[爆卦]ปี2002 ภาษาเกาหลี是什麼?優點缺點精華區懶人包

雖然這篇ปี2002 ภาษาเกาหลี鄉民發文沒有被收入到精華區:在ปี2002 ภาษาเกาหลี這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章

在 ปี2002產品中有182篇Facebook貼文,粉絲數超過178萬的網紅ลงทุนแมน,也在其Facebook貼文中提到, เศรษฐีรวยสุดในเอเชีย มีน้องชาย เป็นบุคคลล้มละลาย ได้อย่างไร ? /โดย ลงทุนแมน หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Mukesh Ambani เจ้าของ Reliance Industries กลุ่มธุร...

 同時也有16部Youtube影片,追蹤數超過134萬的網紅Point of View,也在其Youtube影片中提到,อ้างอิง - Curry, A. (2002). The Hundred Years’ War. Osprey Publishing. History.com Editors. (2020, March 10). Joan of Arc. HISTORY. https://www.histo...

ปี2002 在 ANNALYNN Instagram 的最讚貼文

2021-09-10 20:30:28

THE UNDEFEATED STARES YOU DOWN จะพาพวกคุณไปรู้จักกับพวกเรา วง ANNALYNN ให้มากยิ่งขึ้น ตั้งแต่เริ่มต้นของวงจนกระทั่งครบรอบ 12 ปี ในรูปแบบ DOCUMENTARY ...

ปี2002 在 Song Paradox Instagram 的精選貼文

2021-08-02 09:32:06

22ปี summer world tour 2000-2002...

ปี2002 在 Hone Thanakorn Instagram 的精選貼文

2020-11-02 13:17:24

Update Lifestyle ชีวิตตอนนี้หน่อยครับ 1.ถ่ายละคร 2.เรียนร้องเพลง(กับพี่แนนวาทิยา) 3.เรียนภาษาอังกฤษ 3.ออกกำลังกายกับ Trainer เกือบทุกวัน 4.ช่วงนี้กิน...

  • ปี2002 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答

    2021-09-27 20:00:18
    有 3,070 人按讚

    เศรษฐีรวยสุดในเอเชีย มีน้องชาย เป็นบุคคลล้มละลาย ได้อย่างไร ? /โดย ลงทุนแมน
    หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Mukesh Ambani เจ้าของ Reliance Industries กลุ่มธุรกิจที่ใหญ่สุดในอินเดียและเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเอเชีย มีน้องชายชื่อ Anil Ambani

    สำหรับน้องชายของมหาเศรษฐีคนนี้ ก็เป็นเจ้าของธุรกิจที่แยกตัวออกมาจาก Reliance Industries ของพี่ชาย มีชื่อบริษัทว่า Reliance ADA Group

    ในปี 2008 Mukesh Ambani มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก
    ในขณะที่ Anil Ambani ตามมาติด ๆ ด้วยทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท และรวยเป็นอันดับ 6 ของโลก

    โดยในปีนั้น เศรษฐี 4 อันดับแรกของโลก ได้แก่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (อเมริกัน), คาร์ลอส สลิม (เม็กซิโก),
    บิลล์ เกตส์ (อเมริกัน) และลักษมี นิวาส มิตตัล (อินเดีย)

    หลังจากผ่านไป 13 ปี Mukesh Ambani มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านบาท
    กลายมาเป็นมหาเศรษฐีรวยสุดในอินเดียและเอเชีย และรวยเป็นอันดับ 10 ของโลก

    แต่ในปี 2019 Ambani คนน้องกลับมีทรัพย์สิน เพียง 5.6 หมื่นล้านบาท
    จนล่าสุด มีหลายคนกล่าวว่าความมั่งคั่งตอนนี้ของ Ambani คนน้อง ลดลงจนเกือบเป็นศูนย์
    แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย ของคนที่รวยสุดในเอเชีย ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
    ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
    แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
    Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ย้อนกลับไปในปี 1948 หรือเมื่อ 73 ปีก่อน ชายชาวอินเดียวัย 16 ปี
    ที่ชื่อ Dhirubhai Ambani ได้ตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านเกิดไปทำงานที่ประเทศเยเมน

    ผ่านไป 10 ปี Dhirubhai กลับมาที่อินเดียพร้อมกับเงินเก็บ เพื่อมาเริ่มสร้างธุรกิจเอง

    Dhirubhai เริ่มจากการนำเข้าเส้นใยสังเคราะห์และส่งออกเครื่องเทศ ก่อนจะเริ่มทำธุรกิจสิ่งทอ ซึ่งก็เติบโตอย่างรวดเร็ว จน Dhirubhai ได้ขยายกิจการไปในอุตสาหกรรมอื่น และเปลี่ยนมาใช้ชื่อบริษัทว่า “Reliance Industries” ในปี 1973

    Reliance Industries สามารถ IPO ได้ในปี 1977 ซึ่งหุ้นของบริษัทก็มีชาวอินเดียสนใจลงทุนเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดเคยจัดประชุมผู้ถือหุ้นที่สเตเดียม

    ตั้งแต่ที่กิจการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว Dhirubhai ก็เริ่มให้ลูกชายทั้ง 2 คนของเขา เข้ามาช่วยบริหารงานที่บริษัท

    Mukesh Ambani ลูกชายคนโต เป็นประธาน
    Anil Ambani ลูกชายคนรอง เป็นกรรมการผู้จัดการ

    แต่แล้วในปี 2002 Dhirubhai ได้เสียชีวิตลงและได้ทิ้งกิจการ Reliance Industries ไว้กับลูกชายทั้ง 2 คน

    Dhirubhai ที่จากโลกนี้ไปไม่ได้ทำพินัยกรรมและข้อตกลงแบ่งกิจการให้กับลูกแต่ละคนไว้ ซึ่งเขาก็คงไม่คิดว่า จะเกิดปัญหาตามมา

    โดยปัญหาที่ว่านั้นเริ่มเกิดขึ้นเพราะลูกชายทั้ง 2 คน ที่เริ่มเข้าทำงานและมีบทบาทในบริษัทมาพร้อม ๆ กัน
    กลับตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นเจ้าของและใครจะดูแลและรับผิดชอบบริษัทไหนบ้าง

    สุดท้ายแล้ว ในช่วงปี 2004 ถึง 2005 ผู้เป็นแม่ต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหา
    โดยการจ้างบุคคลที่ 3 ให้เข้ามาจัดการเรื่องการแยกบริษัทออกจากกันไปเลย

    Mukesh Ambani คนพี่ได้ธุรกิจหลักคือปิโตรเลียม ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการขยายกิจการในส่วนนี้มาตั้งแต่แรก และยังได้ธุรกิจอื่น ๆ อย่างเช่นปิโตรเคมี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจยุคเก่า โดยกลุ่มบริษัทของ Mukesh ใช้ชื่อว่า Reliance Industries

