[爆卦]น็อก หรือ น็อค是什麼?優點缺點精華區懶人包

雖然這篇น็อก หรือ น็อค鄉民發文沒有被收入到精華區:在น็อก หรือ น็อค這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章

在 น็อก產品中有6篇Facebook貼文,粉絲數超過8,522的網紅หจก.ห้างทองเทพนิมิต เจ๊แดง,也在其Facebook貼文中提到, ขออนุญาต น็อก นะคะ พรุ่งนี้จะมารับยอดให้ค่า 😴😴😴...

 同時也有2部Youtube影片,追蹤數超過25萬的網紅AD-AOF TV,也在其Youtube影片中提到,อย่าลืมกดไลค์และ Subscribe เป็นกำลังใจให้ด้วยน้า ^_^ ::: http://www.youtube.com/c/ADAOF7kGameplayTV ::: ========================================== มี...

น็อก 在 I Love Japan TH Instagram 的精選貼文

2020-06-18 02:55:24

#ประสบการณ์ทำงานที่ญี่ปุ่น ภาค 2 🇯🇵 ตอน ลาออกจากงาน🖐🏻 ——— หลังจากที่ทำงานมาที่บริษัทผลิตเครื่องจักรพลังงานแสงอาทิตย์ ในฐานะ Sales Engineer มาปีกว่าๆ ก...

  • น็อก 在 หจก.ห้างทองเทพนิมิต เจ๊แดง Facebook 的最讚貼文

    2020-12-28 22:37:17
    有 59 人按讚

    ขออนุญาต น็อก นะคะ
    พรุ่งนี้จะมารับยอดให้ค่า
    😴😴😴

  • น็อก 在 RPG Channel Facebook 的最佳貼文

    2020-09-02 16:50:51
    有 961 人按讚

    เตรียมฝึกซ้อมไม่ได้หวังชนะ​ หวัง​น็อก...!!
    #ปืนrpg
    #idolfight
    #idolfight​Ss2

