雖然這篇มโนทัศน์ หมายถึง鄉民發文沒有被收入到精華區:在มโนทัศน์ หมายถึง這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章
在 มโนทัศน์產品中有5篇Facebook貼文,粉絲數超過1萬的網紅sittikorn saksang,也在其Facebook貼文中提到, หลักการเขียตำราจากประสบการณ์ของผม รศ. สิทธิกร ศักดิ์แสง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เมื่...
มโนทัศน์ 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳解答
หลักการเขียตำราจากประสบการณ์ของผม
รศ. สิทธิกร ศักดิ์แสง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
เมื่อวานมีน้องๆในมหาลัยมาปรึกษากับผมในการเขียนผลงานวิชาการ น้องๆบอกว่าการเขียนตำรา มันยาก ผมบอกว่าไม่ยากหรอก วันนี้ผมเลยเขียนหลักการเขียนตำราที่เกิดจากประสบการณ์ผมเองมาเล่าสู่กันฟัง
เมื่อกล่าวถึงตำรานับเป็นผลงานทางวิชาการที่ประโยชน์การเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาเป็นอย่างมาก นับแต่ผมได้เข้าสู่วงการศึกษา ทำหน้าที่อาจารย์ผู้สอน ตั้งแต่ 2544 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน ผมมีตำรา ที่ตีพิมพ์ 4 เล่ม เกิดจากการส่งเสริมการเขียนผลงานทางวิชาการของ อาจารย์ดร.พีระพันธุ์ พาลุสุข (อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ในปี 2544 อาจารย์ท่านสั่งสอนวิธีการเขียนตำราด้วยการเริ่มต้นของการเขียนเอกสารประกอบการสอน และพัฒนาเป็นตำรา
เมื่อพิจารณาศึกษาตามเอกสารแนบท้ายประกาศ ก.พ.อ.เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. 2560 “ตำรา” หมายถึง งานวิชาการที่ใช้สำหรับการเรียนการสอนทั้งสิชาหรือเป็นส่วนหนึ่งของวิขา ซึ่งเกิดจากการนำข้อคันพบจากทฤษฎี จากงานวิจัยของผู้ขอหรือความรู้ที่ได้จากการค้นคว้าศึกษามาวิเราะห์ สังเคราะห์ รวบรวทและเรียบเรียง โดยมีมโนทัศน์ (มโนทัศน์ (Concept) หมายถึง ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับประเภทของสิ่งต่างๆ ตามความเข้าใจของแต่ละคน เช่นเข้าใจว่าสิ่งของลักษณะเช่นใดเรียกว่าของแข็ง สิ่งของลักษณะเช่นใดเรียกว่าสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตลักษณะเช่นใดเรียกว่าแมว คนลักษณะเช่นใดเรียกว่า วีรชน การกระทำลักษณะเช่นใดเรียกว่าหว่านข้าว ตลอดจนความคิดลักษณะเช่นใดเรียกว่า “วัตถุนิยม”) ที่ผู้เขียนกำหนดให้เป็นแกนกลาง ซึ่งสัมพันธ์กับมโนทัศน์ย่อยอื่นอย่างเป็นระบบ มีเอกภาพสัมพันธภาพและสารัตภาพตามหลักการเขียนที่ดี ใช้ภาษาที่เป็นมาตรฐานทางวิชาการและให้ความรู้ใหม่อันเป็นความรู้สำคัญที่มีผลให้เกิดการเปลรี่ยนแปลงต่อวงวิชาการนั้นๆ
วิธีการเขียนตำรา ของผมมีดังนี้
1.การศึกษาเลือกที่จะเขียนตำราตามที่ตนเองถนัดและได้ศึกษาตามสาขาวิชา
การเลือกตำราที่เขียน ตามที่เราถนัดในศาสตร์ตนเองเพราะจะช่วยให้เราต่อ ยอดขึ้นมาได้ จากที่เราได้เคยศึกษามาในอดีต โดยเลือกรายวิชาที่เราถนัดและถ้าเป็นตำราที่ไม่ค่อยจะใครเขียนกันจะดีมาก เพราะทำให้มีความรู้ใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องเป็นตำราในรายวิชาที่เปิดสอนในหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นวิชาพื้นฐาน วิชาแกน วิชาเลือก หรือ วิชาเลือกเสรีก็ได้
โดยหลักการเลือกเขียนตำราที่มันง่ายและเร็ว คือ
1.1 นำเอกสารประกอบการสอน เอกสารคำสอนมาพัฒนาเป็นตำรา เพราะเอกสารประกอบการสอน เอกสารคำสอนเป็นเอกสารที่เราค้นคว้ามาสอน มันง่ายต่อการพัฒนาต่อยอดเป็นตำรา
1.2 การเขียนตำราที่มีมุมมองแนวคิดใหม่ๆที่ทันต่อเหตุการณ์สถานการปัจจุบันโดยการเทียบเคียงอดีตมาสังเคราะห์
2. การวางโครงร่างเนื้อหา (สารบัญคร่าว)
การวางโครงร่างการ ตำรา ว่าต้องเขียนเรื่องอะไรบ้าง โดยการยึดหลัก วิชา ในหลักสูตรที่สอนในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น อาจนำมาจากเอกสารประกอบการสอน เอกสารคำสอน นำมาพัฒนาก็ได้
3.การค้นหาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
การค้นหาเอกสารตำรา มีได้หลายวิธี ดังนี้
3.1 วิธีการได้ข้อมูลรวดเร็วที่สุด คือ การค้นคว้าสื่อทางอินเทอร์เน๊ต ก็มีส่วนช่วยในการค้นหาที่รวดเร็ว วิธีการค้นในสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะใน google ใส่คำหรือประโยค ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ของเรื่องที่ ต้องการค้นคว้า จะได้ข้อมูลเบื้องต้นที่จะเขียนทันที แต่ต้อง จดที่มาของเอกสารนั้นด้วยเพื่อเราจะสืบค้นเพิ่มเติมได้
3.2 ค้นหาตำราหลักของรายวิชามาเป็นแบบ และค้นเพิ่มจากบรรณานุกรมท้ายของตำราเล่มนั้น ว่ามีตำราอะไร
3.3 ค้นคว้า ห้องสมุด ตามสถาบันศึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตำราที่เราเขียนซึ่งถือว่าสิ่งสำคัญมาก เพราะเราจะได้ข้อมูลที่เที่ยงตรงและสามรรถไปอ้างอิงได้ อย่างถูกต้อง และที่สำคัญในห้องสมุดจะมีเอกสารอ้างอิงที่ไม่สามารถยืมออกมาข้างนอกได้ต้องถ่ายเอกสารหรือค้นคว้าหาข้อมูลในห้องสมุดแห่งนั้นๆ
4. การบันทึกข้อมูล
การบันทึกจากอ่านหนังสือ ตำรา วิจัย เอกสารต่างๆ จากค้นคว้า โดยการเขียนจดบันทึกไว้ในสมุดหรือเอกสารต่างๆ พร้อมทั้งอ้างอิงแหล่งที่มาของเอกสาร โดยอ้างระบบนามปีหรือเชิงอรรถก็ได้
5. การเขียน การเรียบเรียง
การเขียนและการเรียบ ต้องอ่านเอกสารข้อมูลที่เรานำมาเขียนและเรียบเรียงให้เข้าแล้วเขียนตามความเข้าใจของเราเอง มันทำให้เป็นภาษาหรือสำนวนตนเอง แต่ทั้งนี้ต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล
6.ทำเป็นรูปเล่ม