    Anil Ambani คนน้องได้ธุรกิจหลักคือ Reliance Communications ธุรกิจโทรคมนาคมที่เพิ่งเริ่มกิจการได้ไม่นาน แต่ก็กลายเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอินเดีย ซึ่งแม้ว่า Mukesh จะมีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่ต้น แต่ Anil ก็อยากได้ธุรกิจนี้เช่นกัน

    นอกจากธุรกิจเทเลคอมแล้ว กิจการอื่นที่ Anil Ambani ได้รับไปดูแลอีกก็อย่างเช่น ธุรกิจพลังงาน และบริการทางการเงิน ซึ่งส่วนมากจะเป็นธุรกิจยุคใหม่ โดยกลุ่มธุรกิจของ Anil Ambani ใช้ชื่อว่า “Reliance ADA Group”

    หลังจากจบเรื่องการแบ่งธุรกิจแล้ว แต่ละคนก็เริ่มต่อยอดธุรกิจตามเส้นทางของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น

    Mukesh Ambani เริ่มทำธุรกิจค้าปลีกในปี 2006 จน Reliance Retail กลายมาเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่สุดในอินเดีย

    ในขณะที่ Anil Ambani ก็ได้ต่อยอดทำธุรกิจบันเทิง อย่างเช่นในปี 2005 ได้ซื้อบริษัท Adlabs Films ที่เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ซึ่งกลายมาเป็นโรงภาพยนตร์ที่มีสาขามากสุดในอินเดียในอีก 3 ปีถัดมา

    ในปี 2008 Reliance Entertainment ของ Anil Ambani ก็ได้เซ็นสัญญากับบริษัทผลิตภาพยนตร์ DreamWorks ของผู้กำกับ Steven Spielberg ซึ่งได้ร่วมผลิตภาพยนตร์ที่ได้รางวัลมากมาย อย่างเช่น The Help และ Lincoln

    และปีเดียวกันนี้ Anil Ambani ก็ได้นำบริษัทพลังงานอย่าง Reliance Power จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าการระดมทุนที่สูงเป็นประวัติการณ์ในขณะนั้น

    ผ่านไป 6 ปีหลังจากการเสียชีวิตของ Dhirubhai
    ดูเหมือนว่าลูกชายของเขาทั้งคู่ก็ต่อยอดกิจการไปได้อย่างสวยงาม
    จนทำให้ในปี 2008 Mukesh มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก และ Anil มีทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 6 ของโลก

    แต่หลังจากนั้น เส้นทางความมั่งคั่งของพี่น้องคู่นี้ กลับเริ่มมีทิศทางที่สวนทางกัน
    คนพี่รวยขึ้น ส่วนคนน้องความมั่งคั่งหายไปเกือบหมด

    แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?

    เรื่องทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากเงินที่บริษัท Reliance Power ของ Anil Ambani ได้มาจากการ IPO มีแผนจะใช้สร้างโรงไฟฟ้าที่ส่วนใหญ่จะผลิตจากก๊าซ

    โดยก๊าซที่ Reliance Power ใช้ ก็มาจากบริษัทก๊าซธรรมชาติในเครือ Reliance Industries ของ Mukesh นั่นเอง

    ซึ่งในตอนที่แยกบริษัทกัน สองพี่น้องก็ได้เซ็นสัญญาว่าบริษัทก๊าซของ Mukesh Ambani จะขายก๊าซให้โรงไฟฟ้าของน้องชายที่ราคาหนึ่ง

    แต่ในวันที่โรงไฟฟ้าสร้างใกล้จะเสร็จและถึงเวลาที่พี่ชายจะขายก๊าซให้กับน้อง ราคาก๊าซในตลาดโลกกลับเพิ่มสูงขึ้นไปเกือบเท่าตัว

    Anil Ambani จึงต้องการซื้อก๊าซในราคาที่ตกลงกัน เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญต้นทุนก๊าซที่สูงขึ้น
    แต่ทาง Mukesh Ambani ไม่สามารถขายก๊าซตามราคาที่ตกลงกันไว้ได้เพราะบริษัทของเขาจะขาดทุน

    แต่แทนที่จะเจรจาตกลงกัน Anil Ambani กลับเลือกที่จะยื่นฟ้องบริษัทพี่ชายในปี 2010 เพื่อให้ซื้อก๊าซได้ในราคาเดิมที่เคยตกลงกัน

    แต่ศาลก็ได้มีคำสั่งให้ Anil Ambani ซื้อก๊าซในราคาใกล้เคียงกับราคาตลาดโลก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายราคาก๊าซของประเทศ

    สุดท้ายแล้ว Anil Ambani ที่ต้องแบกรับต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จึงไม่สามารถจัดหาก๊าซเพื่อไปใช้ผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่สร้างรอไว้แล้วได้

    Reliance Power จึงกลายเป็นบริษัทที่มีหนี้มหาศาล จนต้องขายทรัพย์สินและกิจการบางส่วนออกไป เพื่อเอามาใช้หนี้ ซึ่งรวมถึงกิจการโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ที่ซื้อมาเมื่อปี 2008 ด้วย

    แต่ความผิดพลาดทางธุรกิจของ Anil Ambani ยังไม่ได้จบลงแค่นี้ เพราะเรื่องราวที่ร้ายแรงกว่านั้น เกิดขึ้นกับธุรกิจโทรคมนาคมอย่าง Reliance Communications (RCom)

    ในปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงที่ RCom เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ RCom เลือกใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่เรียกว่า CDMA ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ขณะที่บริษัทคู่แข่งอย่างเช่น Airtel เลือกใช้เทคโนโลยีที่ชื่อ GSM

    แม้เทคโนโลยีทั้ง 2 แบบจะใช้ได้ดีกับ 2G และ 3G เหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือ CDMA ที่ RCom เลือกใช้ ไม่สามารถรองรับ 4G และ 5G ได้แบบ GSM ที่เหล่าคู่แข่งเลือกใช้

    นั่นจึงทำให้ช่วงเวลาที่ทั่วโลกเปลี่ยนผ่านจาก 3G มาเป็น 4G อย่างรวดเร็ว RCom เลยตามคนอื่นไม่ทัน จน RCom กลายเป็นบริษัทที่เริ่มมีหนี้มากขึ้น

    และจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของ RCom รวมไปถึงทั้งอุตสาหกรรมเทเลคอมของอินเดีย ก็เกิดขึ้นในปี 2016

    เมื่อ Mukesh Ambani ได้ก่อตั้งบริษัทย่อยของ Reliance Industries ในชื่อ “Jio” ซึ่งเป็นบริษัท
    ที่เน้นบริการด้านเทคโนโลยี รวมถึงการให้บริการโทรคมนาคมแบบเดียวกับ RCom ด้วย

