให้กับเจ้าสาวได้ และสามารถจัดพิธีนั่งบัลลังก์ เพื่อให้ญาติทั้ง 2 ฝ่ายร่วมยินดีได้อย่างสมเกียรติ ส่วนขันหมากมีการจัดเหมือนที่เคยเป็นมา
3.พิธีแต่งงาน
ในอดีตพิธีแต่งงานโดยทั่วไปจะจัดหลังวันหมั้นแล้วไม่เกิน 2 สัปดาห์ โดยถือฤกษ์ 4-5 โมงเย็น ของวันใดวันหนึ่ง ฝ่ายเจ้าบ่าวจะยกขันหมากไปยังบ้านเจ้าสาว ขบวนขันหมากนี้จะประกอบด้วยเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าบ่าว และญาติผู้ใหญ่ประมาณ 5-6 คน การไปคราวนี้ไม่มีข้าวของอะไรต้องนำไป นอกจากเงินหัวขันหมาก (จะต้องเป็นเลขคี่) ซึ่งใส่ไว้ในขันหมากทองเหลืองใบเล็กๆ ห่อหุ้มด้วยผ้าเช็ดหน้าให้เจ้าบ่าวถือไป และกล้วยพันธ์ดี เช่น กล้วยหอม 2-3 หวี เท่านั้น ในวันดังกล่าว ทางบ้านเจ้าสาวก็ต้องเตรียมการต้อนรับโดยเชิญโต๊ะอิหม่ามเป็นประธานในพิธีแต่งงาน พร้อมด้วยคอเต็มและผู้ทรงคุณธรรมอีก 1 คน เพื่อเป็นสักขีพยานซึ่งผู้ทรงคุณธรรมนั้นจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนันหรือบุคลอื่นก็ได้ ข้อสำคัญอยู่ที่คนๆนั้นต้องเป็นที่ยอมรับว่ามีศีลสัตย์ เมื่อหัวขันหมากไปถึงบ้านเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าสาวจะให้การต้อนรับ โอกาสนี้เจ้าบ่าวจะส่งมอบเงินหัวขันหมากให้กับโต๊ะอิหม่าม เพื่อที่โต๊ะอิหม่ามจะตรวจนับให้ถูกต้องครบถ้วนและควบคุมเงินขันหมากนั้นไว้ จากนั้นก็มีการร่วมรับประทานอาหารกัน
ส่วนเจ้าสาวนั้นจะเก็บตัวไว้ในห้องหรือในครัวเท่านั้นหลังจากการเลี้ยงอาหารผ่านพ้นไปแล้ว เจ้าบ่าวไปนั่งขัดสมาธิลงเบื้องหน้าโต๊ะอิหม่าม โอกาสนี้พ่อเจ้าบ่าวจะไปถามเจ้าสาวยินยอมหรือไม่ การถามตอบครั้งจะมีพยานอยู่ใกล้ๆ หากหญิงสาวไม่ยินยอมก็จะให้ญาติผู้ใหญ่ที่สามารถเกลี้ยกล่อมอ้อนวอนให้เจ้าสาวยอมเข้าพิธี เมื่อทางเจ้าเจ้าสาวยินยอมแล้วนั้น พยาน 2 คนก็รับทราบด้วย ก็จะเริ่มดำเนินการขั้นตอนถัดไป ซึ่งต้องเป็นพ่อหรือเป็นผู้ปกครอง(ต้องเป็นชายเท่านั้น)ของเจ้าสาว “วอเกล์”กับโต๊ะอิหม่าม บิดาจะต้องเป็นผู้จัดการแต่งงานให้กับบุตรสาวของตน แต่เมื่อผู้เป็นบิดาไม่มีความรู้ ความเข้าใจในพิธีปฏิบัติ ก้ต้องมอบหมายให้ผู้มีความรู้ความเข้าใจปฏิบัติเเทน จากนั้นจะมีการอ่านศาสนบัญญัติที่เกี่ยวกับการแต่งงานเรียกว่า” บาจอกุฐตีเบาะห์” ซึ่งอ่านโดยคอเติบ หรือโต๊ะอิหม่าม เมื่อจบจาก” บาจอกุฐตีเบาะห์ ” แล้ว โต๊ะอิหม่ามก็จะยื่นมือไปจับปลายนิ้วมือของเจ้าบ่าวนิ้วหนึ่ง นิ้วใดก็ได้เพียงนิ้วเดียว พร้อมกับเริ่มประกอบพิธีแต่งงานให้โดยกล่าววาจาเป็นสำคัญ โต๊ะอิหม่ามจะกล่าวว่า “ยา…อับดุลเลาะห์ อากูนิกะห์ อากันดีเกา บาร์วอเกล์วอ ลีปาเปาะญอ อากันดากู คืออันฮาลีเมาะ เป็นดีมูฮัมมัด อีซีกะห์ เบ็นซะบาเญาะญอ สะราดฆอปู และดีโยโก๊ะดูนา” แล้วเจ้าบ่าวต้องกล่าวตอบรับตาม “อากูตรีมอ นิกะห์ญอ คืองันอีซึกะห์ เว็ซะบาเญาะ ตีรึซีโมะอึดู” แปลว่าได้รับการยอมรับการแต่งงาน ตามจำนวนเงินหัวขันหมากดังกล่าว