นำมาเขียนเรียบเรียงเป็นบท ทำเป็นเล่มไว้ใช้สอนและสามารถนำติดตัวได้ตลอด กล่าวคือ
6.1 ทำให้เราค้นคว้าเขียนเพิ่มเติมตำรานั้นได้ทุกเวลาเมื่อพบเจอข้อมูล
6.2 เมื่อทำเป็นใช้สอนก็จะนำเอกสารเล่มนั้นติดกับตัวตลอดอ่านมัน และคิดวิเคราะห์ เขียนเสริมแต่งจากที่ค้นคว้าเพิ่มในการสอน เราจะไปประเด็นการเขียนเพิ่มเติมได้หลายทาง เช่น การค้นคว้าเพิ่มในการสอน การถามของนักศึกษา การอ่านข้อสอบของนักศึกษาในการตรวจ ซึ่งอาจทำให้พบประเด็นที่จะเขียน บทความ หรือเขียนโครงการวิจัยได้
7.การนำงานวิจัย บทความวิชาการที่เราเขียนมาใส่ในตำรา
7.1 เพิ่มเนื้อหาสาระ จากงานวิจัยที่ บทความวิชาการ ได้วิเคราะห์ สังเคาระห์ มาเขียนเป็นตำราเพิ่มเป็นตำรา ในส่วนนี้นับว่าใช้เวลานานพอสมควร เพราะการเขียนมันเป็นศาสตร์และศิลปะของผู้เขียน ที่ต้องแสดงความเป็นเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวของผู้เขียนเองสอดรับกับเนื้อหารายวิชา กล่าวคือ
7.1.1 นำงานวิจัย เช่น นำมาใส่ในตำรา การนำงานวิจัยใส่ในตำราอาจจะใส่เป็นบท หัวเรื่อง หรือเป็นตัวอย่างกรณีศึกษา เป็นต้น ทั้งนี้ต้องอ้างอิงด้วยถึงแม้เป็นงานของตนเอง
7.1.2 บทความวิชาการ บทความวิชาการที่เป็นส่วนเรื้อหาทฤษฎีหรือส่วนการวิเคราะห์ สามารถนำมาใส่ในตำรา ในแต่ละบท ในแต่ละหัวข้อ หรือ กรณีศึกษาของแต่ละเรื่องนั้นๆในตำราได้เช่นกัน ทั้งนี้ต้องอ้างอิงด้วยถึงแม้จะเป็นงานตนเอง
7.2การเขียนเนื้อหาเพิ่มเติม จะเขียนไว้ในเชิงอรรถอธิบายได้ ถ้านำไปเขียนไว้ในเนื้อหา ไม่สอดรับกัน หรือเกลื่อนกลืนกัน
7.3ควรเขียนดัชนีสืบค้น ไว้หลังบรรณานุกรม เพราะทำให้ผู้อ่านจะได้มีการค้นหาคำ หรือประโยค ที่ต้องการศึกษาในตำรา จะทำให้ผู้ที่จะค้นคว้าสืบค้นได้ง่าย รวดเร็ว เข้าใจตำราได้ดียิ่งขึ้น
อนึ่งการเขียนตำรา โดยเฉพาะตำราที่เป็นกฎหมายควรจะเขียนในสิ่งที่เป็นการได้สรุป ตามหลักวิชาการ อาจนำแนวคำพิพากษามาอธิบายสนับสนุน แต่ละหัวข้อ
8. การอัางอิงแหล่งที่มาเอกสาร
การอ้างอิงเอกสารนับเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการเขียน การอ้างอิงมี 2 แบบหลักคือ ระบบนามปี ระบบเชิงอรรถ
ดังนั้น ปัญหาการเขียนตำรามักจะพยปัญหาการลักลอบผลงานวิชาการ คือ การไม่อ้างอิงครับ
9.การเขียนบรรณานุกรม
จากที่ได้ค้นคว้าอ้างอิงในตำรา ควรเขียน เช่น
9.1 ข้อมูลที่เป็นหนังสือ ตำรา
ชื่อผู้เขียน (ปีพ.ศ.) ชื่อเรื่อง สถานที่พิมพ์ สำนักพิมพ์
9.2 ข้อมูลที่เป็นวารสาร
ชื่อผู้เขียน (ปี พ.ศ) ชื่อเรื่อง วารสารของใคร ปีที่เท่าใด ฉบับที่เท่าไหร่ จำนวนหน้าระหว่างหน้าที่ลงตีพิมพ์
9.3 ข้อมูลที่เป็นอินเทอร์เน็ต
ชื่อเวป ไซด์ สืบค้นวันไหน ปี พ.ศ
9.4 ข้อมูลที่เป็นกฎหมาย บอกชื่อทางการของกฎหมายนั้น เช่น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หรือ อาจต้องอ้างอิงในราชกิจจานุเบกษาที่ประกาศใช้กฎหมาย เป็นต้น
มโนทัศน์ 在 sittikorn saksang Facebook 的最讚貼文
ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวารสารทางวิชาการ สำหรับการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ พ.ศ. ๒๕๖๒ นั้น งานวิจัยจะต้องเผยแพร่ในวารสารวิชาการเท่านั้นหรือไม่
เมื่อวานมีการกล่าวถึงประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวารสารทางวิชาการ สำหรับการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ยกเลิกประกาศประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวารสารทางวิชาการ สำหรับการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ พ.ศ. ๒๕๕๖ และ ในประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวารสารทางวิชาการ สำหรับการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๓ ได้กำหนดเงื่อนไขการเผยแพร่ผลงานในวารสารวิชาการ ดังนี้
๑. ฐานข้อมูลระดับนานาชาติ ได้แก่ ERIC, Math SciNet, Pubmed, Scopus, Web of Science (เฉพาะในฐานข้อมูล SCIE, SSCI, และ AHCI เท่านั้น), JSTOR และ Project Muse
๒.ฐานข้อมูลระดับชาติได้แก่ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index TCI) เฉพาะวารสารที่มีชื่ออยู่ในกลุ่มที่ ๑ และกลุ่มที่ ๒
(http://www.kmutt.ac.th/jif/public_html/list%๒๐journal.php)
เกิดประเด็นคำถามถึง ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวารสารทางวิชาการ สำหรับการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ พ.ศ. ๒๕๖๒ นั้น งานวิจัยจะต้องเผยแพร่ในวารสารวิชาการเท่านั้นหรือไม่
เมื่อได้ศึกษาเอกสารแนบท้ายประกาศ ก.พ.อ.เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้อธิบายคำจำกัดความของผลงานทางวิชาการ ลักษณะการเผยแพร่และผลงานทางวิชาการ ในที่นี้จะกล่าวถึง ตำรา หนังสือ และวิจัย ดังนี้
๑.ตำรา
๑.๑ ความหมาย ของตำรา หมายถึง งานวิชาการที่ใช้สำหรับการเรียนการสอนทั้งวิชาหรือเป็นส่วนหนึ่งของวิชา ซึ่งเกิดจากการนำข้อค้นพบจากทฤษฎี จากงานวิจัยของผู้ขอหรือความรู้ที่ได้จากการค้นคว้าศึกษามาวิเคราะห์ สังเคราะห์ รวบรวมและเรียบเรียง โดยมีมโนทัศน์ (มโนทัศน์ (Concept) หมายถึง ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับประเภทของสิ่งต่างๆ ตามความเข้าใจของแต่ละคน เช่น เข้าใจว่าสิ่งของลักษณะเช่นใดเรียกว่า “ของแข็ง” สิ่งของลักษณะเช่นใดเรียกว่า “สิ่งมีชีวิต” สิ่งมีชีวิตลักษณะเช่นใดเรียกว่า “แมว” คนลักษณะเช่นใดเรียกว่า “วีรชน” การกระทำลักษณะเช่นใดเรียกว่า “หว่านข้าว” ตลอดจนความคิดลักษณะเช่นใดเรียกว่า “วัตถุนิยม”) ที่ผู้เขียนกำหนดให้เป็นแกนกลาง ซึ่งสัมพันธ์กับมโนทัศน์ย่อยอื่นอย่างเป็นระบบ มีเอกภาพสัมพันธภาพและสารัตภาพตามหลักการเขียนที่ดี ใช้ภาษาที่เป็นมาตรฐานทางวิชาการและให้ความรู้ใหม่อันเป็นความรู้สำคัญที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยแปลงต่อวงวิชาการนั้นๆ ดังนั้นตำรา จึงต้องเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ๆได้