    ด้วยชื่อเสียงของ Reliance Industries ก็ทำให้ Jio มีจำนวนผู้ใช้งานเครือข่ายโทรศัพท์เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กำไรของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอย่าง Airtel ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้อีก 2 บริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดรองลงมาอย่าง Vodafone และ Idea ต้องควบรวมกิจการกัน

    ในเวลาต่อมาบริษัท Jio ของ Mukesh Ambani ก็กลายมาเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่สุดในอินเดีย ส่วน RCom ของ Anil ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ก็หายไปจากการแข่งขันในตลาดเทเลคอม จนทำให้บริษัทขาดทุนและกลายเป็นหนี้มหาศาล

    RCom ต้องยอมขายสินทรัพย์ของกิจการบางส่วนให้กับ Jio เพื่อลดหนี้
    แต่นั่นก็ยังไม่ช่วยให้สถานการณ์ของ RCom ดีขึ้น

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 RCom ได้ทำข้อตกลงกับ Ericsson โดยจ้างให้ Ericsson มาเป็นผู้บริหารเครือข่ายในบริเวณทางเหนือและตะวันตกของอินเดีย แต่ผลจากการขาดทุนต่อเนื่องก็ทำให้ RCom ไม่มีเงินจ่ายให้ Ericsson ตั้งแต่ปี 2016

    RCom ติดหนี้ Ericsson 2.46 พันล้านบาท ซึ่ง RCom ก็ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด และขอเลื่อนเวลาการจ่ายหนี้ออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว RCom จ่ายหนี้ได้เพียง 528 ล้านบาท นำไปสู่การถูกฟ้องร้องในเวลาต่อมา

    ศาลสูงสุดจึงมีคำตัดสินว่า ถ้าภายใน 1 เดือน RCom ยังจ่ายหนี้ให้ Ericsson ไม่ได้ Anil จะต้องถูกจำคุก 3 เดือน

    สุดท้ายแล้วพี่ชายของ Anil Ambani อย่าง Mukesh ก็เข้ามาช่วย
    โดยการจ่ายหนี้ที่เหลือ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทให้
    ในขณะที่ บริษัท RCom ก็ต้องยื่นล้มละลาย

    แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น เพราะ RCom ยังมีหนี้ก้อนใหญ่อีกก้อน ที่กู้ยืมมาจาก 3 ธนาคารขนาดใหญ่ของจีน ทั้ง ICBC, China Development Bank และ EXIM Bank of China เป็นมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท

    ทั้ง 3 ธนาคารจึงยื่นฟ้อง RCom และ Anil Ambani..

    ช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่ง Anil ได้พูดระหว่างพิจารณาคดีออนไลน์กับศาลของประเทศอังกฤษว่า เขาไม่มีเงินใช้หนี้ เพราะความมั่งคั่งของเขาตอนนี้ใกล้จะเป็นศูนย์แล้ว.. ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเขาจะหาเงินจากไหนมาใช้หนี้

    จากความขัดแย้งเพื่อแย่งกิจการกันเองในครอบครัว บวกกับการบริหารธุรกิจที่ผิดพลาด การทุ่มเงินลงทุนขนาดใหญ่แต่ได้ผลลัพธ์แย่กว่าที่คาด ทำให้บริษัทก่อหนี้ก้อนโต

    ทั้งหมดนี้ก็ได้ส่งผลไปยังทรัพย์สินของผู้ที่เคยรวยติดอันดับ 6 ของโลกอย่าง Anil Ambani ได้หายไปเกือบหมด ในขณะที่พี่ชายที่เติบโตมาพร้อมกัน กลับเดินสวนทางกัน เพราะประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเศรษฐี ที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย นั่นเอง

    ถ้าใครเชื่อว่าชีวิตของเราถูกกำหนดมาแล้วตั้งแต่เกิด
    เกิดมาในครอบครัวที่รวย ก็ย่อมมีแรงส่งให้พวกเขารวยขึ้น
    ซึ่งมันก็เป็นจริงในหลายกรณี
    แต่ในบางกรณี มันก็อาจเป็นตรงกันข้าม
    ซึ่งอย่างน้อย มันก็เกิดขึ้นแล้วกับ Anil Ambani น้องชายของ มหาเศรษฐี ที่รวยสุดในเอเชีย นั่นเอง..
    ╔═══════════╗
    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
    ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
    แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
    Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
    Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
    Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
    References:
    -https://www.businessinsider.in/thelife/personalities/news/anil-ambanis-journey-from-42-billion-net-worth-to-claiming-poverty/articleshow/74028627.cms
    -https://www.scmp.com/magazines/style/celebrity/article/3093874/mukesh-vs-anil-why-did-one-ambani-brother-go-bankrupt
    -https://economictimes.indiatimes.com/industry/telecom/telecom-news/from-glory-to-dust-an-ambani-brands-journey-to-bankruptcy/articleshow/67837769.cms?from=mdr
    -https://www.businesstoday.in/latest/economy-politics/story/anil-ambani-road-to-bankruptcy-how-the-brother-of-indias-richest-man-lost-his-way-271119-2020-08-25
    -https://www.moneycontrol.com/news/business/a-timeline-of-reliance-communications-versus-ericsson-case-3661261.html
    -https://youtu.be/dBH0E20kc30
    -https://www.forbes.com/forbes/2008/0324/080.html?sh=3e185f910f2e
    -https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Industries
    -https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Group

  • ปี2002 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文

    2021-09-27 11:30:03
    有 875 人按讚

    Unity แพลตฟอร์มที่ใช้สร้างวิดีโอเกม ครึ่งหนึ่งของโลก /โดย ลงทุนแมน
    แม้ว่าโลกของเราจะมี เกมชื่อดังมากมาย เช่น Pokémon GO, League of Legends, Genshin Impact, Among Us, Garena Free Fire หรือ Overcooked

    แต่รู้หรือไม่ว่าเกมที่ยกตัวอย่างมานี้ ถูกพัฒนาขึ้นจาก เกมเอนจิน หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้สร้างวิดีโอเกม
    ที่ชื่อว่า “Unity” ซึ่งปัจจุบันครอบครองส่วนแบ่งเกินกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดซอฟต์แวร์พัฒนาเกมบนโลก

    แล้วเรื่องราว Unity มีที่มาที่ไปอย่างไร ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
    ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
    แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
    Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ธุรกิจเกม ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจ ที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด

    ตลาดเกมทั่วโลกในปี 2005 มีมูลค่า 882,000 ล้านบาท
    ตลาดเกมทั่วโลกในปี 2020 มีมูลค่า 5,810,000 ล้านบาท

    คิดเป็นการเติบโต 6.6 เท่า หรือเติบโตเฉลี่ย 13.4% ต่อปี ตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมา

    ซึ่งการเติบโตนี้ ก็มาจากเกมบนสมาร์ตโฟนเป็นหลัก ที่มีการเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับเกมบนแพลตฟอร์มอื่นอย่างเช่น PC และเกมคอนโซล และปัจจุบันเกมบนสมาร์ตโฟนก็คิดเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดกว่า 45% ของเกมทั่วโลก