เครดิตรูป Tum Seventy-Seven Wonder
ที่มา https://sites.google.com/site/praphenikartaengnganmuslim/home
http://www.weddinglist.co.th/blog/งานแต่งงานอิสลาม1/ -
ลักษณะคือ 在 FoodTravelTVChannel Youtube 的最讚貼文
2013-07-11 15:06:35กล้วยฉาบ
เมนูขนมทานเล่น อีกหนึ่งชนิด ที่ใช้วัตถุดิบทางการเกษตร อย่างกล้วย มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี กล้วยฉาบ หนึ่งในเมนูสร้างรายได้ อาชีพเสริมในครอบครัว โดยเลือกใช้กล้วยน้ำว้าดิบแก่ มาแปรรูปนั้นเอง กล้วยฉาบที่ดี ต้องกรอบ ไม่อมน้ำมัน มีรสชาติหวาน เค็มกำลังดี กล้วยฉาบสามารถฉาบได้ 2 ลักษณะคือ แบบหวาน และแบบเค็ม ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ที่ทำ แต่กรรมวิธีย่อมไม่ต่างกันมากนัก สำหรับกล้วยฉาบสูตรนี้ เชฟใหม่ได้ดัดแปลงขึ้น โดยเสริมงาขาวลงไป เพื่อเพิ่มรสชาติ และกลิ่นให้มีความหอมมากขึ้น ในขณะที่ทอด ให้ทอดพร้อมใบเตยทำให้กล้วยฉาบสูตรนี้ มีกลิ่นหอมเพิ่มจากแต่เดิม เติมเกลือเวลาฉาบกับน้ำตาลนิดหน่อยเพื่อชูรสชาติกล้วยฉาบให้ดีขึ้น
http://www.foodtravel.tv/recipe.aspx?viewid=2164
Ingredient and How to cook, Please visit our English website.
http://en.foodtravel.tv/recfoodShow_Detail.aspx?viewId=1805
วัตถุดิบกล้วยฉาบ
1. กล้วยน้ำว้าดิบแก่ 1 หวี
2. น้ำตาลทราย 70 กรัม
3. เกลือป่น 2 ช้อนชา
4. งาขาวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำมันสำหรับทอด
6. น้ำปูนใส
7. ใบเตย ประมาณ 4-5 ใบ
อุปกรณ์ที่ใช้
กระทะ
วิธีทำกล้วยฉาบ
1. ปอกเปลือกกล้วยล้างให้สะอาด ใสด้วยเครื่องใสเผือกหรือมันหรือใช้มีดคมหั่นบางๆ ตามยาวและตามขวางของผลกล้วย แล้วนำไปแช่น้ำปูนใส เอาขึ้นพักพอสะเด็ดน้ำ
2. ตั้งกระทะเปิดไฟให้ร้อน ใส่น้ำมันพืชลงไป จากนั้นเอากล้วยที่หั่นไว้ลงทอด ตามด้วยใบเตย ทอดให้กรอบ ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน
3. ตั้งกระทะ ใส่น้ำตาลทราย น้ำ เปล่า 1/2 ถ้วย ตั้งไฟให้เดือดเป็นยางมะตูม คนอย่าให้ไหม้ เอากล้วยลงฉาบกลับไปมาให้ทั่ว พอน้ำตาลแห้งตกทราย คนด้วยพาย จนกระทั่งน้ำตาลเดือดข้นเป็นยางมะตูม เอากล้วยลงฉาบกลับไปมาให้ทั่ว ตามด้วยงาขาว พอน้ำตาลแห้งตกทรายก็ตักขึ้น จัดใส่ภาชนะเสิร์ฟ
ลักษณะคือ 在 Facebook 的最佳解答
คำถาม คือ ควรกลับบ้านวันไหนดี คนที่ออกมาจากพื้นที่มีวางแผนไว้มั้ยคะ?