ในประเด็นหัวข้อนี้ ได้นำมาจากการเขียนบทความวิชาการ นำมาจากงานวิจัย ถือว่าเป็นตำราที่ก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ โดยตำรานั้นต้องเขียนครอบคลุมตามคำอธิบายรายวิชา ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร เนื้อหาสาระของตำราต้องมีความทันสมัย เมื่อพิจารณาถึงวันที่ผู้ขอยื่นเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการ ทั้งนี้ผู้ขอจะต้องระบุวิชาที่เกี่ยวข้องในหลักสูตรที่ใช้ตำราเล่มที่เสนอขอตำแหน่งทางวิชาการด้วย ผลงานทางวิชาการที่เป็น “ตำรา” นี้อาจได้รับการพัฒนาขึ้นจากเอกสารคำสอน จนถึงระดับที่มีความสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งผู้อ่านอาจเป็นบุคคลอื่นที่มิใช่ผู้เรียนในวิชานั้น แต่สามารถอ่านและทำความเข้าใจในสาระของตำรานั้นด้วยตนเองได้ โดยไม่ต้องเข้าศึกษาในวิชานั้น
๑.๒ รูปแบบตำรา
เป็นรูปเล่มที่ประกอบด้วย คำนำ สารบัญ เนื้อเรื่อง การอธิบายหรือการวิเคราะห์ การสรุป การอ้างอิงและบรรณานุกรม ทั้งนี้อาจมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ทันสมัยและครบถ้วนสมบูรณ์ การอธิบายสาระสำคัญมีความชัดเจน โดยอาจใช้ข้อมูล แผนภาพ ตัวอย่างหรือกรณีศึกษาประกอบจนผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจในสาระสำคัญนั้นได้โดยเบ็ดเสร็จ
๑.๓ การเผยแพร่ตำรา
๑.๓๑ วิธีการเผยแพร่ มีวิธีการเผยแพร่ ดังนี้
๑.การเผยแพร่ด้วยวิธีการพิมพ์ โดยโรงพิมพ์ (PRINTING HOUSE) หรือสำนักพิมพ์ (PUBLISHING HOUSE) หรือ โดยการถ่ายสำเนาเย็บเป็นรูปเล่มหรือทำในรูปแบบอื่นๆ
๒.การเผยแพร่โดยสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ตัวอย่างเช่น การเผยแพร่ในรูปของซีดีรอมฯลฯ
๑.๓.๒ เงื่อนไข
๑.การเผยแพร่ดังกล่าวนั้น จะต้องเป็นไปอย่างกว้างขวางมากกว่าการใช้ในการเรียนการสอนวิชาต่างๆ ในหลักสูตรเท่านั้น จำนวนพิมพ์เป็นดัชนีหนึ่งที่อาจแสดงการเผยแพร่อย่างกว้างขวางได้ แต่อาจใช้ดัชนีอื่นวัดความกว้างขวางในการเผยแพร่ได้เช่นกัน
๒. การเผยแพร่ต้องได้รับการตรวจสอบและรับรองการเผยแพร่จากคณะกรรมการของสถาบันอุดมศึกษา คณะ และ/หรือสถาบันทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชานั้น และต้องใช้ในการเรียนการสอนมาแล้วไม่น้อยกว่า หนึ่ง ภาคการศึกษา
๒. หนังสือ
๒.๑ ความหมายของหนังสือ
หนังสือ คือ ผลงานทางวิชาการที่เรียบเรียงขึ้นโดยมีรากฐานทางวิชาการที่มั่นคง และให้ทัศนะของผู้เขียนที่สร้างเสริมปัญญาความคิด และสร้างความแข็งแกร่งทางวิชาการให้แก่สาขาวิชานั้นๆ และ/หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวเนื่อง มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงในเชิงเนื้อหาและครอบคลุม โดยไม่จำเป็นต้องสอดคล้องหรือเป็นไปตามข้อกำหนดของหลักสูตรหรือของวิชาใดวิชาหนึ่งในหลักสูตร และไม่จำเป็นต้องนำไปใช้ประกอบการเรียนการสอนในวิชาใดวิชาหนึ่ง ทั้งนี้เนื้อหาสาระของหนังสือต้องมีความทันสมัย เมื่อพิจารณาถึงวันที่จัดพิมพ์
๒.๒ รูปแบบหนังสือ
เป็นรูปเล่มที่ประกอบด้วย คำนำ สารบัญ เนื้อเรื่อง การวิเคราะห์ การสรุป การอ้างอิงและบรรณานุกรม ทั้งนี้อาจมีอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ทันสมัยและครบถ้วนสมบูรณ์ การอธิบายสาระสำคัญที่มีความชัดเจน โดยอาจใช้ข้อมูล แผนภาพ ตัวอย่างหรือกรณีศึกษาประกอบจนผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจในสาระสำคัญนั้นได้โดยเบ็ดเสร็จ
๒.๓ การเผยแพร่หนังสือ
๒.๓.๑ วิธีการเผยแพร่
มีวิธีการเผยแพร่ ดังนี้
๑.การเผยแพร่ด้วยวิธีการพิมพ์ โดยโรงพิมพ์ (PRINTING HOUSE) หรือสำนักพิมพ์ (PUBLISHING HOUSE)
๒. การเผยแพร่โดยสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ตัวอย่างเช่น การเผยแพร่ในรูปของซีดีรอม ฯลฯ
๒.๓.๒ เงื่อนไข
๑.การเผยแพร่ดังกล่าวนั้น จะต้องเป็นไปอย่างกว้างขวางมากกว่าการใช้ในการเรียนการสอนวิชาต่างๆ ในหลักสูตรเท่านั้น จำนวนพิมพ์เป็นดัชนีหนึ่งที่อาจแสดงการเผยแพร่อย่างกว้างขวางได้ แต่อาจใช้ดัชนีอื่นวัดความกว้างขวางในการเผยแพร่ได้เช่นกัน
๒. การเผยแพร่ต้องได้รับการตรวจสอบและรับรองการเผยแพร่จากคณะกรรมการของสถาบันอุดมศึกษา คณะ และ/หรือสถาบันทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชานั้น และต้องเผยแพร่สู่สาธารณชนมาแล้วไม่น้อยกว่าสี่เดือน
เมื่อได้มีการพิจารณาประเมินคุณภาพของ “หนังสือ” ไปแล้ว การนำ “หนังสือ” นั้นไปแก้ไขปรับปรุงหรือเพิ่มเติมเนื้อหาใน “หนังสือ” เพื่อนำมาเสนอขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการและให้มีการประเมินคุณภาพ “หนังสือ” นั้นอีกครั้งหนึ่งอาจกระทำได้ แต่จะต้องทำการเผยแพร่ “หนังสือ” นั้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง
๓.งานวิจัย