    หนึ่งในบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของเกมบนสมาร์ตโฟนไปเต็ม ๆ ก็คือ “Unity Technologies” ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาเกมเอนจิน หรือแพลตฟอร์มที่ใช้พัฒนาวิดีโอเกม ที่ชื่อว่า “Unity” เพราะบริษัทแห่งนี้มีส่วนแบ่งตลาดซอฟต์แวร์พัฒนาเกมเกินกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าทั้งหมดบนโลก

    นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลอื่น ๆ อีก เช่น

    - เกมที่ได้รับความนิยมสูงสุด 1,000 อันดับแรกบนสมาร์ตโฟน มี 710 เกมที่พัฒนาโดยใช้ Unity
    - แอปพลิเคชันที่สร้างโดยใช้ Unity มียอดดาวน์โหลดรวมกันกว่า 5 พันล้านครั้งต่อเดือน
    - คอนเทนต์ทุกรูปแบบที่สร้างโดยใช้ Unity มีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 2.5 พันล้านคนต่อเดือน

    พูดง่าย ๆ ว่าเราคงเคยผ่านการใช้งานผลิตภัณฑ์ที่ถูกสร้างโดยใช้ Unity มาบ้างแล้ว

    Unity เป็นเกมเอนจิน ที่รองรับการใช้งานได้ทุกระบบปฏิบัติการ
    ไม่ว่าจะเป็น macOS, Microsoft Windows และเว็บเบราว์เซอร์
    ที่ทำภาพได้ทั้งแบบ 2D และจะโดดเด่นเรื่อง 3D เป็นพิเศษ

    ในสมัยก่อน บริษัทพัฒนาเกมแต่ละแห่งจะนิยมสร้างเกมเอนจินเป็นของตัวเอง แต่สมัยนี้บริษัทพัฒนาเกมจะหันมาใช้เกมเอนจินมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในการประหยัดต้นทุน และความสะดวกรวดเร็ว สามารถปรับแต่งได้ง่าย

    ถ้าให้นึกภาพแบบง่าย ๆ ตัวอย่างเช่น งานออกแบบกราฟิก ผู้ออกแบบจะนิยมใช้ซอฟต์แวร์ชื่อ Adobe Illustrator แต่สำหรับการพัฒนาเกมแล้ว Unity จะเป็นซอฟต์แวร์ ที่ผู้พัฒนาเกมนิยมใช้กัน

    ผู้พัฒนาเกมที่ใช้งาน Unity ยังสามารถทำเกมออกมาเพียงครั้งเดียว แล้วนำไปใช้กับแพลตฟอร์มได้หลากหลายกว่า 20 แพลตฟอร์ม หรือเรียกว่า “Cross-Platform” โดยไม่ต้องเขียนโคดใหม่อีกรอบ ไม่ว่าจะเป็นเกมในเวอร์ชัน PC, Xbox, PlayStation, Nintendo Switch, iOS และ Android

    ที่สำคัญก็คือ Unity เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายแต่ประสิทธิภาพสูง จนใครก็ตามที่อยากสร้างเกมเองสามารถใช้งานได้ ไม่จำเป็นต้องเขียนโคดเป็น ไม่ต้องเป็นนักพัฒนามืออาชีพ ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนก้อนใหญ่ นักพัฒนาเกมอินดี้หรือคนที่อยากทำเกมเป็นงานอดิเรกก็สามารถทำได้

    ซึ่งจุดนี้ก็ทำให้ Unity ต่างไปจากคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Unreal Engine ของบริษัท Epic Games ที่เลือกเจาะตลาดค่ายเกมขนาดใหญ่ ที่พัฒนาเกมคุณภาพกราฟิกสูง และเป็นเกมที่เล่นบน PC และเกมคอนโซลเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น เกม Fortnite และ PUBG

    แล้ว Unity มีจุดเริ่มต้นอย่างไร ?

    ย้อนกลับไปในปี 2002 หรือเมื่อ 19 ปีก่อน ที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

    Nicholas Francis โปรแกรมเมอร์ชาวเดนมาร์ก ที่อาศัยอยู่ในเมืองโคเปนเฮเกน
    และ Joachim Ante นักเรียนมัธยมปลาย ที่เรียนอยู่ในประเทศเยอรมนี

    ทั้งคู่กำลังพัฒนาเกมเอนจินของตัวเอง และได้รู้จักกันผ่าน OpenGL ซึ่งเป็น API ที่เกี่ยวกับการใช้งานกราฟิก 2D และ 3D

    Francis และ Ante พูดคุยกันถูกคอ เลยชวนกันมาพัฒนาระบบช่วยสร้างภาพ 3 มิติ ที่ใช้งานได้บนเกมเอนจินของเขาทั้งคู่ แต่ต่อมาเมื่อทั้งคู่ได้นัดพบและพูดคุยกัน ก็ตัดสินใจล้มเลิกแผนนั้น แล้วหันมาสร้างเกมเอนจินใหม่ด้วยกัน

    ทั้งคู่เช่าแฟลตในเมืองโคเปนเฮเกนเพื่อร่วมกันพัฒนาเกมเอนจิน ซึ่งไม่ไกลจากแฟลตที่พวกเขาเช่า ก็คืออะพาร์ตเมนต์ที่เพื่อนของ Francis ที่ชื่อว่า David Helgason อาศัยอยู่

    Helgason เป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ฟรีแลนซ์ เมื่อเขาได้พูดคุยและเห็นสิ่งที่ Francis และ Ante ร่วมกันทำอยู่หลายเดือน เขาจึงเริ่มสนใจและเข้ามาร่วมทีมด้วยในที่สุด

    จนในปี 2004 Francis, Ante และ Helgason ใช้เงินเก็บและเงินจากพ่อของ Ante ราว 1 ล้านบาท มาร่วมกันก่อตั้งสตูดิโอทำเกมควบคู่ไปกับการพัฒนาเกมเอนจินคุณภาพสูง โดยใช้ชื่อบริษัทว่า “Over the Edge Entertainment (OTEE)”

    หลังจากเปิดบริษัทไปได้สักพัก พวกเขาก็เปิดรับสมัคร CEO เพราะมองว่าเทคโนโลยีที่ดีอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการเติบโตของบริษัท ต้องมีผู้นำทางธุรกิจที่เก่งด้วย แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่เจอคนที่ถูกใจและมีวิสัยทัศน์ตรงกัน

    Helgason ซึ่งถูกลงความเห็นว่าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในพวกเขา 3 คน จึงเป็น CEO ส่วน Francis เป็น COO และ Ante เป็น CTO

    หลังจากพวกเขาพัฒนาเกมเอนจินสำเร็จ ก็ทดลองนำมาใช้สร้างเกม จนกระทั่ง OTEE ได้เปิดตัวเกมแรกที่ชื่อว่า GooBall ในเดือนมีนาคม ปี 2005

