雖然這篇บุคลากรทางการศึกษา鄉民發文沒有被收入到精華區:在บุคลากรทางการศึกษา這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章
在 บุคลากรทางการศึกษา產品中有4篇Facebook貼文,粉絲數超過19萬的網紅Danai Chanchaochai,也在其Facebook貼文中提到, ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รับมอบหนังสือประวัติศาสตร์ชุดแสงแห่งปัญญา จาก ดร. ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธ...
บุคลากรทางการศึกษา 在 Danai Chanchaochai Facebook 的精選貼文
ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รับมอบหนังสือประวัติศาสตร์ชุดแสงแห่งปัญญา
จาก ดร. ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธิธรรมดี
น้อมถวายแสงแห่งปัญญาเป็นพุทธบูชา
ส่งเสริมการศึกษาประวัติศาสตร์ให้เยาวชนไทย ครูผู้ปกครอง
บุคลากรทางการศึกษา การแพทย์ทั่วประเทศ 999 แห่ง
ข้อมูล https://bit.ly/3iGqDKm
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี …
เชิญร่วมทอดผ้าป่าหนังสือชุดแสงแห่งปัญญา
กองละ 5,000 บาท (1 กอง = 1 โรงเรียน/โรงพยาบาล)
มูลนิธิธรรมดีสมทบทุนกองละ 10,000 บาท
หรือบริจาคตามจิตศรัทธาที่กสิกรไทย
บัญชี มูลนิธิธรรมดี ทอดผ้าป่าหนังสือดี สังคมดี
7722311544
ติดต่อ Line @dmgbooks
📞 092-9561145
สาธุ 🙏
บุคลากรทางการศึกษา 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
"หลักคิด 4 ไม่ + 3 ต้อง : ในสถาบันอุดมศึกษา”
สิทธิกร ศักดิ์แสง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
หนทางเข้าสู่ความยั่งยืนในสถาบันอุดมศึกษาของบุคลากรการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาไม่ใช่แค่บางช่วงเวลาหรือเฉพาะช่วงที่มีสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง หลักคิด “4 ไม่ + 3 ต้อง“ จึงมีความสำคัญกับบุคลากรทางการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาโดยตรง
“4 ไม่” คือ
1. ไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของผู้บริหาร กรรมการสภาในสถาบันอุดมศึกษา
2.ไม่ติดอยู่กับความรู้ที่ไม่ใช่ความจริง ที่จริง ๆ เป็นมายา
3. ไม่หลงว่าสถาบันอุดมศึกษาเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของบุคลากรการศึกษา
และ 4. ไม่เข้าไปในวังวนอำนาจบริหารในสถาบันอุดมศึกษาทางขณะที่ยังขาดความสามารถในการพึ่งตนเอง เพราะอาจไม่สามารถรักษาความตั้งใจที่ดีได้ คือ “ตระหนักรู้ในสิ่งที่จริง และหวังพึ่งตนเอง”. แล้วก็ผนวกเข้ากับ “3 ต้อง” ด้วย
3 ต้อง“ นั้น
1. ต้องพึ่งตนเองได้ คือ.บุคลากรทางศึกษาโดยเฉพาะฝ่ายวิชาการโดยรวม พึ่งตัวเองในการสร้างผลการทางวิชาการ ไม่รอใครช่วย ไม่ต้องรอหรือเรียกร้องการสนับสนุนของสถาบันการศึกษาจากผู้บริหาร จะทำให้มีโอกาสที่ต้องอยู่การครอบงำของผู้บริหาร ถึงไม่มีใครช่วยก็จะยืนอยู่อย่างมั่นคง ซึ่งไม่ได้หมายว่าถ้ามีใครมาช่วยเหลือก็จะเย่อหยิ่ง ไม่เอาใคร แต่การช่วยเหลือนั้น ๆ ต้องเป็นการเกื้อกูล เป็นความช่วยเหลือบนความเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ช่วยเหลือเพื่อจะมาจูงจมูกหรือให้ขึ้นต่อ การเป็นกัลยาณมิตรในการพึ่งพานำสู่สิ่งที่ดีงามกว่า เช่นนี้จึงเป็นอิสระไม่ต้องขึ้นต่อใคร ขึ้นต่อความจริงและความดีงาม. และ พึ่งตนเองได้ทางจิตวิญญาณ ประชาชนโดยรวมมีอิสระทางชีวิตความเป็นอยู่ แม้ไม่รวย แต่ก็ไม่เดือดร้อน เมื่อมีความมั่นคงทางจิตวิญญาณก็มีอิสระทางความคิด เมื่อมีอิสระทางความคิดก็เป็นพื้นฐานของการมีปัญญา เมื่อมีปัญญาก็เป็นพื้นฐานของความสุข เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครมาลากจูง ซื้อวิญญาณที่อิสระได้ ตระหนักรู้ว่าอะไรควรไม่ควร? อะไรเป็นประโยชน์ต่อประชาชน? อะไรเป็นประโยชน์ของพวกใคร?