จากเหตุเพลิงไหม้โรงงานภายในซอยกิ่งแก้ว 21 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ จนมีคำสั่งให้ผู้ที่อยู่ในรัศมี 1 - 5 กิโลเมตรโดยรอบอพยพ เนื่องจากประชาชนอาจได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว โดยเฉพาะหากได้รับหรือสัมผัสกับสารเคมี #สไตรีนโมโนเมอร์ (Styrene monomer) รายการ #โรงหมอ มีข้อมูลด้านพิษวิทยาจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มาฝากค่ะ
สไตรีนโมโนเมอร์ เป็นสารเคมีที่มีลักษณะเป็นของเหลวงใส ไม่มีสี แต่มีกลิ่นเฉพาะตัว สามารถกลายเป็นไอระเหยและลุกติดไฟได้ ถูกจัดให้อยู่ในวัตถุอันตรายประเภทที่ 2 ของเหลวไวไฟ ตามประกาศมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายเรื่อง การขนส่งวัตถุอันตรายทางบก พ.ศ. 2545 เมื่อสารนี้เกิดการเผาไหม้จะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซต์, ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ
ทางด้านข้อมูลพิษวิทยา ได้แบ่งความเป็นพิษ 2 ลักษณะคือ พิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรัง
1. ความเป็นพิษเฉียบพลัน |
- #เมื่อถูกผิวหนัง จะทำให้เกิดการระคายเคือง
- #เมื่อเข้าตา จะส่งผลให้ตาเกิดการระคายเคือง
- #เมื่อหายใจหรือสูดดมเข้าไป จะทำให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อยุทางเดินหายใจ ทำให้ไอและหายใจลำบาก เมื่อดูดซึมจนถึงระดับที่ก่อให้เกิดพิษ จะทำให้ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ง่วงซึม
- #เมื่อกลืนกิน จะทำให้ระคายเคือง เป็นแผลไหม้ที่ปากและกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการเจ็บคอ ปวดท้อง ปวดศีรษะ วิงเวียน อาเจียน และเซื่องซึม
2. ความเป็นพิษเรื้อรัง |
- ทำให้เกิดความผิดปกติของโครโมโซมในคน
- อาจจะทำให้เกิดมะเร็งในคนและสัตว์
- เพิ่มการแท้งในสตรีมีครรภ์ที่สัมผัสกับสารนี้
- ทำให้ระดับฮอร์โมนผิดปกติ โดยเฉพาะการทำงานของต่อมไทรอยด์และการมีประจำเดือนผิดปกติ รวมถึงมีผลต่อฮอร์โมนในหญิงตั้งครรภ์
- ทำให้เกล็ดเลือดต่ำ ต่อมน้ำเหลืองผิดปกติ มีผลต่อระบบประสาท ทำให้อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
1. นำผู้ประสบภัยไปยังสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์
2. ถ้าผู้ประสบภัยหยุดหายใจให้ใช้เครื่องช่วยหายใจ
3. ถ้าผู้ประสบภัยหายใจลำบาก ให้ใช้เครื่องให้ออกซินเจน
4. ถอดเสื้อผ้าและรองเท้าที่มีการปนเปื้อนออกทันที่
5. หากสัมผัสกับสารนี้ ให้ล้างออกด้วยน้ำ หรือเมื่อเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดไหลผ่านอย่างน้อย 15 - 20 นาที
6. กรณีไฟไหม้ผิวหนัง รีบทำให้เย็นทันทีเท่าที่ทำได้ด้วยน้ำเย็น ไม่ถอดเสื้อผ้าออกถ้าเสื้อผ้าติดผิวหนัง
7. รักษาร่างกายผู้ประสบภัยให้อบอุ่น และนำส่งแพทย์
8. ผู้ปฐมพยาบาลต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ สไตรีนโมโนเมอร์