    แต่เกม GooBall ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ซึ่ง Ante ก็ได้วิเคราะห์ว่าคงเพราะเกมเล่นยากเกินไป

    แต่ความพยายามที่ผ่านมาก็ไม่ได้สูญเปล่า เพราะพวกเขาได้เห็นแล้วว่าเกมเอนจินที่ร่วมกันพัฒนามา มีศักยภาพสูงพอที่จะต่อยอดไปให้คนมากมายใช้งานได้

    ทั้ง 3 คนเลยเปลี่ยนใจจากการทำเกม มาเป็นการพัฒนาเครื่องมือทำเกมแทน ซึ่งพวกเขาได้ใช้เงินที่ได้จากการขายเกม GooBall มาจ้างนักพัฒนาซอฟต์แวร์เพิ่ม

    อีก 3 เดือนถัดมา OTEE ได้เปิดตัวเกมเอนจินที่ชื่อ “Unity” ในงาน Apple Worldwide Developers Conference (WWDC) ที่เริ่มจากเป็นเกมเอนจินที่มีเฉพาะใน MAC OS X และหลังจากนั้นไม่นานก็มีให้ใช้งานได้ใน Microsoft Windows และเว็บเบราว์เซอร์

    ช่วงแรกที่เปิดตัว ผู้ใช้งานหลักของ Unity ก็คือคนที่ทำเกมเป็นงานอดิเรกและนักพัฒนาอินดี้แบบที่ทางบริษัทได้ตั้งใจไว้ โดย OTEE มีรายได้จากการเก็บค่า Subscription หรือค่าบริการรายเดือนหรือรายปี

    ผ่านไป 2 ปี ในปี 2007 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Unity Technologies

    ในปีเดียวกันนี้ บริษัท Apple ก็ได้เปิดตัว iPhone เป็นครั้งแรก
    ซึ่งทำให้ Unity ได้เริ่มพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันสำหรับใช้งานบน iPhone

    แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ iPhone ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตลาดเกมทั่วโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากเกมบนสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต จนกลายมาเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ผู้ใช้งาน Unity เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ปี 2009 Unity Technologies ได้ย้ายสำนักงานไปยังเมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยีที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะกับการเติบโตของสตาร์ตอัป

    จนในที่สุด Unity Technologies ก็สามารถระดมทุน Series A ได้จาก Sequoia Capital ซึ่งเป็น Venture Capital อันดับต้น ๆ ของโลก

    แต่ในปี 2013 หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทอย่าง Francis ก็ขอลาออกจากตำแหน่ง COO ของบริษัท
    หลังจากนั้นเพียงปีเดียว Helgason ก็ขอลงจากตำแหน่ง CEO แต่ยังคงเป็นกรรมการบริษัทอยู่ ซึ่งเขาให้เหตุผลว่าบริษัทเริ่มใหญ่ขึ้นแล้ว ปัจจุบันมีเพียง Ante ที่ยังคงเป็น CTO ต่อจนถึงปัจจุบัน

    CEO ที่ได้รับความไว้วางใจให้มารับตำแหน่งต่อจาก Helgason ก็คือ “John Riccitiello” อดีต CEO ของ Electronic Arts (EA) โดย Helgason บอกว่า Riccitiello คือคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด

    และก็เป็นไปตามที่ Helgason พูด เพราะตั้งแต่ที่ Riccitiello เข้ามา ก็ได้ทำให้ Unity เป็นมากกว่าเกมเอนจิน

    Unity เริ่มให้บริการอื่นเพื่อสนับสนุนผู้พัฒนาเกมในหลาย ๆ ด้าน ให้ครบวงจรมากขึ้น
    โดยเฉพาะบริการที่ดูแลเรื่องการหารายได้จากเกมให้กับผู้พัฒนา

    ยกตัวอย่างเช่น การเป็นพันธมิตรกับบริษัทโฆษณาขนาดใหญ่เพื่อดึงให้มาโฆษณาในเกม
    ซึ่งก็จะทำให้ผู้พัฒนาเกมมีรายได้จากค่าโฆษณา และ Unity ก็ได้ส่วนแบ่งค่าโฆษณานั้นด้วย

    และหนึ่งในจุดพลิกผันที่สำคัญที่สุด เกิดขึ้นในปี 2016 เมื่อเกม Pokémon GO ที่สร้างความฮือฮาด้วยการใช้ AR ในเกมบนสมาร์ตโฟน จนได้รับความนิยมแบบถล่มทลายไปทั่วโลก เป็นเกมที่พัฒนาโดยใช้ Unity

    ความสำเร็จของ Pokémon GO ก็ทำให้ในปีนั้น Unity กลายเป็นสตาร์ตอัปเนื้อหอมที่ดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาระดมทุนอย่างรวดเร็ว จนบริษัทได้มีมูลค่าประเมินทะลุ 32,000 ล้านบาท กลายเป็นสตาร์ตอัปยูนิคอร์นทันที

    ในที่สุด Unity ก็เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กในปลายปี 2020 ซึ่งปัจจุบันบริษัท Unity มีมูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท

    แล้วผลประกอบการที่ผ่านมาของ Unity เป็นอย่างไร ?

    ปี 2018 รายได้ 12,400 ล้านบาท ขาดทุน 4,300 ล้านบาท
    ปี 2019 รายได้ 17,700 ล้านบาท ขาดทุน 5,300 ล้านบาท
    ปี 2020 รายได้ 25,200 ล้านบาท ขาดทุน 9,200 ล้านบาท

    รายได้เติบโตได้ปีละกว่า 40% และบริษัทยังมีอัตรากำไรขั้นต้น หรือรายได้หักต้นทุนสินค้าและบริการสูงถึงเกือบ 80% แต่ที่บริษัทยังขาดทุนก็เพราะว่า Unity ใช้เงินไปกับการลงทุนวิจัยและพัฒนาที่สูงเช่นกัน
    ซึ่งสูงในระดับที่เป็นสัดส่วนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้

    สำหรับการคิดค่า Subscription ของ Unity จะเป็นระบบ Freemium คือมีทั้งแบบใช้งานได้ฟรีและแบบจ่ายเงิน ที่มีให้เลือก 3 แพ็กเกจ จากระดับราคาน้อยไปมาก คือ Pro, Premium และ Enterprise

    Unity ยังกำหนดเพิ่มเติมว่า ผู้พัฒนาจะยังใช้บริการแบบฟรีได้
    แต่ถ้ารายได้หรือเงินทุนของผู้พัฒนามากกว่า 3.2 ล้านบาท ใน 12 เดือนที่ผ่านมา จะต้องใช้แพ็กเกจระดับ Plus หรือสูงกว่า และถ้ารายได้หรือเงินทุนของผู้พัฒนามากกว่า 6.4 ล้านบาท ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา จะต้องใช้แพ็กเกจระดับ Pro หรือ Enterprise