2. ต้องตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้บริหารโดยสภาสถาบันอุดมศึกษาที่มาจากจากตัวแทนบุคลากรการศึกษา เพราะสถาบันการศึกษาเป็นภาพสะท้อนบุคลากรทางการศึกษาคุณภาพของสถาบันการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ยคุณภาพของบุคลากรทางการศึกษา เมื่อบุคลากรทางการศึกษาโดยรวมให้ความสำคัญกับการตระหนักรู้และเท่าทันผู้บริหาร ก็จะได้สถาบันการศึกษาที่ดีกว่าเดิม ซึ่งวิถีที่มีประสิทธิผลที่สุดที่บุคลากรทางการศึกษาจะได้สถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพมากกว่าเดิมไม่ใช่การเข้าไปเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารสถาบันการศึกษา แต่คือ การตรวจสอบการใช้อำนาจการบริหารผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา นั่นคือ บุคลากรในสถาบันอุดมศึกษามีส่วนในการใช้อำนาจในหารบริหารสถาบันอุดมศึกษามากขึ้น คือ เป็นตัวแทนกรรมการสภาสถาบันอุดมศึกษา
เมื่อบุคลากรการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาโดยรวม ตระหนักรู้และเอาจริงในภารกิจนี้ร่วมกัน มีการจับตาดู มีการตรวจสอบอย่างเอาจริงเอาจังจากบุคลากรทางการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาผู้บริหารย่อมจะต้องระวังการใช้อำนาจในการบริหารสถาบันอุดมศึกษา
3. ต้องสร้างองค์กรของบุคลากรการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา คือ สภาคณาจารย์และเจ้าหน้าที่จริง ๆ นี่สำคัญ คือ บุคลากรการศึกษาในสถาบันการศึกษาโดยรวมประสานเป็นเครือข่ายสภาคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ เริ่มจากน้อยไปหามาก ที่สุดก็สามารถสร้างสภาคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ ที่แท้จริงขึ้นได้ เพื่อเป็นองค์กรหลักของประเทศอีกองค์กรหนึ่งในสถาบันอุดมศึกษา เกิดเป็นการระดมกำลังบุคลากรการศึกษาโดยรวมจับตาการบริหารงานของผู้บริหารในสถาบันอุดมศึกษา ผู้บริหารในสถาบันอุดมศึกษาที่คิดจะทำผิดก็จะกล้าทำน้อยลง ผู้บริหารในสถาบันอุดมศึกษาที่ทำผิดทำชั่วก็จะถูกเปิดเผยและถูกลงโทษมากขึ้น และผู้บริหารในสถาบันอุดมศึกษาที่ทำถูกทำดีก็จะได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้นในอีกระดับหนึ่ง
“เมื่อสังคมเป็นเช่นนี้ จึงจะได้สถาบันอุดมศึกษาที่ดีกว่าเดิม ความจริงนี้ตรงไปตรงมาที่สุด การเปลี่ยนตัวแทนของระบบ แต่ระบบเก่ายังคงอยู่ ไม่มีอะไรดีขึ้นได้ดังหวัง แต่การรอใครหรือรอระบบจากไหนมาแก้ปัญหาโดยหวังว่าแล้วก็จะดีเอง ก็เป็นการคิดแบบอ่อนแอ ผิดหลักแห่งความเป็นจริง ต้องยึดพื้นฐานคือการพึ่งตนเอง มีแต่ต้องเริ่มที่บุคลากรการศึกษาโดยรวมก่อน แม้ไม่ง่าย ใช้เวลา แต่เมื่อเริ่มทำและเดินหน้าไม่เหน็ดเหนื่อย ที่สุดก็จะดีขึ้นได้ดังหวัง”
ทั้งนี้ ไม่ว่าสถานการณ์ ’การเมือง“ ในสถาบันอุดมศึกษา วันนี้จะเป็นอย่างไร?? และต่อไปจะเป็นเช่นไร?? จะอย่างไรก็ย่อมเกี่ยวข้อวโดยตรง ๆ กับ บุคลากรทางการศึกษา ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีฝั่งฝ่าย ซึ่งจะ ’น่าเสียดาย“ หรือไม่?? ที่ไม่คำนึงหรือหันมองและให้ความสำคัญต่อ “หลักคิด 4 ไม่ + 3 ต้อง”