สำหรับผลกระทบที่เกิดกับสิ่งแวดล้อมพบว่า มีผลต่อดินค่อนข้างน้อยและเป็นสารที่ไม่ตกค้างในน้ำ แต่มีผลต่อการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ โดยจะไปลดระยะเวลาการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำเป็นเวลานานหลายชั่วโมง เนื่องจากสารชนิดนี้มีความสามารถในการระเหยค่อนข้างสูง จึงสามารถทำลายชั้นโอโซนได้
#ThaiPBSPodcast
#ThaiPBS
ลักษณะคือ 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
สืบเนื่องคำพิพากษาชั้นต้นเกี่ยวกับความผิดตาม พรบ.ควบคุมโรคติดต่อ : การบังคับให้สวมแมส
ในครั้งก่อนผมอธิบายในประเด็นที่อธิบายว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้พิพากษาเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน แต่ไม่ได้อธิบายว่า คดีดังกล่าวไม่ได้เป็นบรรทัดฐานกับคดีต่อๆมา เนื่องจากว่ามีหลายจังหวัดของประเทศไทยที่มีการออกประกาศในลักษณะเดียวกันนี้ ว่าจะต้องสวมหน้ากากผ้าก่อนออกจากเคหสถานหรือเดินทางไปในสถานที่สาธารณะหรือสถานที่ใดๆ
ในกรณี ศาลจังหวัดกันทรลักษ์มีคำพิพากษายกฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด ในฐานความผิดกระทำการหรือดำเนินการใดๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไปโดยการไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าก่อนออกจากเคหสถานหรือเดินทางไปในสถานที่สาธารณะหรือสถานที่ใดๆ โดยศาลเห็นว่า ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อนั้น พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 มาตรา 34(6) กำหนดแต่เพียงว่า ห้ามมิให้ผู้กระทำการใดๆ ซึ่งก่อให้เกิดภาวะไม่ถูกสุขลักษณะซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไป โดยไม่ได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อออกคำสั่งกำหนดการกระทำการเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าว ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 บัญญัติให้บุคคลจะต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายนี้ใช้ในการกระทำความผิดและกำหนดโทษไว้ เมื่อการไม่ใส่หน้ากากอนามัยออกจากเคหสถานไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามและกำหนดโทษไว้ ประกอบกับลำพังเพียงแต่การไม่ใส่หน้ากากอนามัยออกจากเคหสถานโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นประกอบ ไม่น่าจะเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดพิพากษายกฟ้อง
ในครั้งก่อนผมอธิบายในประเด็นที่อธิบายว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้พิพากษาเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน ในเรื่องการให้เหตุผลว่า
“การไม่ใส่หน้ากากอนามัยออกจากเคหสถานไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามและกำหนดโทษไว้ ประกอบกับลำพังเพียงแต่การไม่ใส่หน้ากากอนามัยออกจากเคหสถานโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นประกอบ ไม่น่าจะเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไป โดยพิพากษาถึงความเหมาะสม ความจำเป็นที่ต้องลงโทษและความได้สัดส่วนในความหมายอย่างแคบที่ถึงการกระทำที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพมากกว่าส่วนรวมแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด”