    อย่างไรก็ตาม รายได้ที่มาจากค่า Subscription กลับไม่ใช่รายได้หลักของ Unity เพราะมีสัดส่วนเพียง 26.5% ของรายได้ทั้งหมด

    แต่รายได้หลักของ Unity ที่เป็นสัดส่วนรายได้ 66.8% มาจาก Operate Solutions หรือบริการที่ช่วยสนับสนุนการทำเงินจากเกมให้กับผู้พัฒนาเกม เช่น ค่าโฆษณา ซึ่งเป็นส่วนที่ CEO อย่างคุณ Riccitiello เริ่มต่อยอดมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง

    ส่วนรายได้อีก 6.7% มาจากบริการอื่น ๆ เช่น จาก Asset Store ที่เป็น Marketplace ให้ผู้ใช้งานไปซื้อขายงานและโคดกันได้

    นอกจากวิดีโอเกมแล้ว Unity ยังกลายมาเป็นซอฟต์แวร์ที่นิยมใช้กับงาน 3D ในงานอื่นด้วย อย่างเช่น งานออกแบบ 3D งานภาพยนตร์ งานออกแบบสถาปัตยกรรม หรืองานออกแบบรถยนต์

    ยกตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ BMW ใช้สร้างภาพเคลื่อนไหวจำลองเพื่อทดสอบระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ และ Honda ใช้ออกแบบรถ หรือในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ Disney ใช้ Unity ทำภาพแบ็กกราวนด์ในภาพยนตร์เรื่อง The Lion King เวอร์ชันปี 2019

    แต่ที่น่าจับตามองที่สุด ก็คงเป็นเมกะเทรนด์อย่าง AR และ VR ซึ่งข้อมูลในปัจจุบันระบุว่ากว่า 60% ของคอนเทนต์ AR และ VR ทั้งหมด ทำโดยใช้ Unity

    ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Unity ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการพัฒนาเครื่องมือสร้างวิดีโอเกมให้ใครก็ตามที่อยากสร้างเกมได้ใช้ และต่อยอดจนกำลังจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างโลกเสมือน

    ซึ่งก็ไม่แปลกเลยที่ปัจจุบัน บริษัทแห่งนี้ได้กลายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังวิดีโอเกม กว่าครึ่งหนึ่งของโลก เลยทีเดียว..
    ╔═══════════╗
    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
    ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
    แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
    Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - facebook.com/longtunman
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
    Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
    Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
    References:
    -https://techcrunch.com/2019/10/17/how-unity-built-the-worlds-most-popular-game-engine/
    -https://techcrunch.com/2009/08/14/interview-nicholas-francis-coo-of-unity-the-leading-iphone-game-development-platform/
    -https://techcrunch.com/2020/09/10/how-unity-built-a-gaming-engine-for-the-future/
    -https://theorg.com/insights/with-news-unity-technologies-is-going-public-the-org-looks-into-the-key
    -https://www.cbinsights.com/research/game-engines-growth-expert-intelligence/
    -http://web.wpi.edu/Pubs/E-project/Available/E-project-030614-143124/unrestricted/Haas_IQP_Final.pdf
    -https://investors.unity.com/overview/default.aspx

  • ปี2002 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答

    2021-09-19 11:00:26
    有 2,529 人按讚

    กรณีศึกษา จากอินฟลูเอนเซอร์ TikTok สู่เจ้าของ Venture Capital /โดย ลงทุนแมน
    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวันนี้ กลุ่มคนที่มีพลังในการโน้มน้าวเทรนด์ความนิยมของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก คือ “อินฟลูเอนเซอร์” บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ
    ซึ่งในอนาคต เราอาจได้เห็นพวกเขาแผ่ขยายอิทธิพล เข้ามามีส่วนชี้นำทิศทางในโลกธุรกิจด้วย

    ตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว คือ กรณีของคุณ “Josh Richards” ซึ่งเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาจาก TikTok ที่ตอนนี้ได้ก่อตั้งบริษัท Venture Capital ขึ้นมา เพื่อลงทุนในสตาร์ตอัปที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่

    แล้วอินฟลูเอนเซอร์ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในวงการ Venture Capital ได้อย่างไร ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
    ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
    แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
    Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    เรามาทำความรู้จักตัวละครหลักของเรื่องนี้กันก่อน คือ คุณ Josh Richards เป็นเด็กหนุ่มชาวแคนาดา เกิดเมื่อปี 2002 ปัจจุบันมีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น

    เขาเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่อายุ 14 ปี จากการทำคลิปวิดีโอเต้นและลิปซิงก์ใน TikTok โดยล่าสุด มีผู้ติดตามถึง 25.5 ล้านบัญชี

    ในปี 2020 นิตยสาร Forbes ได้มีการประเมินว่า คุณ Richards สามารถสร้างรายได้ค่าสปอนเซอร์โฆษณาสินค้าประมาณ 49 ล้านบาท ซึ่งสูงเป็นอันดับ 5 ของแพลตฟอร์ม TikTok

    แต่นอกจากการเป็นอินฟลูเอนเซอร์โซเชียลมีเดีย เขายังมีความฝันที่จะเป็นมหาเศรษฐีระดับ Billionaire คือมีทรัพย์สินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการทำธุรกิจและลงทุนอีกด้วย

    โดยก่อนหน้านี้ คุณ Richards ได้เริ่มก้าวเข้ามาสู่โลกธุรกิจในหลายบทบาท เช่น
    - เป็นผู้บริหารด้านกลยุทธ์ของ Triller แพลตฟอร์มคลิปวิดีโอสั้น คู่แข่ง TikTok
    - ร่วมก่อตั้งบริษัท TalentX Entertainment ค่ายดูแลอินฟลูเอนเซอร์โซเชียลมีเดีย
    - ร่วมก่อตั้งบริษัท Ani Energy ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง
    - เป็นพาร์ตเนอร์ของ Remi Capital บริษัทลงทุนแนว Venture Capital สัญชาติออสเตรเลีย

    และในปี 2021 เขาได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัท Venture Capital ของตัวเอง ชื่อว่า “Animal Capital” ร่วมกับกลุ่มเพื่อนอินฟลูเอนเซอร์ ด้วยเงินทุนเริ่มต้นราว 490 ล้านบาท

    โดยบริษัทมีนักธุรกิจชื่อดังหลายราย เข้าร่วมลงทุนและคอยให้คำแนะนำต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
    - คุณ Kevin Mayer อดีตซีอีโอ TikTok
    - คุณ Sean Rad ผู้ร่วมก่อตั้ง Tinder
    - คุณ Justin Kan ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitch
    - คู่แฝดมหาเศรษฐี Tyler และ Cameron Winklevoss อดีตคู่อริที่เคยฟ้องร้อง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ว่าขโมยไอเดียของพวกเขาไปสร้างเฟซบุ๊ก

    แล้ว Animal Capital ของคุณ Josh Richards แตกต่างจาก Venture Capital ทั่วไปอย่างไร ?

