วันที่ 6 ก.ย.64 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ถึงกรณีพระมหาสมปอง และพระมหาไพรวัลย์ ไลฟ์สดในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า

1.พระพุทธองค์ทรงฝากศาสนาไว้กับภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา มิได้ฝากไว้กับสงฆ์ผู้เป็นสาวกเพียงอย่างเดียว เราเป็นผู้อุปถัมภ์สงฆ์ให้ท่านมีเวลาศึกษาพระธรรมวินัยเพื่อมาสั่งสอนเรา เพราะมีเราจึงมีสงฆ์ ไม่มีเราก็ไม่มีสงฆ์ สงฆ์ท่านจึงควรรับฟังเราบ้าง

2.ถ้าสิ่งไหนที่สงฆ์ท่านทำแล้วเป็นความสุขของท่าน ก็ให้ท่านทำไปเถอะ ผมก็ไม่อยากไปขัดความสุขของท่าน เห็นท่านพูดคุยหัวเราะร่วนกันเชียว ถ้าให้ผมเขียนตรงๆ ก็คือ “ท่านไม่สำรวม” ผมอายคนในศาสนาอื่น กลัวเขาจะหมิ่นเอาได้ว่าสงฆ์ของเราสอนธรรมด้วยอาการไม่สำรวมอย่างนี้หรือ

3.สำหรับชาวบ้านอย่างเรา ผมขอแนะนำให้อ่านหนังสือ “พุทธธรรม” ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เลือกอ่านบางเล่ม บางบท ถือเป็นหนังสือ 1 ใน 100 เล่มที่คนไทย “ต้องอ่าน” ครับ หนังสือ “พุทธรรม” ไม่ต้องหาซื้อเข้าไปใน google แล้วพิมพ์คำว่า “หนังสือพุทธธรรม” แล้วโหลดอ่านได้เลย สะดวกสบาย ถ้าให้ผมแนะนำ ผมแนะนำให้อ่านภาค 3 อารยธรรมวิถี ตอนที่ 6 ชีวิตที่ดีเป็นอย่างไร ก็น่าจะพอแล้วสำหรับการเกิดมาในโลกนี้และได้พบพระพุทธศาสนา

4.ส่วนท่านใดจะฟังพระสงฆ์ท่านใดพูดสนุกๆ คลายเครียด ก็ฟังไปครับ แต่สำคัญสำหรับชาวพุทธต้องฟังให้เกิด “ปัญญา” ด้วย ถ้าฟังแล้วสนุก แต่ไม่เกิดปัญญา นั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์ แต่เป็นการพูดตลกของพระ ก็ไม่ว่าไร ผมไม่กล้าว่าใครหรอก

ผมอาจจะพลาดตรงที่ผมไม่เคยฟังพระคุณเจ้าท่านอื่นสอนธรรม ก็ต้องกราบนมัสการขออภัยไว้ตรงนี้ ผมคงอายุมากแล้ว จึงไม่มีเวลาฟังธรรมของพระสงฆ์ท่านอื่นมากนัก จึงอ่าน/ฟัง เฉพาะคำสอนหลวงพ่อพุทธทาส กับ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เท่านั้น”

ประเพณีชักพระ บางท้องถิ่นเรียกว่า "ประเพณีลากพระ " เป็นประเพณีพื้นเมืองของชาวภาคใต้ ได้มีการสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยศรีวิชัย โดยสันนิษฐานว่าได้เกิดมีขึ้นครั้งแรกในประเทศอินเดีย มีพุทธตำนานเล่าขานสืบทอดกันมาว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงผนวชได้ 7 พรรษา และ พรรษาที่ 7 นั้นได้เสด็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้นออกพรรษาแล้ว ยามเช้าของแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ได้เสด็จกลับมายังโลกมนุษย์ ในการนี้พุทธบริษัททั้ง 4 ประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และ อุบาสิกา ซึ่งรอคอยพระพุทธองค์มาเป็นเวลานานถึง 3เดือน ครั้นทราบว่า พระพุทธเจ้าเสด็จกลับ จึงได้รับเสด็จและได้นำภัตตาหารคาวหวานไปถวายด้วย ผู้ไปทีหลังนั่งไกล ไม่สามารถเข้าไปถวายภัตตาหารด้วยตัวเองได้ จึงใช้ใบไม้ห่ออาหารและส่งผ่านชุมชนต่อๆกันไป

