雖然這篇ประทับ ภาษาอังกฤษ鄉民發文沒有被收入到精華區:在ประทับ ภาษาอังกฤษ這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章
在 ประทับ產品中有15篇Facebook貼文,粉絲數超過0的網紅,也在其Facebook貼文中提到, ช่วงปฐมกาล เมื่อพระนางสิริมหามายาพระครรภ์แก่ ได้เสด็จฯ จากกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อกลับไปประสูติในบ้านตระกูลเดิมที่กรุงเทวะทหะ ...
同時也有2部Youtube影片,追蹤數超過1,550萬的網紅Grammy Gold Official,也在其Youtube影片中提到,"อ๊อด โอภาส" ความรู้สึกที่มีต่อ “แกรมมี่ โกลด์” กับ 25 ปี แกรมมี่ โกลด์ 25 ปี แห่งความผูกพัน ฉันและเธอ #25ปีแกรมมี่โกลด์ #อ๊อดโอภาส #แกรมมี่โกลด์ #...
「ประทับ」的推薦目錄
- 關於ประทับ 在 ICEAMORE Instagram 的最佳貼文
- 關於ประทับ 在 ??MAIBARU ThaiVlog Instagram 的最佳貼文
- 關於ประทับ 在 Joe Instagram 的最佳解答
- 關於ประทับ 在 Facebook 的最讚貼文
- 關於ประทับ 在 Kanok Ratwongsakul Fan Page Facebook 的最讚貼文
- 關於ประทับ 在 Roundfinger Facebook 的最讚貼文
- 關於ประทับ 在 Grammy Gold Official Youtube 的最佳貼文
- 關於ประทับ 在 Ding Dong Dad Youtube 的最佳解答
ประทับ 在 ICEAMORE Instagram 的最佳貼文
2020-09-21 13:34:29
คุ้มค่าและไม่เสียดายเงินเลย~ วันนี้ต้องขอมาอัพเดตจริงๆ เพราะช่วงก่อนไอซ์ก็ไม่ได้อินกับการต้องมาหาปลอกหมอนผ้าไหมดีๆ ในการนอนเท่าไร จนช่วงหลังๆ ทนกระแสท...
ประทับ 在 ??MAIBARU ThaiVlog Instagram 的最佳貼文
2020-08-10 09:35:04
𓇼𓆡𓆉 𓇼𓆡𓆉 ウグォォォ楽園の朝ァアア!! ประทับใจมากก🥺💖 𓆉 𓇼𓆡𓆉 𓇼𓆡...
ประทับ 在 Joe Instagram 的最佳解答
2020-05-09 15:48:54
เหล็กแหลม ประทับ ม้าทรง ( 90 นาที โครเอเชีย ยันเสมอได้ ที่เหลือ ไม่ดู)...
-
ประทับ 在 Grammy Gold Official Youtube 的最佳貼文
2020-11-10 08:00:07"อ๊อด โอภาส" ความรู้สึกที่มีต่อ “แกรมมี่ โกลด์”
กับ 25 ปี แกรมมี่ โกลด์
25 ปี แห่งความผูกพัน ฉันและเธอ
#25ปีแกรมมี่โกลด์ #อ๊อดโอภาส #แกรมมี่โกลด์
#grammygold #grammygoldofficial
#สมหวังเงินสั่งได้ แอดไลน์เลย http://bit.ly/linesomwang
-------------------------------------------------------------------------------
❤︎ ติดตามอัพเดทผลงานศิลปิน Grammy Gold ได้ที่
Line@ : http://bit.ly/LineGold
IG : Grammygold_Official
YouTube : http://bit.ly/GrammyGoldOfficial
Twitter : http://bit.ly/TwitGold
Facebook : http://bit.ly/FBgmmGold
☎ ติดต่องานจ้างศิลปิน แกรมมี่โกลด์ โทร.085-484-7345 -
ประทับ 在 Ding Dong Dad Youtube 的最佳解答
2018-01-30 19:00:07ละครสั้น คนจน VS คนรวย ร่างทรง 4.0 ประทับ - DING DONG DAD
มือถือสั่นแรงจนร่างทรง 4.0 ประทับ !!