แต่ไม่ได้อธิบายว่า คดีดังกล่าวไม่ได้เป็นบรรทัดฐานกับคดีต่อๆมา เนื่องจากว่ามีหลายจังหวัดของประเทศไทยที่มีการออกประกาศในลักษณะเดียวกันนี้ ว่าจะต้องสวมหน้ากากผ้าก่อนออกจากเคหสถานหรือเดินทางไปในสถานที่สาธารณะหรือสถานที่ใดๆ
ประเด็น ในข้อเท็จริงในเวลานั้นขณะนั้นอาจไม่ใช่ความรุนแรงของโรคโควิด 19 และที่สำคัญแต่ละศาในประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายซิวิลลอว์ คำพิพากษามิใช่กฎหมายและคดีก็ยังเป็นศาลชั้นต้น ไม่ผูกพันกับคดีอื่น
ประเด็นที่ต้องพิจารณาต่อว่า กรณีไม่สวมแมสที่กำหนดตามมาตรา 34 (6) และมีโทษปรับตามมาตรา 51 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา 34 (1) (2) (5) หรือ (6) มาตรา 39(1) (2) (3) หรือ (5) มาตรา 40(5) หรือไม่อํานวยความสะดวก แก่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา 39(4) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท ซึ่งมีโทษปรับอย่างเดียว
ดังนั้นคดีที่ฝ่าฝืน มาตรา 43 (6) การไม่สวมแมสไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคสามารถยุติได้ 2 ทาง คือ
ทางที่ 1 เปรียบเทียบปรับ ตามมาตรา มาตรา 57 บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัติน้ีที่มีโทษปรับสถานเดียวหรือมีโทษจําคุก ไม่เกินหนึ่งปี ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอํานาจเปรียบเทียบได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบ ที่คณะกรรมการกําหนด
เมื่อผู้ต้องหาได้ชําระเงินค่าปรับตามจํานวนที่เปรียบเทียบภายใน 30 วันนับแต่วันที่มี การเปรียบเทียบแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 37
ทางที่ 2 ส่งฟ้องศาลเมื่อศาลพิพากษา ในเคสดังกล่าว เป็นการยุติโดยคำพิพากษา แต่เป็นเพียงศาลชั้น ถ้ามีการอุทธรณ์และอาจมีฎีกา ซึ่งอาจยุติในชั้นอุทธรณ์ถ้า ไม่ฎีกาและถ้าฎีกาก็ยุติใช้ชั้นฎีกา อาจมี 2 ลักษณะคือ การปรับ กับยกฟ้อง
ประเด็นตามข่าวเกิดขึ้นทางที่ 2 ทั้งที่จริงคดีเลืกกีนได้ด้วยตำรวจ สามารถเปรียบปรับได้ เมื่อมาตรา ดูมาตรา 57 ให้อำนาจอธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายเปรียบเทียบ ซึ่งต้องมีคำสั่งหรือประกาศจากอธิบดีมอบหมาย
ซึ่งมีคำสั่งที่ 1764/2563 มอบหมายให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับ ทำให้คดีเลิกกันได้ตามมาตรา 37 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
แต่ถ้าเป็นกรณีคดีไม่เลิกกัน จึงต้องดำเนินคดีในทางที่ 2 ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากยกฟ้องกับผู้ไม่ปฏิบัติตามไม่สวมแมสที่ฝ่าฝืนมาตรา 34(6) แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นเพียงศาลชั้ต้น คดีออาจยุติในชั้นอุทธรณ์หรือคดีอาจยุติในชั้นฎีกา