๓.๑ ความหมายของงานวิจัย คือ ผลงานทางวิชาการที่เป็นงานศึกษาหรืองานค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยวิธีวิทยาการวิจัยที่เป็นที่ยอมรับในสาขาวิชานั้นๆ และมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล คำตอบหรือข้อสรุปรวมที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าทางวิชาการ หรือเอื้อต่อการนำวิชาการนั้นไปประยุกต์
๓.๒ รูปแบบวิจัยที่เผยแพร่
อาจจัดได้เป็น ๒ รูปแบบ ดังนี้
๓.๒.๑ รายงานการวิจัย
รายงานวิจัย ที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์และชัดเจนตลอดทั้งกระบวนการวิจัย (Research Process) อาทิ การกำหนดประเด็นปัญหา วัตถุประสงค์ การทำวรรณกรรมปริทัศน์ สมมติฐาน การเก็บรวบรวมข้อมูล การพิสูจน์สมมติฐาน การวิเคราะห์ข้อมูล การประมวลสรุปผลและให้ข้อเสนอแนะ การอ้างอิง และอื่นๆ
๓.๒.๑ บทความวิจัย
บทความวิจัย ที่ประมวลสรุปกระบวนการวิจัยในผลงานวิจัยนั้น ให้มีความกระชับและสั้น สำหรับการนำเสนอในการประชุมทางวิชาการ หรือในวารสารทางวิชาการ
๓.๓ การเผยแพร่งานวิจัย
เผยแพร่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
๓.๑.๑ เผยแพร่ในรูปของบทความวิจัยในวารสารทางวิชาการ ทั้งนี้วารสารทางวิชาการนั้น อาจเผยแพร่เป็นรูปเล่มสิ่งพิมพ์หรือเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มีกำหนดการเผยแพร่อย่างแน่นอนชัดเจน
๓.๑.๒ เผยแพร่ในหนังสือรวมบทความวิจัยในรูปแบบอื่นที่มีการบรรณาธิการประเมินและตรวจสอบคุณภาพ
๓.๑.๓ นำเสนอเป็นบทความวิจัยต่อที่ประชุมทางวิชาการ ซึ่งภายหลังจากการประชุมทางวิชาการได้มีการบรรณาธิการและนำไปรวมเล่มเผยแพร่ในหนังสือประมวลผลการประชุมทางวิชาการ (Proceedings) ของการประชุมทางวิชาการระดับชาติหรือนานาชาติ
๓.๑.๔ การเผยแพร่รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ที่มีรายละเอียดและความยาว ต้องแสดงหลักฐานว่าได้ผ่านการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิและแสดงหลักฐานว่าได้เผยแพร่ไปยังวงวิชาการและวิชาชีพในสาขาวิชานั้น และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องในประเทศและต่างประเทศอย่างกว้างขวาง
เมื่อได้เผยแพร่ตามลักษณะข้างต้นและได้มีการพิจารณาประเมินคุณภาพของ “งานวิจัย” นั้นแล้ว การนำ “งานวิจัย” นั้น มาแก้ไขปรับปรุงหรือเพิ่มเติมส่วนใด ส่วนหนึ่ง เพื่อนำมาเสนอขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ และให้มีการประเมินคุณภาพ “งานวิจัย” นั้นอีกครั้งหนึ่งจะกระทำไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตามถ้าดูประกาศ การยื่นตำแหน่งทางวิขาการ ในอนาคต ที่มีผลบังคับใช้ ๑ พ.ย. ๒๕๖๑ บทความทางวิชาการไม่สามารถนำไปขอตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ได้ แต่สามารถประกันคุณภาพได้ สามารถ นำไปรวบรวมเป็นหนังสือและสามารถนำไปใช้ขอตำแหน่งทางวิชาการได้ ดังนั้นการเขียนหนังสือ ที่มาจากการเขียนบทความนำมารวบรวมวิเคราะห์สังเคราะห์ โดยนำมาเรียงร้อยเป็นเรื่อง เป็นบท เชื่อมโยงกัน เป็นหนังสือมักจะเป็นหนังสือที่มีคุณภาพ ซึ่งในปัจจุบันจะมีคนเขียนหนังสือในลักษณะนี้มีอยู่มากและเป็นที่นิยมในสายสังคมศาสตร์ แต่ยกเว้น เฉพาะสายสังคมศาสตร์ให้บทความวิชาการกับงานวิจัยสามารถขอตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ได้
สรุป
ดังนั้นสรุปได้ว่า ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวารสารทางวิชาการ สำหรับการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ พ.ศ. ๒๕๖๒ นั้น นี้มีผลบังคับใช้เฉพาะในเรื่องการเผยแพร่งานวิจัยในวารสารเท่านั้นที่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามประกาศนี้
ส่วนการเผยแพร่ นำเสนอเป็นบทความวิจัยต่อที่ประชุมทางวิชาการ ซึ่งภายหลังจากการประชุมทางวิชาการได้มีการบรรณาธิการและนำไปรวมเล่มเผยแพร่ในหนังสือประมวลผลการประชุมทางวิชาการ (Proceedings) ของการประชุมทางวิชาการระดับชาติหรือนานาชาติ หรือ การเผยแพร่รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ที่มีรายละเอียดและความยาว ต้องแสดงหลักฐานว่าได้ผ่านการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิและแสดงหลักฐานว่าได้เผยแพร่ไปยังวงวิชาการและวิชาชีพในสาขาวิชานั้น และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องในประเทศและต่างประเทศอย่างกว้างขวาง ไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับของประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวารสารทางวิชาการ สำหรับการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ พ.ศ. ๒๕๖๒
มโนทัศน์ 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳解答
ถาม-ตอบ เทคนิคการเขียนตำรา
สิทธิกร ศักดิ์แสง
เทคนิคการเขียนตำราผู้เขียน ได้รวบรวมมาจากงานเขียนของ ศ. ดร.ชุติมา สัจจานันท์ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าการเขียนตำรามีความสำคัญอย่างยิ่งในระดับอุดมศึกษาตำราเป็นผลงานวิชาการที่สำคัญที่มีความสำคัญต่อการศึกษา การเรียนการสอนตามหลักสูตรระดับอุดมศึกษา ในฐานะเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ การสื่อสารองค์ความรู้ การค้นพบทางวิชาการและเผยแพร่วิทยาการให้ปรากฏ ในสังคมความรู้และการเรียนรู้ ตำราจึงมีคุณค่าและเป็นประโยชน์อย่างกว้างขวางต่อการศึกษาและการให้ความรู้ทางวิชาการแก่ผู้สนใจทั่วไป
ถาม ตำราหมายถึงอะไร