ติดตาม DING DONG DAD แฟนเพจได้ที่นี่ :
https://www.facebook.com/DingDongDad/
ขอขอบคุณเพลงประกอบ :
Bama Country - Country โดย Kevin MacLeod ได้รับอนุญาตภายใต้ ใบอนุญาต Creative Commons Attribution (https://creativecommons.org/licenses/by/4.0/)
ที่มา: http://incompetech.com/music/royalty-free/index.html?isrc=USUAN1100359
ศิลปิน: http://incompetech.com/
Manic Polka โดย Kevin MacLeod ได้รับอนุญาตภายใต้ ใบอนุญาต Creative Commons Attribution (https://creativecommons.org/licenses/by/4.0/)
ที่มา: http://incompetech.com/music/royalty-free/index.html?isrc=USUAN1100168
ศิลปิน: http://incompetech.com/
ประทับ 在 Facebook 的最讚貼文
ช่วงปฐมกาล เมื่อพระนางสิริมหามายาพระครรภ์แก่ ได้เสด็จฯ จากกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อกลับไปประสูติในบ้านตระกูลเดิมที่กรุงเทวะทหะ ตามความเชื่อดั้งเดิมแต่โบราณ เมื่อเสด็จถึงลุมพินีสถาน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ ก็ประสูติพระราชกุมารในพระอริยาบทยืนเหนี่ยวกิ่งต้นสาละ ตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ วันวิสาขบูชา
ช่วงปัจฉิมกาล พระบรมศาสดาเสด็จไปถึงสาลวโนทยาน กรุงกุสินารา ทรงตรัสให้พระอานนท์ปูลาดพระแท่นระหว่างสาละพฤกษ์สองต้น แล้วเสด็จประทับปลงสังขารและดับขันธ์ปรินิพพานในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันวิสาขปุรณมี ใต้ต้นสาละคู่นั้นเอง
Credit อาจารย์วีระชัย ณ นคร
ประทับ 在 Kanok Ratwongsakul Fan Page Facebook 的最讚貼文
วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสาขปุรณมีบูชา "
แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ "
ปีนี้มีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน จึงตรงกับ
วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗
.
วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด
ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ
เกิดขึ้นตรงกันทั้ง ๓ คราวคือ
๑. “ประสูติ” เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖
ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีจอ
ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี หรือราวประมาณ ๒,๖๔๔ ปีก่อน
.
เป็นวันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ณ ลุมพินีสถาน
เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้า
สุทโธทนะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ
พระนางได้รับพระบรมราชานุญาต จากพระสวามี
ให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ
ซึ่งเป็นพระนครเดิมของพระนาง
เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น
.
ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน
พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น
.
ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ"
ซึ่งต่อมาพระองค์ได้ออกบวช จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
(ญาณอันประเสริฐสูงสุด)
สำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงถือว่า วันนี้เป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้า ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี
.
๒. “ตรัสรู้” เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
ในตอนเช้ามืดวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา
ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี หลังจากออกผนวชได้ ๖ ปี
ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา
เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย
.
การตรัสรู้อริยสัจสี่ คือของจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ
ของพระพุทธเจ้า เป็นการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม
ไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
จึงจัดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลก
.
ชาวพุทธทั่วไปจึงเรียกวันวิสาขบูชาว่า วันพระพุทธ(เจ้า) อันมีประวัติว่า
พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้น
พระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า "ฌาน" เพื่อให้บรรลุ "ญาณ" จนเวลาผ่านไปจนถึง ...
ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ"
คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น
ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ"
คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ยามสาม : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ"
คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจสี่
( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค )
ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖
ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา
.
ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจ ๔ หรือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่
๑. ทุกข์ คือ ความลำบาก ความไม่สบายกาย
ไม่สบายใจ
๒. สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ และ
๔. มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์
ทั้ง ๔ ข้อนี้ถือเป็นสัจธรรม เรียกว่า อริยสัจ เพราะเป็นสิ่งที่พระอริยเจ้าทรงค้นพบ เป็นสัจธรรมชั้นสูง ประเสริฐกว่าสัจธรรมสามัญทั่วไป
.
๓. “ปรินิพพาน” หลังจากตรัสรู้แล้ว ได้ประกาศ
พระศาสนา และโปรดเวไนยสัตว์ เป็นระยะเวลา
๔๕ พรรษา
.
พระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน
เมื่อวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมือง กุสีนคระ) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย
.
การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
ก็ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลกเพราะชาวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีปของโลก
เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญชาวพุทธทั่วไปมีความเศร้าสลดเสียใจและอาลัยสุดจะพรรณนา
.