ลักษณะคือ 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳解答
“โพสต์โมเดริ์นนิสซึม”
โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล
ความหมายของแนวความคิดหลังทันสมัยหรือหลังสมัยใหม่
ความคิดแบบหลังสมัยใหม่หรือPostmodernism เป็นการเปิดมุมมองที่หลากหลายด้านและหลายมิติ ซึ่งมองความแผ่ซ่านของอำนาจ ความรู้ ภาษาและวาทกรรมที่มีอิทธิพลเหนือชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน โดยความคิดแบบหลังสมัยใหม่ถูกมองออกเป็น 2 ลักษณะคือ ลักษณะแรกมองว่า ยุคโมเดิร์นผ่านพ้นไปแล้วหรือกำลังจะผ่านไปและยุคโพสต์โมเดิร์นกำลังจะเข้ามาแทนที่ ลักษณะทีสอง มองว่า ยุคโมเดิร์นยังคงอยู่แต่โพสต์โมเดิร์นออกมาท้าทายความความคิดความเชื่อแบบโมเดิร์น โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ เน้นถึงความสำคัญของชีวิตประจำวันซึ่งสอดคล้องกับปรากฏการณ์ทางสังคม โดยแนวความคิดแบบโพสต์โมเดิร์นได้ท้าทายประเด็นทางวิชาการในเรื่องต่างๆดังนี้
1.การเคลื่อนตัวของการมองและการศึกษาในประเด็นทางเศรษฐกิจและการเมืองแบบโพสต์โมเดิร์น จากสังคมที่มีศูนย์กลางอยู่ที่การผลิตมาสู่สังคมบริโภคนิยมที่ตลาดก้าวมาเป็นจุดศูนย์กลางทางวัฒนธรรมแทนที่สิทธิอำนาจทางการเมือง
การบริโภคสัญญะแบบโพสต์โมเดิร์น ไม่ใช่เพียงการบริโภคเพื่อประโยชน์ใช้สอย(Use value)แต่เป็นการบริโภคเพื่อสื่อความหมายถึงบางอย่าง(Sign value) เช่น สถานะของเรา ตัวตนของเรา รสนิยมของเรา ภาพพจน์ของเรา เป็นต้น ดังเช่น ความคิดของ Jean Baudrillard มองว่าก่อนตัวสินค้าจะถูกบริโภคจะต้องถูกเปลี่ยนเป็นสัญญะก่อน โดยมีรหัส (Code)ต่างๆในการแปลงสินค้าให้เป็นสัญญะ(Sign) เช่น การมีลำดับชั้น การทำให้สินค้าเป็นเกรด A B C เพื่อทำให้สินค้าทำหน้าที่เป็นสื่อทางวัฒนธรรมและได้แสดงให้เห็นสถานภาพเกียรติยศของผู้ใช้ สิ่งเหล่านี้คือการสร้างตรรกะของความแตกต่าง( Logic of Difference) มากกว่าตรรกะเชิงอรรถประโยชน์( Logic of utility )
2.การท้าทายปฏิเสธเรื่องเล่าแบบ Master/Grand narrative หรือคำอธิบายที่ทรงอำนาจ เป็นหัวใจของความรู้ แต่โพสต์โมเดิร์นไม่ยอมให้เรื่องเล่าใดกลายเป็นแม่แบบหรือเป็นหลักครอบงำ การครอบงำอุดมการณ์ไม่ใช่เกิดจากรัฐเท่านั้น รวมถึงแวดวงวิชาการ วิชาชีพ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนด้วยกันเองด้วย
3.ศิลปะแบบโพสต์โมเดิร์น ปฏิเสธศิลปะแบบโมเดิร์นที่มองว่า ศิลปินคือผู้ที่สร้างความแปลกใหม่ ความริเริ่มสร้างสรรค์และลักษณะเฉพาะตัว ศิลปะคืองานสูงส่ง แต่จริงๆแล้วศิลปะแขนงต่างๆไม่สามารถแยกออกจากการค้าได้
4.วรรณกรรมแบบโพสต์โมเดิร์นยุคโมเดิร์นให้อำนาจกับผู้อ่าน นักเขียน แต่โพสต์ฯมองว่า ตัวบทและงานเขียนมีชีวิตในตัวมันเองเป็นอิสระไม่ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ของนักเขียนอีกต่อไป ตัวบทจึงเป็นสิ่งที่เปิดกว้างสำหรับการตีความและมีหลายความหมาย