    คุณ Richards เล็งเห็นว่า อิทธิพลที่อินฟลูเอนเซอร์มีต่อผู้บริโภค เป็นจุดเด่นที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อยอดกับการลงทุนได้อย่างมหาศาล

    กลยุทธ์ของ Animal Capital คือ การเข้าไปลงทุนในสตาร์ตอัป ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นกิจการ จากนั้นก็จะนำเอาสินค้าหรือบริการของบริษัท มาทำการตลาดออนไลน์ช่องทางโซเชียลมีเดียของอินฟลูเอนเซอร์

    ซึ่งนอกจากคุณ Richards แล้ว พาร์ตเนอร์คนอื่นก็โด่งดังใน TikTok ไม่แพ้กัน อย่างเช่น คุณ Griffin Johnson ที่มีผู้ติดตาม 10.8 ล้านราย และคุณ Noah Beck ที่มีผู้ติดตาม 30.2 ล้านราย

    โดย Animal Capital กล่าวว่า อินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นพาร์ตเนอร์ของบริษัท มียอดผู้ติดตามทั้งใน TikTok และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ รวมทั้งหมดกว่า 100 ล้านบัญชี

    นั่นหมายความว่า Animal Capital สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ของสตาร์ตอัปที่บริษัทลงทุน ให้ผ่านสายตาผู้บริโภค 100 ล้านราย ได้ทันที และมีโอกาสสูงมากที่หลายคนจะทดลองใช้งาน ตามการโน้มน้าวของอินฟลูเอนเซอร์ที่พวกเขาชื่นชอบ

    ซึ่งกลยุทธ์นี้เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย ทางฝั่งสตาร์ตอัปได้ฐานลูกค้า และกระแสตอบรับจากการใช้งานจริง เพื่อมาปรับปรุงธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น
    ในขณะที่ Animal Capital ก็อาจได้ผลตอบแทนสูง หากบริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต

    ทั้งนี้ คุณ Richards บอกว่า เขาเคยใช้วิธีการนี้สำเร็จมาแล้ว จากการลงทุนส่วนตัวในแพลตฟอร์มทายผลกีฬา ชื่อว่า VersusGame และทำคอนเทนต์แนะนำแพลตฟอร์ม VersusGame ลงในโซเชียลมีเดียของตัวเอง

    ทำให้ตอนนี้ VersusGame มีผู้ใช้งาน 7 ล้านราย และสามารถระดมเงินทุนได้ราว 100 ล้านบาท แม้เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2019

    ในปัจจุบัน Animal Capital มีการเข้าไปลงทุนในบริษัท ที่มุ่งเน้นทำธุรกิจที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนยุค Generation Z ซึ่งเป็นฐานผู้ติดตามหลักของอินฟลูเอนเซอร์ เช่น

    - WHOOP สตาร์ตอัปเทคโนโลยีติดตามข้อมูลสุขภาพ และการออกกำลังกาย
    - Lolli แอปพลิเคชันรับเงินคืนเป็น Bitcoin หลังจากช็อปปิงออนไลน์
    - Deux Foods บริษัทผลิตคุกกี้ ที่ใช้ส่วนผสมเพื่อสุขภาพ
    - WonderFi แพลตฟอร์มธุรกรรมการเงินแบบ Decentralized Finance (DeFi)
    - Whatnot แพลตฟอร์มไลฟ์สตรีมมิง สำหรับซื้อขายสินค้าออนไลน์
    - Parallel Learning สตาร์ตอัปเทคโนโลยีวัดผลการเรียน

    ก็น่าติดตามต่อไปว่า หากคุณ Josh Richards และบริษัท Animal Capital ที่เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง สามารถประสบความสำเร็จ ในอนาคต เราอาจได้เห็นกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ เข้ามามีบทบาทต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี และวงการ Venture Capital มากขึ้น ก็เป็นได้

    เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่า
    ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์อยู่ตลอดเวลา
    สิ่งสำคัญ คือ ทำอย่างไรให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้เร็วและมากที่สุด เพื่อสร้างความคุ้นเคยต่อแบรนด์

    ซึ่งคนที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้ อาจไม่ใช่นักธุรกิจ หรือผู้เชี่ยวชาญการเงินการลงทุน
    แต่เป็น อินฟลูเอนเซอร์ ที่สามารถกำหนดเทรนด์ ให้ผู้ติดตามหลายล้านรายทำตามได้ นั่นเอง

    อย่างไรก็ตาม บริษัทที่จะเป็นพาร์ตเนอร์กับอินฟลูเอนเซอร์ คงต้องพิจารณาข้อมูลให้ละเอียด
    เพราะถ้าหากคนที่ร่วมทำธุรกิจด้วย มีข่าวอื้อฉาวในแง่ลบแม้เพียงนิดเดียว
    มันก็อาจเป็นดาบสองคม ที่ทำให้ผู้บริโภค เลิกใช้สินค้าได้เช่นกัน..
    ╔═══════════╗
    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
    ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
    แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
    Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - facebook.com/longtunman
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
    Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
    Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
    References:
    -https://edition.cnn.com/2021/04/30/business/josh-richards-tiktok-investing-venture-capital/index.html
    -https://www.crunchbase.com/organization/animal-capital/recent_investments
    -https://www.intheknow.com/post/josh-richards/
    -https://www.animalcapital.co/introduction
    -https://www.prnewswire.com/news-releases/versusgame-secures-3-million-in-funding-from-top-music-artists-and-entertainment-producers-301347748.html

  • ปี2002 在 Point of View Youtube 的精選貼文

    2021-05-08 22:04:28

    อ้างอิง

    - Curry, A. (2002). The Hundred Years’ War. Osprey Publishing.
    History.com Editors. (2020, March 10). Joan of Arc. HISTORY. https://www.history.com/topics/middle-ages/saint-joan-of-arc

    - Johnson, B. (n.d.). Kings and Queens of England & Britain. Historic UK. https://www.historic-uk.com/HistoryUK/KingsQueensofBritain/

    - Previté-Orton, C. W. (1975). The Shorter Cambridge Medieval History, Vol. 2: The 12th Century to the Renaissance. Cambridge University Press.