อันมีประวัติว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมาเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก
ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ
ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
.
ในราตรีนั้น ได้มีปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อสุภัททะขอเข้าเฝ้า
และได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสาวกองค์สุดท้าย
เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า
.
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
.
หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ที่เหตุการณ์ทั้ง ๓ เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี
บังเอิญเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๖
.
ดังนั้นเมื่อถึงวันสำคัญ เช่นนี้ ชาวพุทธทั้งคฤหัสถ์
และบรรพชิตได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาพระพุทธองค์เป็นการพิเศษ
เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ
พระปัญญาธิคุณ
และพระบริสุทธิคุณ
ของพระองค์ท่าน ผู้เป็นดวงประทีปของโลก
--------------
ตามรอย ธรรม
FB : ใต้ร่ม ธรรม
ประทับ 在 Roundfinger Facebook 的最讚貼文
"ทำยังไงถึงมีเรื่องเขียน"
ผมมักเจอคำถามนี้บ่อยๆ แม้จนถึงวันนี้ยังไม่ค่อยกล้าเรียกตัวเองว่านักเขียน แต่ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่าชอบเขียนหนังสือ และสนุกกับการเขียนเล่าเรื่องนู้นนี้มาก แอบเชื่อว่าถ้าให้เขียนไปเรื่อยๆ ทั้งวันก็ทำได้ หมายถึงมีเรื่องให้เล่าไปเรื่อยๆ จะเมื่อยก็แต่สมอง ซึ่งทำให้ต้องพักบ้าง
ที่เป็นแบบนั้นเพราะผมชอบเล่าเรื่อง และเรื่องที่เล่าส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน ไม่ได้แปลกพิสดารอะไร ผมจึงคิดเสมอว่าใครๆ ก็เล่าเรื่องได้ ใครๆ ก็เขียนได้ อันนี้พูดถึงมาตรฐานประมาณตัวผมเอง เพราะถ้าจะเล่าเรื่องให้ได้แบบนักเขียนที่เก่งๆ ก็ยอมรับว่าไม่ง่ายเหมือนกัน
ทีนี้ คำตอบของคำถามยอดฮิตนั้นคืออะไร
"ทำยังไงถึงมีเรื่องเขียน"
ผมพบว่าคำตอบสำหรับตัวเองนั้นเรียบง่ายมากเลยครับ "ฟัง" คือคำตอบ ทุกครั้งที่ได้พบผู้คนใหม่ๆ หรือคนเดิมในครั้งใหม่ เพียงนั่งคุยกันไม่กี่นาทีผมก็สัมผัสได้ทันทีว่า 'ต่อมรับรส' ในสมองถูกกระตุ้นให้ทำงาน ลิ้นชักวัตถุดิบเปิดออกเตรียมบรรจุเรื่องราวใหม่ๆ ใส่ลงไป จังหวะนั้นจะรู้ทันทีว่าคนตรงหน้าคือเหมืองทองคำ
เปรียบเทียบแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาคือคนที่มีเรื่องราวให้เรามาทำมาหากิน (ม่ายช่ายอย่างง้าน) แต่เป็นความรู้สึกว่า คนตรงหน้าคือ 'ครู' ที่มีวิชาที่เราไม่รู้มาสอนให้เราได้รู้
แล้วทุกสิ่งก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ จู่ๆ ผมก็ปรับโหมดเป็น 'ผู้ฟัง' และ 'นักเรียน' (ซึ่งผมอยู่ในโหมดนี้แทบจะเป็นปกติ) สำหรับผม บทสนทนาจะสนุกหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ผมได้พูดเยอะแค่ไหน ไม่จำเป็นว่าสองฝ่ายต้องได้พูดเท่าๆ กัน แต่อยู่ตรงที่ทั้งสองฝ่ายเอ็นจอยบรรยากาศนั้นหรือเปล่า
คำถามสนุก คนตอบก็สนุก
คนฟังอยากรู้ คนเล่าก็อยากเล่า
นี่คือช่วงเวลาที่ทั้งวิน-วิน และฟิน-ฟิน
นี่คือการสนทนาที่มีความสุข
...