5.ประวัติศาสตร์แบบโพสต์โมเดิร์น โมเดิร์นเน้นการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างเป็นวัตถุวิสัย โพสต์ฯต้องเปลี่ยนมาสู่การให้ความสนใจกับพื้นที่และเวลามากขึ้น สนใจประวัติศาสตร์ในชีวิตประจำวัน ที่เป็นตัวสะท้อนหรือบอกเล่าเรื่องราวของมนุษย์
โดยสรุปในทางวิชาการ คำว่า Post-Modern สามารถใช้ประกอบกับสิ่งต่างๆหรือถูกใช้ในลักษณะต่างๆกัน สามารถเป็นทั้งคำคุณศัพท์ ประกอบคำนาม คำขยายคำนามที่แตกต่างกัน ก็จะมีนัยที่แตกต่างกัน ใช้ทั้งในวงวิชาการ สังคม เศรษฐศาสตร์และ ศิลปะ เป็นต้น
วิชาการในแนวโพสต์โมเดิร์น คือวิชาการที่มีปฏิบัติสัมพันธ์ในเชิงวิพากษ์ (Critical Interaction) กับวิชาการแนวสมัยใหม่ ซึ่งปฏิสัมพันธ์มีความสำคัญมาก วิชาการแบบPost-Modern ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆในตัวของมันเองแต่มันเกิดจากการวิพากษ์กับวิชาการอื่นๆโดยแนวคิดแบบโพสต์โมเดิร์นจะยืนอยู่โดยปราศจากโมเดิร์นไม่ได้ ถ้าหลุดจากปฏิสัมพันธ์กับตัวนี้ ก็จะหมดความหมายหรือความสำคัญลงไป
สังคมหลังสมัยใหม่คือสังคมที่เกิดจากความแปรปรวนของสภาวะคุณค่า ความหมาย ที่ถูกสถาปนาในสังคมสมัยใหม่ เช่น เรื่องเสรีภาพ จิตสำนึก ความสงบสุข ซึ่งคุณค่าเหล่านี้เคยได้รับการหล่อเลี้ยงจากสังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมแบบโมเดิร์น เมื่อพัฒนามาถึงระบบหนึ่ง (Late-Capitalism) ทุนนิยมขั้นล่าสุด ขั้นปลาย สังคมโมเดิร์นก็จะกลืนกินสิ่งเหล่านี้ โดยใช้เป็นแค่เพียงคำพูดใหม่ๆกลวงๆที่ไม่มีคุณค่า ความหมาย เกิดความเฟ้อ เรื่องเสรีภาพ ประโยชน์สุข ค่านิยม ที่มองความสดสวยงดงาม ความฟุ้งเฟ้อที่มากมายจะระเบิดออกมาโดยไม่ใช่การระเบิดจากภายนอก แต่เป็นสิ่งที่นักวิชาการโดยเฉพาะสิ่งที่ Jeans Baudrillard เรียกว่า การระเบิดเข้าสู่ภายใน (Implosion)
ในสภาวะปัจจุบันคำว่าโพสต์โมเดิร์นถูกใช้ในความหมายเกี่ยวกับสังคมแบบโพสต์โมเดิร์น (Post modern society) กับวิชาการแนวโพสต์โมเดิร์น( Post modern Scholarship) ที่มีความหมายแตกต่างกันหลายนัยยะ
สังคมแบบโพสต์โมเดิร์น วิพากษ์และตั้งคำถามต่อสังคมแบบโมเดิร์น ที่เมื่อพูดถึงสังคมสมัยใหม่ เรามักจะพูดถึงนัยของสภาวะสังคมนั้นในทางลบ เช่น การทำสงครามล้างเผ่าพันธุ์ การใช้และทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษ ที่นำไปสู่ความทุกข์ทรมานของมนุษย์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และมีนัยทางเหยียดหยาม มันเป็นสภาวการณ์แบบPost-Modern ที่แปรปรวนและสับสนในความเป็นมนุษย์และตัวตนของมนุษย์ที่พร่าเลือนและเป็นตัวตนที่ถูกประกอบสร้างอย่างบิดเบี้ยว ผิดส่วน หลากหลาย เป็นลักษณะแบบหัวมังกุดท้าย
มังกร(ECLECTICISM) ที่ผสมปนเปกันไปจนแทบจะหารากเหง้าหรือจุดกำเนิดไม่พบ ดังเช่นวิถีชีวิตของผู้คนไทยในปัจจุบัน อาจจะบริโภคแมคโดนัลด์ ดูรายการเอ็มทีวี ดูละครจักรๆวงศ์ๆ ดูซีรี่เกาหลี ทำให้ตัวตนของความเป็นไทยถูกทำให้พร่าเลือนด้วยวัฒนธรรมแบบเกาหลี อเมริกัน เป็นต้น ดังนั้นความจริงของมนุษย์หรือความเป็นมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่ถูกประกอบสร้างอยู่ตลอดเวลา