#ชักพระทางบก คือการอัญเชิญพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขึ้นประดิษฐาน บนนบพระ หรือบุษบก แล้วแห่แหน ใช้เชือกแบ่งผูกเป็น 2สาย เป็นสายผู้หญิงและสายผู้ชาย ใช้โพน ฆ้อง ระฆัง เป็นเครื่องตีให้จังหวะในการลากพระ คนลากจะเบียดเสียดกันสนุกสนานและประสานเสียงร้องบทลากพระเพื่อผ่อนแรง วัดส่วนใหญ่ ที่ดำเนินการประเพณีลากพระวิธีนี้ มักตั้งอยู่ในที่ไกลแม่น้ำลำคลอง

#ชักพระทางน้ำ เป็นการอัญเชิญพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขึ้นประดิษฐาน บนบุษบก ในเรือ แล้วแห่แหนโดยการลากไปทางน้ำ ประเพณีลากพระ ที่มักกระทำด้วยวิธีนี้ เป็นของวัดที่ส่วนใหญ่อยู่ใกล้แม่น้ำลำคลองการลากพระทางน้ำจะสนุกกว่าการลากพระทางบก เพราะสภาพการเอื้ออำนวยต่อกิจกรรมอื่น ๆ เช่น สะดวกในการลากพระ ง่ายแก่การรวมกลุ่มกันจัดเรือพาย

Cr. sites.google.com/site/suratthaniloca12/prapheni-chakphra/praphenichakphrawathnthrrmphakhti