ตอบ ความหมายของตำรา ตามเอกสารแนบท้าย ประกาศ กพอ. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. 2560 ให้คำนิยามความหมายของตำรา
ตำรา หมายถึง งานวิชาการที่ใช้สำหรับการเรียนการสอนทั้งวิชาหรือเป็นส่วนหนึ่งของวิขา ซึ่งเกิดจากการนำข้อค้นพบจากทฤษฎี จากงานวิจัยของผู้ขอหรือความรู้ที่ได้จากการค้นคว้าศึกษามาวิเราะห์ สังเคราะห์ รวบรวมและเรียบเรียง โดยมีมโนทัศน์ (มโนทัศน์ (Concept) หมายถึง ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับประเภทของสิ่งต่างๆ ตามความเข้าใจของแต่ละคน เช่น เข้าใจว่าสิ่งของลักษณะเช่นใดเรียกว่า “ของแข็ง” สิ่งของลักษณะเช่นใดเรียกว่า “สิ่งมีชีวิต” สิ่งมีชีวิตลักษณะเช่นใดเรียกว่า “แมว” คนลักษณะเช่นใดเรียกว่า “วีรชน” การกระทำลักษณะเช่นใดเรียกว่า “หว่านข้าว” ตลอดจนความคิดลักษณะเช่นใดเรียกว่า “วัตถุนิยม”) ที่ผู้เขียนกำหนดให้เป็นแกนกลาง ซึ่งสัมพันธ์กับมโนทัศน์ย่อยอื่นอย่างเป็นระบบ มีเอกภาพสัมพันธภาพและสารัตภาพตามหลักการเขียนที่ดี ใช้ภาษาที่เป็นมาตรฐานทางวิชาการและให้ความรู้ใหม่อันเป็นความรู้สำคัญที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยแปลงต่อวงวิชาการนั้นๆ ดังนั้นตำรา จึงต้องเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ๆได้
นอกจากความหมายของตำราตามคำนิยามเอกสารแนบท้ายประกาศ ก.พ.อ. ดังกล่าวแล้ว บันลือ พฤกษะวัน และดำรง ศิริเจริญ (2533 : 9) อธิบายไว้ว่า
1) หนังสือที่เขียน (แต่ง) แปลหรือเรียบเรียง ตรงกับหลักสูตรวิชาใดวิชาหนึ่งที่เปิดสอนในระดับอุดมศึกษา เช่น การประถมศึกษา หลักรัฐศาสตร์ เทคโนโลยีทางการศึกษา และอื่น ๆ เป็นต้น หนังสือดังกล่าว นิสิต นักศึกษาใช้เรียน และครูอาจารย์ใช้เป็นแนวทางในการสอนวิชานั้น ๆ
2) คู่มือการสอนวิชาต่าง ๆเช่นคู่มือครูสอนภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษา คู่มือการถ่ายรูป หรืออื่น ๆ ซึ่งให้กับผู้เรียน (นิสิตนักศึกษา) หรือนิสิตนักศึกษานำไปใช้เชิงปฏิบัติได้
3)หนังสือที่เขียนเรื่องเฉพาะมีเนื้อหาสาระสำคัญเฉพาะเรื่องซึ่งผู้เรียนสนใจค้นคว้ารวบรวม เช่น เมืองพิษณุโลก วัดเก่าในเมืองพิจิตร และอื่น ๆ หนังสือประเภทนี้ก็จัดได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิชาที่สอนในมหาวิทยาลัย วิทยาลัยหรือเป็นสิ่งที่นิสิตนักศึกษา ครู อาจารย์ ให้ศึกษาค้นคว้าเพื่อความลึกซึ้งเฉพาะเรื่อง และเกี่ยวข้องกับวิชาใดวิชาหนึ่งที่เปิดสอนในสถาบันก็ถือว่าเป็นตำราได้เช่นกัน
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (2522: 6) ให้ความหมายว่า ตำรา คือ หนังสือซึ่งว่าด้วยความรู้ในสาขาใดสาขาหนึ่ง เขียนขึ้นโดยมีข้อมูลที่ได้กลั่นกรองแล้วจากสิ่งตีพิมพ์ปฐมภูมิและอื่น ๆ โดยมีจุดประสงค์ที่สำคัญเพื่อสอนให้รู้วิทยาศาสตร์ในสาขานั้น ๆ ตามระดับต่าง ๆ แล้วแต่จุดประสงค์ของตำรา ลักษณะของตำราควรมีความหนาอย่างน้อย 100 หน้ากระดาษพิมพ์ ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้คือ คำนำ สารบัญ สัญลักษณ์ และคำย่อที่ใช้ในตำรา เนื้อเรื่อง ภาคผนวก เอกสารอ้างอิง หรือบรรณานุกรม คำอภิธานศัพท์ และดรรชนีเนื้อเรื่อง
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ตำราเป็นหนังสือวิชาการ อาจเป็นงานเขียน เรียบเรียง หรือแปล ที่จัดทำเป็นรูปเล่มหนังสือวิชาการเพื่อให้ความรู้พื้นฐาน ความรู้เฉพาะด้าน เฉพาะเรื่อง ในสาขาใดสาขาหนึ่ง โดยเขียนขึ้นจากการค้นคว้า วิจัย เพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าแก่ผู้ใช้
ถาม ลักษณะสำคัญของตำราเป็นอย่างไร
ตอบ ได้มีผู้แสดงความคิดเห็นลักษณะของตำราไว้อย่างกว้างขวาง ลักษณะที่ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญตามแนวความคิดนั้น คือในฐานะที่เป็นเครื่องช่วยสอน ตำราจะต้องเสนอเนื้อหาวิชาอย่างมีระเบียบแบบแผน ไม่ว่าเนื้อหาวิชาจะยุ่งยากสลับซับซ้อนอย่างไร ก็ควรจะต้องนำผู้อ่านไปสู่วัตถุประสงค์โดยเริ่มจากเรื่องง่าย ๆ เป็นพื้นฐานไปสู่เรื่องที่ยากซับซ้อนขึ้นจากเรื่องที่ผู้อ่านคุ้นเคยไปสู่เรื่องที่ผู้อ่านไม่คุ้นเคย และจากเรื่องที่เป็นรูปธรรมไปสู่เรื่องที่เป็นนามธรรม ควรมีคำจำกัดความของศัพท์ใหม่ ๆ และอธิบายอย่างละเอียดเมื่อเขียนถึงครั้งแรก แนวคิดที่เสนอต่อผู้อ่านค่อย ๆ พัฒนาขึ้นโดยให้อรรถาธิบายในรูปแบบต่าง ๆ แผนที่ แผนภูมิ ตาราง กราฟ จะต้องอยู่ในที่พอเหมาะกับเนื้อหาเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น ทั้งนี้จะต้องระลึกเสมอว่าวัตถุประสงค์สำคัญของหนังสือ ตำรา คือการเสนอข้อเท็จจริงให้แนวความคิดขึ้นพื้นฐานเพื่อให้ผู้อ่านได้ศึกษาค้นคว้าต่อด้วยตนเอง อย่างไรก็ดีมีข้อจำกัดอยู่ที่ว่าไม่สามารถให้ข่าวสารที่ทันสมัยได้เช่นเดียวกับ เอกสารสิ่งพิมพ์ประเภทวารสาร ฉะนั้นการแก้ไขปรับปรุงครั้งต่อ ๆ ไปจึงจำเป็นที่จะต้องรวมแนวความคิดจากวารสารและเอกสารใหม่ ๆ เพิ่มเติมลงไปด้วย (McCaffrey 1971: 210)
ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ (2523: 5-6) ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับลักษณะของตำราไว้ว่า
1.เป็นหนังสือที่มุ่งให้ความรู้ในการเขียนตำราผู้เขียนมุ่งให้ความรู้มากกว่าให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน แต่ถ้าผู้เขียนสามารถก็ควรมีวิธีเขียนที่ให้ความสะดวกแก่ผู้อ่าน
2.มีการลำดับขั้นตอน โดยไม่คำนึงถึงศิลปการประพันธ์ มุ่งให้ความสะดวกแก่การเรียนวิชาที่บรรจุอยู่ในหนังสือนั้น