ในขณะเดียวกันวิชาการแนวโพสต์โมเดิร์น มีความลุ่มลึกซับซ้อน หลากหลายมิติ มีชั้นเชิงในการมองวิถีชีวิตของผู้คนและปรากฏการณ์ของสังคม รวมทั้งไม่ยึดติดกับวิชาการแนวโมเดิร์นหรือสมัยใหม่
วิชาการแนวหลังสมัยใหม่มันมาตรวจจับวิชาการแนวโมเดิร์น ซึ่งไม่มีเครื่องมือที่เพียงพอกับกับการเท่าทันกับปรากฏการณ์ของสิ่งเหล่านี้ เครื่องมือแบบโมเดิร์นอธิบายการบริโภคนิยมแบบยุคปัจจุบัน แบบโพสต์โมเดิร์นไม่ได้เพราะเครื่องมือของโมเดิร์น ก็เป็นเรื่องที่เน้นอรรถประโยชน์สูงสุด จึงไม่สามารถอธิบายกระบวนการกลายพันธุ์จากสภาวะสมัยใหม่ไปสู่ภาวะหลังสมัยใหม่ได้ วิธีการแนวโพสต์โมเดิร์นสามารถเอาไปใช้ในการศึกษาสังคมโมเดิร์นเองก็ได้ก่อนโมเดิร์น(Pre-Modern) ก็ได้ หรือศึกษาสังคมแบบอื่นๆ ที่ว่าก็ทำให้เกิดประเด็นที่แหลมคมหลากหลายมิติ
ดังนั้นอาจสรุปได้ว่าโพสต์โมเดิร์นมี 2 ความหมาย คือ ความหมายทางสังคม กับความหมายทางวิชาการ อีกแนวหนึ่งที่แยกออกมาคือ โพสต์โมเดิร์นในงานศิลปะและสถาปัตยกรรม ที่เรียกว่าศิลปะแนวหลังสมัยใหม่ ซึ่งเป็นศิลปะในขนบที่สนใจและจงใจจะหักล้างคติความเชื่อทางศิลปะแบบโมเดิร์น ที่จะลบล้างคติแบบที่พยายามแบ่งแนวและสกุลของงานศิลปะชัดเจน เป็นแนว Romantic ,Realistic ,High-Modern, classic ,abstract ประติมากรรมสามมติ เป็นต้น
ศิลปะโพสต์โมเดิร์น พยายามลบล้างพรมแดน ชนิดของศิลปะ ประเภทของศิลปะ มีการนำมาใช้ปะปนกัน ลบล้างพรมแดนของวัสดุ ลบล้างพรมแดนของศิลปะชั้นสูง ศิลปะแบบชาวบ้าน ศิลปะปัญญาชน (High-Art ,Low-Art)และความเป็นศิลปิน ไม่ใช่ศิลปิน ศิลปะ ไม่ใช่ศิลปะ
โดยความเป็นศิลปิน ในความหมายแบบโมเดิร์น ถูกจำกัดและขุมขังนิยาม ความหมายภายใต้ว่าคือผู้มีญาณ มีวิสัยทัศน์ ของการเล็งเห็น และการถ่ายทอดที่สูงส่งกว่าคนอื่นๆ ในขณะที่กระแสแนวความคิดแบบโพสต์โมเดิร์น มองว่า ศิลปินแบบนั้นไม่มี อย่างมากก็เป็นเพียงช่างฝีมืออย่างหนึ่ง ไม่ใช่อัจฉริยะ (Genious) ศิลปะชั้นสูงกับศิลปะชาวบ้านก็เลยละลายปะปนกันไปหมดไม่มีใครเหนือกว่า หรือมีอำนาจชี้ขาดคนอื่นๆรวมทั้งการทลาย ลบเลือนพรมแดนหรือเส้นแบ่งระหว่างความเป็นศิลปะ(Art)กับสิ่งที่ไม่ใช่ศิลปะ(Non-Art) ตีวอย่างเช่น การเอาผืนผ้าว่างเปล่ามาแสดง เอาแก้วน้ำมาวางบนบอร์ด เอาอาหารกระป๋องสำเร็จรูปมาจัดเรียงเป็นชั้น นั่นคือ วิธีการทำสิ่งที่ไม่ใช่ศิลปะเอาขยะ เอาวัสดุในกระบวนการผลิตซ้ำของระบบทุนนิยมให้เป็นงานศิลปะ สิ่งเหล่านี้เกิดจากกระบวนการทางความรู้และอำนาจ ที่เรียกว่า วาทกรรมที่ว่าด้วยศิลปะ ตัวอย่างเช่น ถ้าข้างหน้าติดป้ายว่าเป็นแกลอรี่ ( Gallery ) ข้างในก็ต้องเป็นเป็นงานศิลปะ (Arbitraness) ตามอำเภอใจ ดังนั้นสิ่งที่รายรอบชิ้นงานคือวาทกรรม ที่ทำให้สิ่งที่ไม่ใช่ศิลปะกลายเป็นศิลปะ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในวงการที่เป็นศิลปะหลังสมัยใหม่ สิ่งที่ทำทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งที่เรียกว่า ECLECTICISM คือ การเอาสิ่งต่างๆมาปะปนกันผสมปนเปกันเพื่อจงใจท้าทายคติคิดแบบโมเดิร์น