บุคลากรทางการศึกษา 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最讚貼文
จากคำแถลงของ ศบค. เมื่อวาน เรากำลังจะ "เปิดประเทศ" ให้คนต่างชาติเข้ามาแล้วครับ โดยกลุ่มแรกที่จะเข้ามาเลย ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ คือ กลุ่มที่พร้อมจะกักตัว 14 วัน ... กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มใหม่ชื่อว่า "กลุ่มเป้าหมายที่ใช้มาตรการควบคุมไว้สังเกต" (คือพวกนักธุรกิจ นักลงทุน) ที่สามารถเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักกันตัว 14 วันด้วย ถ้าทำตามมาตรการต่างๆ
------
(รายงานข่าว) ที่ 24 มิ.ย. 2563 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้กล่าว ในแถลงการณ์ประจำวัน ถึงมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของชาวต่างชาติ ว่า
“กลุ่มที่ดำเนินการได้ทันที คือ 1.กลุ่มเป้าหมายที่ตอบรับมาตรการกักตัวในสถานที่ของรัฐ 14 วัน ที่มีการลงทะเบียนไว้แล้ว ซึ่งสามารถเข้ามาได้เลยตั้งแต่วันนี้ (24 มิถุนายน 2563) เป็นต้นไป ประกอบด้วย กลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุน ส่วนแรงงานฝีมือ ผู้เชี่ยวชาญ คนต่างด้าว กรณีเป็นครอบครัวของคนไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนที่อยากเข้ามารักษาพยาบาลในไทย สามารถเดินทางเข้ามาได้ในวันที่ 1 กรกฎาคม นี้ และอยู่ในพื้นที่ กทม. ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ เชียงราย หรือตามความพร้อม
2.กลุ่มเป้าหมายที่ใช้มาตรการคุมไว้สังเกต ซึ่งเป็นนักธุรกิจ นักลงทุน ที่เดินทางเข้ามาในระยะสั้นๆ และเป็นแขกของรัฐบาล และส่วนราชการ ขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณามาตรการผ่อนคลายฯ และเมื่อเข้ามาแล้วต้องมีการตรวจและปลอดโควิด-19 ทั้งจากประเทศต้นทางและเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยจะต้องมีทีมติดตามด้านการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งกลุ่ม 2 นี้ยังต้องรอให้ที่ประชุม ศบค.อนุญาตให้เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 63
3. นักธุรกิจและนักท่องเที่ยวตามโครงการ travel bubble ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะขณะนี้ประเทศจีน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ก็พบการติดเชื้อรอบใหม่ โดยโครงการ travel bubble จะทำได้ต่อเมื่อมีความพร้อมและสังคมเชื่อมั่นในมาตรการ โดยขณะนี้มีการเตรียมความพร้อมเป็น 2 แบบ แบบที่ 1เป็นมาตรการสถานกักตัววิลลา ให้นักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มเข้าพักภายในโรงแรมหรือรีสอร์ตเดียวกัน โดยนักท่องเที่ยวบางกลุ่มมักเข้ามาพักผ่อนนานเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนและอยู่ในพื้นที่จำกัดของโรงแรม เริ่มต้นวันที่ 1 ส.ค. 63 และแบบที่ 2 การผ่อนคลายมาตรการกักตัวซึ่งต้องรอเมื่อสังคมมีความพร้อม” โฆษก ศบค. กล่าว
ภาพและข่าวจาก https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/1383526/