3.ใช้ศัพท์และสำนวนที่มีความหมายเชิงวิชาการ ควรจะต้องมีการนิยามศัพท์ที่ให้ความหมายตามที่จะกำหนดเพื่อใช้ในการเรียนตำรานั้น และต้องใช้ศัพท์ในความหมายนั้นให้เสมอต้นเสมอปลายตลอดเรื่อง
4. ความรู้ที่บรรจุในหนังสือนั้นจะต้องเป็นความรู้ที่คนในวงการเดียวกันรับรองแล้ว ถ้ามีข้อความใดที่ยังอยู่ระหว่างการโต้แย้ง จะต้องบอกแง่คิดทั้งสองแง่หรือมากกว่าสองประเด็นนั้น หากข้อความใดเป็นข้อสังเกตของผู้เขียนเอง หรือข้อคิดเห็นของผู้ใดก็ตาม ผู้เขียนจะต้องบอกไว้
5. ข้อความใด ซึ่งยังไม่เป็นที่ประจักษ์แพร่หลายในวงวิชาการ ที่หนังสือนั้นนำมากล่าวไว้ ผู้เขียนจะต้องบอกแหล่งที่มาของความรู้นั้น เพื่อผู้อ่านจะทดสอบไว้ และสามารถค้นคว้าหาความรู้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นต่อไปได้
ปิฎฐะ บุนนาค (2523: 32-37) ได้กล่าวถึงลักษณะของตำราไว้ดังนี้
1.รูปเล่มควรจะเป็นแบบลักษณะมาตรฐานสากลทั่ว ๆ ไป มีสภาพคงทนพอสมควร
2.การจัดลำดับเนื้อหาสาระหรือบทต่าง ๆ ในเล่มควรเป็นไปด้วยดี สะดวกในการค้นคว้า มีสารบัญ หรือดรรชนี เพื่อค้นคว้าหารายละเอียดได้ง่าย
3.ใช้ภาษาถ้อยคำ และศัพท์เทคนิคให้เหมาะสมกับระดับของผู้อ่าน เขียนตรงกับวัตถุประสงค์ในการแต่งหนังสือ ใจความกะทัดรัดได้ความแน่นอน ศัพท์เทคนิคภาษาไทยที่ใช้ควรวงเล็บภาษาต่างประเทศไว้ด้วย เพื่อจะได้เข้าใจความหมายที่ถูกต้อง
4.หากมีรูปภาพเขียน ภาพถ่าน รูปแผนภูมิ กราฟ อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้จัดวางหน้าในลักษณะที่ใกล้เคียงหรือสัมพันธ์กับเรื่อง หรือเนื้อหาสาระ แต่ละรูปควรมีเลขที่เรียงลำดับไว้เพื่อสะดวกแก่ผู้ใช้ ภาพทุกชนิดจะต้องชัดเจน และเน้นส่วนสำคัญที่ต้องการเน้น
5.มีเอกสารอ้างอิงให้ทราบว่าข้อความหรือเนื้อหาสาระในหนังสือนั้น ได้ยึดถือหรือได้ข้อมูลมาจากไหนบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านตามไปหาเอกสารอ้างอิงตรวจสอบดู หรือให้รู้รายละเอียดในเอกสารอ้างอิงนั้นมากขึ้น
6.เนื้อหาสาระเชื่อถือได้ นำไปปฏิบัติได้ เกิดประโยชน์ตามต้องการ
ถาม ลักษณะที่ดี ของการเขียนตำรา เป็นอย่างไร
ตอบ เมื่อทราบถึงลักษณะของตำราดังกล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นลักษณะด้านวิธีการนำเสนอและเนื้อหา ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญในการเขียนหนังสือวิชาการ เพราะด้วยตำราและหนังสือวิชาการที่มีคุณภาพนั้นนอกจากในเนื้อหาสาระที่เชื่อถือได้แล้ว ผู้เขียนจะต้องมีความสามารถ ความชำนาญ และความเข้าใจเป็นอย่างดีในเรื่องที่ตนเขียน ผู้เขียนที่ได้รับการศึกษาอบรมมาในเรื่องที่เขียน รวมทั้งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้วยแล้วจะทำให้ข้อมูลที่เขียนนั้นเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ อันเป็นคุณลักษณะตำราที่ดี
ปรีชา ช้างขวัญยืน (2539) อธิบายลักษณะของตำราที่ดีสรุปได้ว่าควรให้ความรู้ใหม่ ทั้งการค้นพบและการเข้าใจทางวิชาการในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นผลิตผลจากการศึกษาของผู้เขียนเองเป็นผลจากการวิจัยเฉพาะเรื่อง หรือการนำผลการวิจัยเฉพาะเรื่องหรือการนำผลการวิจัยมาประมวลแยกแยะประเด็นและเสนอแนวคิด ข้อมูลที่ปรากฏควรมีความแคบแต่ลึก เพราะการศึกษาสมัยใหม่จะไม่เป็นแบบสำเร็จรูปอยู่ในตำราเล่มเดียวอีกต่อไป มีเนื้อหาซึ่งเป็นพื้นความรู้ การวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ตำราเฉพาะเรื่องส่วนมากจะโยงเนื้อหาและแนวคิดกับแนวคิดต่อเนื่องกันลงไปในทางลึก ส่วนตำราพื้นฐานจะโยงเนื้อหาสำคัญและเรื่องหลักทางวิชานั้นในแนวกว้าง การเขียนตำราแนวลึกควรจำกัดเนื้อหาให้เหลือเฉพาะส่วนที่สัมพันธ์กับเรื่องหลักที่ผู้เขียนพิจารณาโดยตรง ส่วนการเขียนตำราแนวกว้าง ควรจำกัดความลึกซึ้งของเรื่องที่พูดแต่ละเรื่องไม่ให้ศึกษาหรือลงรายละเอียดมากเกินไป ผู้เขียนควรให้ความรู้ลึกซึ่งเกี่ยวกับหลักการ ทฤษฎี ให้ความรู้ใหม่ มีการตีความ การวิพากษ์วิจารณ์แบบใหม่ การเสนอความคิดเห็นใหม่หรือทฤษฏีใหม่ หลายแง่หลายมุม มีการอ้างอิงอย่างมีคุณภาพ หมายถึงการอ้างอิงอย่างมีจุดหมายเท่าทีจำเป็นและอ้างอิงถึงต้นตอของความรู้เมื่อนำผลงานหรือแนวคิดของผู้อื่นมาใช้ก็ควรอ้างอิงอย่างถูกต้องตามแบบแผนสากล ภาษาที่ใช้ในการเขียนควรเป็นภาษามาตรฐาน แจ่มแจ้ง ชัดเจน กระชับรัดกุม รูปเล่มควรมีขนาด 8 หน้ายกหรือ A4 มีส่วนประกอบของตำราครบถ้วน มีเครื่องมือช่วยอธิบายเนื้อหา เช่น ตาราง แผนภูมิ รูปภาพ แผนที่ เพื่อช่วยให้เข้าใจเนื้อหาดียิ่งขึ้น
ตำราที่ดีตามหลักการที่นำเสนอโดยบันลือ พฤกษะวัน และดำรง ศิริเจริญ (2533) คือ ตำราที่มีความลึกซึ้งในการเขียน ให้ความรู้แปลก ๆ ใหม่ ๆ เขียนจากการผสมผสานผลการวิจัยหลาย ๆ เรื่อง เนื้อหาวิธีหรือเรื่องราวที่เสนอจะต้องเป็นปัจจุบัน แสดงให้เป็นวิวัฒนาการของเนื้อหา เรื่องราว ให้ความรู้ ความจริง เป็นความจริงที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ผ่านการตรวจสอบ ระบุแหล่งอ้างอิงในการเขียน ช่วยขยายประสบการณ์แก่ผู้อ่านอย่างกว้างขวาง มีส่วนประกอบในการนำเสนอได้แก ภาพ แผนภูมิ แผนสถิติ ซึ่งจะให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้อย่างชัดเจนมากขึ้น มีลักษณะที่ประกอบด้วยคำนำ สารบัญ เนื้อเรื่อง สรุป การอ้างอิงอย่างมีระบบ
ถาม เทคนิควิธีการเขียนตำราให้เป็นที่ยอมรับในวงวิชาการมีขั้นตอนและวิธีการอย่างไร