ใช้เวลาไม่นานนัก, ถ้าฟัง, เราจะพบเลยว่าคุณครูตรงหน้าสอนวิชาอะไร ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้รู้หรืออาจารย์ ทุกคนที่เราตั้งใจฟังมีวิชาสอนเราเสมอ อาจเป็นวิชาความล้มเหลว วิชาอกหัก วิชาลำบาก ซึ่งครูไม่จำเป็นว่าต้องข้ามผ่านเรื่องยากเหล่านั้นสำเร็จแล้ว แต่ครูอาจแบ่งปันประสบการณ์และความรู้สึกในเรื่องยากที่กำลังเผชิญอยู่ให้เราได้รับรู้ นี่ก็วิชาเช่นกัน
เมื่อฟังเป็น เราจะถามเป็น
เพราะมีแต่การตั้งใจฟังเท่านั้นที่จะทำให้เราถามต่อได้ และตั้งคำถามที่น่าสนใจ คู่สนทนาจะยิ่งสนุกเมื่อคำถามน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ และคำถามจะสนุกได้เมื่อเราอยากรู้เรื่องนั้นจริงๆ ไม่ใช่ถามแบบขอไปที หรือถามเป็นมารยาท หรือถามเพื่อหาเรื่องถมเดดแอร์
ผู้ฟังจำนวนมากฟังเพื่อจะพูดเรื่องของตัวเอง
ไม่ได้ผิดอะไร แค่คุณจะพลาดที่จะได้ฟังเรื่องของคนอื่น พลาดที่จะได้สร้างบรรยากาศสนทนาที่ดี พลาดที่จะได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนตรงหน้า และพลาดที่จะได้สร้างเพื่อนใหม่ที่ประทับใจกัน
พลาดสำคัญคือ คุณจะจบการสนทนาโดยที่ตัวเองมีความรู้เท่าเดิม
...
เวลาฟัง ผมไม่ได้คิดว่าจะฟังเพื่อมาถ่ายทอดในทุกครั้ง แต่ผมฟังเพราะอยากเข้าใจ บางครั้งก็อยากรู้สึกเหมือนที่เขารู้สึก (แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็อาจใกล้เคียง) ผมไม่ได้ฟังเพื่อจำ แต่ทุกครั้งที่ตั้งใจฟังจะจำได้เอง
หลายคนถามว่า ทำไมเวลาคุยกับใครแล้วเอามาเล่าเหมือนถือสมุดจดระหว่างคุยกับเขา เอ๊ะ หรือแอบบันทึกเสียงไว้ ม่ายช่าย! ผมคิดว่าที่จำได้อาจเป็นเพราะเราใส่ใจ และอยู่ตรงนั้นกับคนนั้นจริงๆ อะไรที่ประทับใจมันก็ไม่ลืม มัน 'ประทับ' ลงไปในใจจริงๆ
อีกเหตุผล, เป็นไปได้ว่าตอนนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่าจะพูดเรื่องตัวเองยังไงดี ผมแค่คิดว่าอยากรู้อะไรจากเขาอีก อยากเข้าใจอะไรจากเขาให้มากขึ้น สมองก็เลยโล่ง พร้อมบรรจุเรื่องราวที่คนตรงหน้าเล่าให้ฟัง
เช่นนี้แล้ว ทุกวันที่ได้พบเจอผู้คน ไม่ว่าคนใหม่หรือคนเดิมในครั้งใหม่ จึงไม่ต่างอะไรกับการเข้าห้องเรียน ผมได้เรียนรู้ผ่านการพูดคุยเสมอ เพราะคนตรงหน้ามีโลกคนละใบกับเรา ถนัดคนละอย่าง ผ่านชีวิตมาคนละแบบ ทุกคนคือเหมืองทองซึ่งเต็มไปด้วยทองคำเลอค่า แค่เราจะขุดขึ้นมาเพื่อเรียนรู้ปรับใช้หรือไม่
บทสนทนาที่ดีคือหนึ่งในช่วงเวลาดีๆ ของชีวิต
ได้บทเรียน ได้ใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน ได้มีความสัมพันธ์และมิตรภาพ
เรื่องการหยิบเก็บมาเขียนเป็นเพียงผลพลอยได้เล็กๆ ที่อยากนำมาแบ่งปันให้คนอื่น และเล่าซ้ำเพื่อย้ำเตือนตัวเอง
เจอผู้คนก็มีความสุข นั่งฟังก็มีความสุข เล่าต่อก็มีความสุข
ทั้งหมดนี้เริ่มจาก 'ฟัง'