#Back to The Ghost Radio ย้อนรอยเรื่องเล่า...
.
จากเรื่องเล่า #เดรัจฉานวิชา ป้าแมว...
.
เรื่องรางของ คุณตาหลวงกับพรานโต ที่ประสบพบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า เดรัจฉานวิชา
.
#(เนื้อหาหรือความหมายในบทความนี้ อาจมีความหมายหรือแง่คิดที่ต่างกันออกไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและตัดสิน)
.
มีความหมายมากมายที่บัญญัติคำว่า #เดรัจฉานวิชา ซึ่งก็แล้วแต่บุคคลใดจะเข้าใจแบบไหน แต่ตามคำสอนที่มีมาตั้งแต่พุทธกาลนั้น #เดรัจฉานวิชา (ภาษาบาลี ติรจฺฉานวิชา) คือ ทางขวาง หรือ คนละทาง คนละเส้นทาง หรือเป็นศาสตร์ที่เป็นคนละทางกับทางแห่งสวรรค์และทางแห่งพระนิพพาน หรือ วิชาคำสอนที่มีคำสอนหรือการสอนที่นอกเหนือจากพระพุทธศาสนา โดยที่ไม่เป็นไปเพื่อการบรรลุทางมรรค นิพพาน พ้นจากทุกข์
.
ซึ่งโดยทางส่วนใหญ่แล้ว การใช้คำว่า #เดรัจฉานวิชา มักจะใช้ควบคู่กับพระภิกษุ ภิกษุณี โดยที่พระพุทธเจ้าห้ามมิให้เรียนเพื่อการเลี้ยงชีพ การเลี้ยงชีพของพระมีไม่กี่อย่าง การบิณฑบาต การนิมนต์ (อดิเรกลาภ) หรือการแสดงธรรมเกิดความเลื่อมใสของศาสนิกชนถวายปัจจัยมา ก็ได้เช่นกัน ดังนั้น พระภิกษุ ภิกษุณี ห้ามมิให้นำ #เดรัจฉานวิชา มาใช้เพื่อเลี้ยงชีพ
.
#เดรัจฉานวิชานั้น แบ่งออกเป็น 7 หมวดศาสตร์ ด้วยกัน คือ
.
1. #ศาสตร์ว่าด้วยการทำนายหรือดูลักษณะต่างๆ เช่น การทำนายฝัน ทำนายลักษณะเสียงทัก ทำนายลักษณะสิ่งของต่างๆ ทำนายอาวุธ ทำนายลักษณะรูปลักษณ์ ทำนายลักษณะคน เพศ ทำนายลักษณะสัตว์
.
2. #ศาสตร์ว่าด้วยการพยากรณ์เกี่ยวกับศึก เป็นการดูฤกษ์ดูยามในการพยากรณ์เกี่ยวกับการออกศึก
.
3. #ศาสตร์การพยากรณ์เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศและการให้ฤกษ์ต่างๆ เช่น การพยากรณ์ดวงดาว จะเกิดสิ่งใดในภายหน้า ปรากฎการณ์ธรรมชาติ โรคระบาด ความสงบร่มเย็น การให้ฤกษ์มงคล วิวาห์มงคล ฤกษ์การทำงาน ใช้เงิน หรือฤกษ์ทำงานที่เป็นมงคล
.
4. #ศาสตร์พิธีการ พิธีที่เกี่ยวกับการแก้บน บนบาน ตั้งศาลพระภูมิ ปลูกเรือน ขับไล่ผี อาบน้ำมนต์ (ล้างทั้งตัว) พิธีกรรมต่างๆที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์
.
5. #ศาสตร์วิชาการทั่วไป การคำนวนวิธีนับนิ้วมือ วิชาการปกครอง วิชาการเกษตร เพื่อนำไปใช้ แต่การศึกษาไว้เพื่อเป็นความรู้ แต่ยังไม่ได้นำไปใช้ ก็อาจจะยังไม่ขึ้นขั้นเป็นเดรัจฉานวิชา
.
6. #ศาสตร์เวทมนตร์ เช่น ทำเสน่ห์ ไล่ผี วิชาปรุงยาพิษ วิชาแก้พิษ วิชาหมองู วิชารักษาพิษต่างๆ วิชาคงกระพัน การร่ายมนตร์เพื่อทำร้ายผู้อื่น มนต์อาถรรพ์ มนต์ฝังหุ่น ทำให้มีอำนาจ
.
7.#ศาสตร์การแพทย์ เช่น การให้ยา การปรุงยา หรือการทำตัวเป็นหมอผ่าตัด
.
แต่กระนั้น #เดรัจฉานวิชา บางอย่างที่ไม่ใช่ศาสตร์เพื่อการหาเลี้ยงชีพ หรือการทำร้ายผู้อื่น สามารถเรียนและสอนได้ เช่น วิชาป้องกันยักษ์และป้องกันงู ยังมีหลักคำสอนความหมายที่แยกออกมาอีกมากมายที่ยังนิยามไม่หมด บางข้อนั้นก็สามารถละเว้นได้เช่นกัน แต่เมื่อพระใช้ #เดรัจฉานวิชา เพื่อการเลี้ยงชีพหรือทำร้ายผู้คนต้องอาบัติทันที
.
ในยุคสมัยที่ล้ำหน้า ก้าวเปลี่ยนเทคโนโลยีไปเรื่อยๆ มีสิ่งต่างๆมากมายให้ศึกษามากกว่าที่เป็น มีวิชาความรู้ที่มากกว่าคำสอนเพื่อบรรลุนิพพาน ก็อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะศึกษา เพียงแต่จะนำความรู้ไปใช้แบบไหน อย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์และเกิดผลดีแก่ตัวเองและผู้ที่รับความรู้มา ล้วนอยู่ที่จิตสำนึกของผู้ที่ครอบครองความรู้นั้นๆ
.
เครดิต
https://youtu.be/b9pN0gYuz_Y