    - The Hundred Years’ War, 1337–1453. (n.d.). BBC Bitesize. https://www.bbc.co.uk/bitesize/guides/z9yjrdm/revision/1

    - - - - - - - - - - - - - -
    ติดต่องาน : [email protected] (งานเท่านั้น)

    ทางไปซื้อสติกเกอร์ line http://line.me/S/sticker/1193089 และ https://line.me/S/sticker/1530409

    ทางไปซื้อ วรรณคดีไทยไดเจสต์ https://godaypoets.com/product/thaidigest-limited-edition/

    ติดตามคลิปอื่นๆ ที่ http://www.youtube.com/c/PointofView

    ติดตามผลงานอื่นๆได้ที่

    https://www.facebook.com/pointoofview/

    tiktok @pointoofview

    หรือ

    IG Point_of_view_th

    #PointofView

    สงครามร้อยปี
    00:00 ทำไมเล่า
    00:42 สภาพสังคมยุคกลาง
    02:48 สาเหตุสงครามร้อยปี
    06:30 สงครามครั้งสำคัญ
    13:15 Joan of Arc
    16:47 ผลกระทบจากสงคราม
    18:18 พูดคุย

  • ปี2002 在 Point of View Youtube 的最佳解答

    2021-05-08 17:00:16

    อ้างอิง

    - Curry, A. (2002). The Hundred Years’ War. Osprey Publishing.
    History.com Editors. (2020, March 10). Joan of Arc. HISTORY. https://www.history.com/topics/middle-ages/saint-joan-of-arc

    - Johnson, B. (n.d.). Kings and Queens of England & Britain. Historic UK. https://www.historic-uk.com/HistoryUK/KingsQueensofBritain/

    - Previté-Orton, C. W. (1975). The Shorter Cambridge Medieval History, Vol. 2: The 12th Century to the Renaissance. Cambridge University Press.

    - The Hundred Years’ War, 1337–1453. (n.d.). BBC Bitesize. https://www.bbc.co.uk/bitesize/guides/z9yjrdm/revision/1

    - - - - - - - - - - - - - -
    ติดต่องาน : [email protected] (งานเท่านั้น)

    ทางไปซื้อสติกเกอร์ line http://line.me/S/sticker/1193089 และ https://line.me/S/sticker/1530409

    ทางไปซื้อ วรรณคดีไทยไดเจสต์ https://godaypoets.com/product/thaidigest-limited-edition/

    ติดตามคลิปอื่นๆ ที่ http://www.youtube.com/c/PointofView

    ติดตามผลงานอื่นๆได้ที่

    https://www.facebook.com/pointoofview/

    tiktok @pointoofview

    หรือ

    IG Point_of_view_th

    #PointofView

  • ปี2002 在 CarDebuts Youtube 的精選貼文

    2021-02-17 08:59:09

    เปิดตัวครั้งแรกในโลก พร้อมราคา The All-New Mitsubishi Outlander 2021-2022 World Premiere มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ โฉมใหม่ล่าสุด มี 3 แถว 7 ที่้นั่ง ทำตลาดในอเมริกาเหนือ ก่อนมาขายในไทย

    Mitsubishi Motors Corporation ประกาศเปิดตัว All-New outlander โฉมใหม่ เจนเนอเรชั่นที่ 4 รุ่นปี 2022 รถครอสโอเวอร์รุ่น flagship ของบริษัท ผ่านทาง Amazon Livestream เป็นครั้งแรก โดยมาพร้อมดีไซน์ใหม่ คุณภาพระดับพรีเมี่ยม สมรรถนะที่เหนือชั้น และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ที่คุณสามารถคาดหวังได้ จากรถยนต์ของ Mitsubishi พร้อมเริ่มจำหน่ายในตลาดอเมริกาเหนือ เป็นที่แรกในโลก ในราคาเริ่มต้น 25,795 เหรียญสหรัฐ หรือราว 773,000 บาท ในเดือนเมษายน ปี 2021 นี้ ก่อนที่จะมีการทำตลาดทั่วโลก หลังจากนั้น

    FRANKLIN, Tenn. – As part of a game-changing collaboration with Amazon, MITSUBISHI MOTORS CORPORATION (MMC) today revealed the all-new 2022 OUTLANDER crossover SUV via livestream, the first vehicle to ever debut on Amazon Live.2 All-new from the wheels up, the 2022 Outlander features a new design direction for both this vehicle and the brand, plus the premium quality, rugged performance and innovative technology expected of a Mitsubishi Motors vehicle.

    The flagship of the Mitsubishi Motors line, it is reimagined and reinvented in every way, and is the best-equipped, most thoughtfully engineered vehicle the company has ever developed. Outlander gears up for sale in North America first in April 2021, with other global markets to follow.

    With a U.S. Manufacturer's Suggested Retail Price starting at $25,7951, the all-new 2022 Mitsubishi Outlander delivers the equipment, quality and lasting value that Mitsubishi customers have come to expect of the brand. Full pricing and packaging details will be made available at a later date.


    "Based on the product concept 'I-Fu-Do-Do,' which means authentic and majestic in Japanese, the all-new OUTLANDER has been crafted into a reliable SUV with significantly upgraded styling, road performance, and a high-quality feel to satisfy the needs of customers who want to expand their horizons and take on challenges of every kind," said Takao Kato, chief executive officer of MMC. "With the launch of the all-new OUTLANDER, we will first expand our sales in the North American market and then aim for global growth."

    The Outlander was first launched in North America in 2002, and this new model is the fourth generation to be sold.

    Styling debuts the brand's next generation Dynamic Shield front face and design language, with muscular fenders, bold proportions and available large-diameter 20-inch wheels. Inside, Outlander is a quiet and serene space, showcasing quality and convenience through class-above materials, seating for seven in the segment's only standard-equipment third-row, available 12.3-inch digital instrument cluster and 9-inch center screen, and also newly available wireless smartphone charging capability with Android Auto3 and wireless Apple CarPlay.4

    The engineering underpinnings are also all-new. Partnered with a newly developed platform and 2.5L four-cylinder engine, Mitsubishi's rally-derived Super All-Wheel Control5 system provides unmatched confidence for drivers in all environments. The newly developed drive mode selector allows performance and grip to be tailored to the conditions through six distinct settings, increasing on-road and off-pavement performance. Even two-wheel drive models are fitted with the drive-mode selector, offering five distinct modes in this setup, to help drivers feel more confident in all driving conditions.

    Standard equipment on the 2022 Outlander includes 11 airbags6, three rows of seats, myriad storage locations, USB-A and USB-C charge ports and 18-inch wheels.

    Depending on trim level, the 2022 Outlander can be fitted with 20-inch wheels, Mitsubishi's MI-PILOT Assist driver assistance system with adaptive cruise control and lane-keep assist7, semi-aniline leather seating, integrated navigation using what3words technology, a windshield-display 10.8-inch full-color Head-Up Display (HUD), Mitsubishi's industry-leading Mitsubishi Connect smart-car system, and a 10-speaker BOSE® audio system.8

    Mitsubishi Motors North America is in the midst of introducing a full showroom of redesigned, reengineered or all-new vehicles, and the 2022 Outlander is the culmination of that program. This much-anticipated vehicle is here, and the game-changing launch is well under way. The all-new 2022 Mitsubishi Outlander is set to break boundaries, reset expectations and demand attention.

你可能也想看看

搜尋相關網站