ตอบ. การเขียนตำรามีขั้นตอนและเทคนิคการเขียนเช่นเดียวกับการเขียนงานเขียนทางวิชาการโดยทั่วไป แต่เนื่องจากตำราเป็นผลงานทางวิชาการหรือหนังสือวิชาการที่มีความสำคัญ ผู้เขียน ผู้เรียบเรียง หรือผู้แปลจึงต้องมีความรู้และประสบการณ์สูงในเรื่องที่เขียน มีการศึกาค้นคว้าอย่างลึกซึ้ง และมีความสามารถในการเรียบเรียงและนำเสนอ อย่างไรก็ดีตำราที่ดีมีประเด็นที่ควรพิจารณาดังนี้
1. การเลือกเรื่อง ตำราที่น่าสนใจควรมีเอกลักษณ์หรือจุดเด่น ซึ่งแตกต่างจากตำราที่ปรากฎโดยทั่วไปในตลาดหนังสือ เอกลักษณ์หรือจุดเด่นอาจเริ่มตั้งแต่ การเลือกเรื่อง ซึ่งนำไปสู่การตั้งชื่อเรื่อง การกำหนดกรอบแนวคิด ขอบเขตของเรื่อง โครงเรื่อง เนื้อหาสาระ และการนำเสนอ
2.การตั้งชื่อเรื่อง และการกำหนดขอบเขตของเรื่อง. ชื่อเรื่องของตำรา ควรใช้ภาษาวิชาการ ชัดเจน เข้าใจง่าย ระบุขอบเขตเนื้อหา หรือกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น. ภาษาอังกฤษสำหรับครูการเขียนเพื่อการสื่อสารธุรกิจ
มีข้อสังเกต ว่าตำราที่มีขอบเขตที่เหมาะสม แคบแต่ลึก จะน่าสนใจกว่าตำราที่กว้างและผิวเผิน
3. การกำหนดโครงเรื่อง โครงเรื่องเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของงานก่อสร้าง ซึ่งผู้เขียนหรือผู้เรียบเรียงสามารถกำหนดให้น่าสนใจ มีเอกลักษณ์หรือจุดเด่นได้เช่นเดียวกับการออกแบบ โครงเรื่องแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของเรื่องและกรอบแนวคิด ซึ่งย่อมต้องมีข้อมูลจากการเลือกเรื่อง ชื่อเรื่อง และจุดมุ่งหมายของเรื่อง ทั้งจุดมุ่งหมายทั่วไป และจุดมุ่งหมายเฉพาะ รวมถึงกลุ่มเป้าหมายและประเภทของตำรา
โครงเรื่องเป็นกรอบกำหนดการคัดเลือกข้อมูล และการนำเสนอ โครงเรื่องที่ดีนำมาสู่ความสมบูรณ์ ลุ่มลึกของเนื้อหา ความแจ่มแจ้ง ชัดเจน ในการลำดับความคิด การนำเสนอและการอ่าน
4. เนื้อหาและการนำเสนอเนื้อหา ซึ่งเนื้อหา คือ “หัวใจของตำรา” ในการประเมินคุณภาพของตำราหรือหนังสือวิชาการที่เป็นงานเขียนหรือเรียบเรียง โดยทั่วไปจะมุ่งเน้นที่เนื้อหา กล่าวคือ เนื้อหาควรเสนอความรู้ใหม่หรือองค์ความรู้ใหม่ มีความถูกต้อง ความทันสมัย ความสมบูรณ์ ลุ่มลึกของเนื้อหา
การนำเสนอเนื้อหา มีวิธีการนำเสนอ โดยการบรรยาย อธิบาย การอ้างเหตุผล การใช้ภาษาที่เป็นภาษาวิชาการที่ดี กะทัดรัด ชัดเจน อ่านง่าย มีเอกภาพ สัมพันธภาพ และสารัตภาพ รวมทั้งมีเครื่องมือช่วยอธิบาย เช่น ภาพประกอบ ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ แผนที่ ที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มความเข้าใจและความน่าสนใจ
อนึ่ง มีข้อสังเกตในด้านเนื้อหาและการนำเสนอเนื้อหาตำรานั้น จะต้องมีการศึกษาค้นคว้าอย่างลึกซึ้ง จึงต้องนำเสนอในหลายแง่มุม มีการวิเคราะห์ประเด็นจำแนกแยกแยะ เชื่อมโยงกรอบแนวคิด ทฤษฏี และเสนอความเห็น แนวคิด อันทำให้เกิดความรู้ใหม่ อันเป็นจุดเด่นของตำราหรือหนังสือวิชาการนั้น ตำราหลายเรื่องเขียนหรือเรียบเรียงจากผลการวิจัย ทำให้เนื้อหาที่เกิดจากการค้นพบทางวิชาการใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังต้องมีการอ้างอิงอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ
5. ส่วนประกอบและรูปเล่มของตำรา ซึ่ง ตำราประกอบด้วยส่วนนำ ส่วนเนื้อหา และส่วนท้าย และในแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังนี้
ส่วนนำ ประกอบด้วย ใบรองปก หน้าปกใน คำนำ สารบาญ
ส่วนเนื้อหา แบ่งเป็นบทและเรื่อง
ส่วนท้าย ประกอบด้วย บรรณานุกรม ภาคผนวก ประวัติผู้เขียนและหนังสือต่างประเทศมักจะมีดรรชนี (Index) ท้ายสุด
เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นหา จุดเน้นที่สำคัญในเรื่องส่วนประกอบของตำราที่ควรให้ความสำคัญ คือหน้าปกในควรมีข้อมูลทางบรรณานุกรมที่สมบูรณ์ ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับผู้จัดพิมพ์ สำนักพิมพ์ หรือสถาบันที่พิมพ์ รวมทั้งรายละเอียดการจัดพิมพ์ เช่น โครงการตำราของมหาวิทยาลัย เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้แสดงถึงความเชื่อถือได้ของตำราหรือหนังสือวิชาการนั้นได้ เพราะสำนักพิมพ์หรือสถาบันที่มีมาตรฐานจะมีกระบวนการพิจารณาและควบคุมคุณภาพก่อนการจัดพิมพ์
ครั้งที่พิมพ์และปีที่พิมพ์ แสดงถึงความทันสมัยและความแพร่หลาย ถ้ามีการพิมพ์และปรับปรุงหลายครั้ง ข้อมูลในส่วนนี้เป็นประโยชน์ในการประเมินคุณค่าและความทันสมัยของเนื้อหาด้วย
ข้อมูลเลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ (International Standard Book Number: ISBN)ผู้เขียนหรือผู้จัดพิมพ์สามารถขอเลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือได้จากหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งจะกำหนดเลขให้หนังสือแต่ละเล่ม เป็นการจดทะเบียนหนังสือและเลขมาตรฐานสากลดังกล่าวโดยทั่วไปจะพิมพ์ไว้ที่ด้านหลังหน้าปกใน
ข้อมูลบัตรรายการในเล่ม ผู้จัดพิมพ์หรือสำนักพิมพ์หลายแห่งจัดทำข้อมูลบัตรรายการไว้ในด้านหลังหน้าปกใน ซึ่งเป็นข้อมูลสำหรับห้องสมุดด้วย
นอกจากนี้ควรให้ความสนใจในเรื่องกระดาษ รูปเล่มของตำรา ควรใช้กระดาษดีโดยทั่วไปจะใช้กระดาษปอนด์ ปกใช้กระดาษหนาพอสมควร มีการออกแบบปกที่สื่อสารให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระ เน้นความเรียบง่าย ไม่ต้องมีหลายสี ขนาดของตำราโดยทั่วไปมีขนาดเอ 5 (53/4นิ้ว x81/4 นิ้ว) หรือ เอ 4 (81/4 นิ้ว x113/4นิ้ว)
ถาม การประเมินระดับคุณภาพของตำรามีเกณฑ์กำหนดไว้อย่างไร
ตอบ ตามเอกสารแนบท้าย ประกาศ กพอ. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. 2560 ไว้ดังนี้
“ระดับดี” เป็นตำราที่มีเนื้อหาสาระถูกตัองสมบูรณ์และทันสมัย มีแนวคิดและการนำเสนอที่ชัดเจนเป็นประโยชน์ในการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา
“ระดับดีมาก “ ใช้เกณฑ์เดียวกับระดับดี โดยมีข้อกำหนดด้านคุณภาพเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
1.มีการสังเคราะห์และเสนอความรู้หรือวิธีการที่ทันต่อความก้าวหน้าทางวิชาการและเป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการ
2.มีการสอดแทรกความคิดริเริ่มและประสบการณ์หรือผลงานวิจัยที่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน
3.สามารถนำไปใช้เป็นแหล่งอ้างอิงหรือนำไปปฏิบัติได้
“ระดับดีเด่น “ใช้เกณฑ์เดียวกับระดับดีมาก โดยมีข้อกำหนดด้านคุณภาพเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
1.มีลักษณะเป็นงานบุกเบิกทางวิชาการในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
2.มีการกระตุ้นให้เกิดความคิดและค้นคว้าต่อเนื่อง
3.เป็นที่เชื่อถือและยอมรับในวงวิชาการหรือวิชาชีพที่เกี่ยวข้องในระดับชาติและ/ หรือระดับนานาชาติ
ถาม งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับตำรากับตำราได้หรือไม่ เกี่ยวข้องอย่างไร
ตอบ งานวิจัยเกี่ยวข้องกับตำราแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ดีของตำราในแง่มุมต่าง ๆ ที่ได้มาจากการวิเคราะห์สังเคราะห์ เกิดองค์ความรู้ใหม่ในตำรา จึงถือว่ามีความสำคัญอน่างมาก
ถาม ข้อบกพร่องในการเขียนตำรา ส่วนใหญ่จะมีข้อบกพร่องในเรื่ิงใด
ตอบ ตำราบางส่วนยังมีวิธีการอ้างอิงเอกสารที่ไม่ถูกต้องตามหลักการอ้างอิง ตลอดจนรูปแบบการลงบรรณานุกรม ยังไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ข้อมูลของตำราบางส่วนยังไม่ทันสมัย ควรมีการจัดพิมพ์ฉบับแก้ไข ปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัยอยู่เสมอ
ขาดเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการค้นหาความหมาย คือ อภิธานศัพท์ เนื่องจากมีศัพท์ต่างประเทศปนอยู่เป็นจำนวนมาก ควรมีการรวบรวมความหมายของคำศัพท์นั้น มาไว้ด้วยกัน
กระดาษที่ใช้ส่วนมากแม้จะมีคุณภาพดี แต่บางเล่มกระดาษบางเห็นตัวอักษรของด้านหลัง ทำให้ความกระจ่างชัดในการอ่าน (legibility) ลดลง
ภาพประกอบที่ไม่ชัดเจน พร่ามัว ยังมีอยู่บ้าง ตาราง หรือแผนภูมิเล็ก มีรายละเอียดภายในไม่ชัดเจน
การเข้าเล่มบางส่วนไม่แข็งแรงทนทาน หลุดง่ายไม่เหมาะต่อการหยิบอ่านบ่อยครั้ง
ถาม การประเมินค่าตำรา โดยหลักเขามีเกณฑ์ประเมินอย่างไร
ตอบ ชุติมา สัจจานนท์ และคณะ(2542) พัฒนาเกณฑ์การประเมินค่าตำรา พบว่ามีประเด็นหลักตามลำดับค่าคะแนนดังนี้
เนื้อหาสาระ ผู้เขียนและผู้จัดพิมพ์ ผู้จัดทำ การนำเสนอ รูปเล่ม และการพิมพ์ รวมทั้งค่าคะแนนในประเด็นย่อยใกล้เคียงกัน ซึ่งสอดคล้องกับความหมายและลักษณะของตำราที่ดีมีคุณภาพตามแนวทางที่นำเสนอโดย ชุติมา สัจจานันท์ (2533) บันลือ พฤกษะวัน และดำรง ศิริเจริญ (2533) ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ (2523) ปรีชา ช้างขวัญยืน (2539) ปิฏฐะ บุนนาค (2523)
นอกจากนี้การกำหนดคะแนนเกณฑ์การประเมินค่าตำรา ประเด็นย่อยหลายประเด็นมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ประเด็นเนื้อหาสาระของตำรา ให้คะแนนสูงในด้านการเสนอองค์ความรู้ ทรรศนะ หรือประเด็นใหม่ การเสนอแนวคิดเชิงวิเคราะห์และสังเคราะห์ มีความถูกต้อง มีข้อมูล และหลักฐาน มีความทันสมัย มีความลึกซึ้งครบถ้วนสมบูรณ์ การกำหนดคะแนนเช่นนี้สอดคล้องกับลักษณะของตำราที่ดีมีคุณภาพตามเกณฑ์ของทบวงมหาวิทยาลัย (2542) ปรีชา ช้างขวัญยืน (2539) เกณฑ์การคัดเลือกตำราเพื่อจัดพิมพ์ของโครงการส่งเสริมการแต่งตำราของมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ การมอบรางวัลตำรา TTF Award ของมูลนิธิโตโยต้าแห่งประเทศไทย และผลการวิจัยของ ฉวีวรรณ สวัสดี (2521) ซึ้งล้วนเน้นประเด็นเนื้อหาสาระเป็นหลัก
การประเมินคุณค่าตำราจากผลการวิจัยที่นำเสนอโดยชุติมา สัจจานันท์และคณะ (2542:240-243) ครอบคลุม 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ ผู้เขียนและผู้จัดพิมพ์ เนื้อหาสาระ การนำเสนอ และรูปเล่มและการพิมพ์ โดยประเด็นเนื้อหาสาระมีคะแนนมากที่สุด ประเด็นผู้เขียนและผู้จัดพิมพ์ และประเด็นการนำเสนอ มีคะแนนรองลงมาเท่ากัน ส่วนประเด็นรูปเล่มและการพิมพ์ มีคะแนนน้อยที่สุด
สรุป
ตำราเป็นผลงานทางวิชาการที่สำคัญประการหนึ่ง มีความหมาย ลักษณะและเทคนิคการเขียนแบบงานเขียนทางวิชาการ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ ทฤษฎี และหลักการทางวิชาการวิชาชีพ การศึกษาค้นคว้า หาความรู้ และประสบการณ์ทั้งทางวิชาการและเทคนิคการ ตำรามีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์องค์ความรู้ การค้นพบทางวิชาการ และเผยแพร่วิทยาการให้เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านการเรียน การสอนตามหลักสูตรการศึกษาและการให้ความรู้ทางวิชาการแก่ผู้อ่านและสังคม การประเมินและการพิจารณาคุณค่าของตำราจึงเป็นแนวทางที่ผู้เขียนตำราควรให้ความสำคัญเพื่อให้มีการเขียนผลงานตำราที่มีคุณภาพและคุณค่าตามหลักวิชาการ