  • น็อก 在 I Love Japan TH Facebook 的最讚貼文

    2020-06-10 22:00:38
    有 1,569 人按讚

    #ประสบการณ์ทำงานที่ญี่ปุ่น ภาค 3🇯🇵
    ตอน ลาออกจากงาน🖐🏻
    .
    🔴สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านเรื่องก่อนหน้านี้
    https://www.facebook.com/ILoveJapan.th/posts/2696138543953008/
    ———
    หลังจากที่ทำงานมาที่บริษัทผลิตเครื่องจักรพลังงานแสงอาทิตย์
    ในฐานะ Sales Engineer มาปีกว่าๆ ก็มีจุดที่ทำให้รู้สึกว่าถึงเวลาที่เราควรจะเลิกทำงานนี้แล้ว
    .
    ⚠️นั่น ก็คือ
    ⛔1. #สุขภาพที่ทรุดโทรม
    อย่างที่เคยกล่าวไปในภาคที่แล้ว
    ว่าเนื่องจากเราทำงานเป็นเซล จะมีวันหยุดที่ไม่แน่นอน
    มีโอที ไปดื่ม(nomikai)กับทั้งเจ้านาย
    และกับลูกค้าบ่อยๆ เดินทางเป็นว่าเล่น วันหยุดแต่ก็ต้องแบกงานกลับมาทำบ่อยๆ
    ช่วงแรกๆที่ทำงานนี้ คุณพ่อก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่
    เพราะคุณพ่อก็เคยทำงานเป็น Sales Engineer มาก่อน เหมือนกัน แต่ที่ไทย🇹🇭
    คุณพ่อบอกว่ามันเป็นงานที่เหมาะกับผู้ชายมากกว่า
    เพราะนอกจากต้องใช้พลังกายเยอะแล้ว
    ยังเป็นงานที่ต้องดีลกับผู้ชายเยอะ
    พาลูกค้าไปเอ็นเตอร์เทน ไปดื่ม🍺 ฯลฯ
    ไม่เหมาะกับผู้หญิง
    .
    แต่ตอนนั้น เราก็ยังยืนยันที่จะทำ
    เพราะคิดว่าเป็นประสบการณ์ งานสมัยนั้นก็ใช่ว่าจะหาง่าย
    ยิ่งเราเป็นต่างชาติ สมัยนั้นยังไม่ค่อยเปิดรับคนต่างชาติมาทำงานเท่าทุกวันนี้
    ที่สำคัญไม่อยากจะเข้ามาทำงานไม่กี่เดือนแล้วก็ออก
    อย่างน้อยก็ตั้งใจว่าจะต้องอยู่ให้ได้ถึงปีก่อน
    .
    ตอนแรกๆที่ทำงานหนัก ก็ยังไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่
    (อาจเป็นเพราะเรายังสาวอยู่555)
    นอนดึกตื่นเช้า ทำงานจนดึกๆดื่นๆ ไปดื่มกับเจ้านาย
    เพื่อนร่วมงาน ปิดท้ายด้วยราเมงรอบดึก
    กลับรถไฟเที่ยวสุดท้าย หอบร่างพังกลับบ้าน
    บางทีก็ไปbusiness trip ที่ต่างประเทศเป็นว่าเล่น
    แต่กฺยังทนได้ ใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้
    วันหยุดคือ น็อก ล้ามากนอนสลบอยู่แต่บ้าน
    .
    จนกระทั่งวันนึงร่างกายเริ่มจะรับไม่ไหว
    วันเสาร์ อาทิตย์ (ถ้าได้หยุด เพราะบ่อยครั้งที่ถูกเรียกไป business trip กะทันหัน)
    หลับเป็นตายเพลียมาก ไม่มีแรงออกไปไหนเลย นอกจากไปนวด
    (ถึงจะแพงก็ยอมจ่าย เพราะไม่ไหวจริงๆ)
    วันหยุดไม่มีแรงทำอะไรนอกจากนอนเป็นตาย
    ผิวพรรณแย่ลง
    .
    ยิ่งไปกว่านั้น เริ่มเป็นกรดไหลย้อนขั้นรุนแรง
    หมดค่ายาไปเยอะมาก ยาที่ญี่ปุ่นไม่แรงพอ ต้องให้ที่บ้านส่งมาให้
    กินยาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เป็นหนักมาก ถึงขนาดนอนไม่ได้
    แสบหน้าอกมากๆ แสบกระเพาะไปหมด
    ทรมานจนต้องไปส่องกล้องในกระเพาะดูเพราะกลัวเป็นมะเร็ง
    ขาดยาไม่ได้เลย ขนาดลาออกแล้ว 3-4ปียังไม่หาย
    กินยาจนยาก็เอาไม่อยู่ (ตอนนี้หายแล้วนะคะ นานๆจะกลับมาเป็นที)
    .
    เรียกว่า 1ปีแรกของเรา
    สำหรับพนักงานเข้าใหม่ของที่นี่กับที่อื่น ต่างกันมากกก
    เพราะบริษัทเรา มักจะมอบหมายให้เราทุกอย่าง
    ทุกอย่างจริงๆ ผิดกับบริษัทส่วนใหญ่ที่จะไม่ค่อยให้พนักงานเข้าใหม่ ทำงานหลักๆเท่าไหร่
    มักจะให้โฟกัสแค่งานของตัวเองเท่านั้น
    (แต่ข้อดี คือ หลังจากนั้นพอเราได้ไปทำงานบริษัทใหญ่นี่สบายเลย)
    .
    ⛔2. #ความเครียดสะสม
    การที่เราทำงานในสายงานที่เราไม่ได้จบมา
    (มายจบบริหารมา แต่มาทำสายวิศวะ)
    แถมยังเป็นภาษาอื่นที่เป็นคำศัพท์เทคนิคด้วย
    เป็นอะไรที่เราเครียดสะสมมากๆ
    ถึงเราจะสะสมความรู้และปสก.มากขึ้นเรื่อยๆก็ตาม
    แต่มันไม่ใช่สายที่เราเรียนมา เพราะฉะนั้น เราต้องมีสติตลอดเวลา
    และพยายามมากกว่าคนอื่น3เท่า
    (ที่พูดว่า3เท่า เพราะ 1.ด้านภาษา 2.ด้านความรู้เฉพาะทาง 3.ด้านโฟกัส)
    เพราะเราต้องดีลกับทั้งลูกค้าและเพื่อนร่วมงานโดยที่ไม่ใช่ภาษาเรา
    คุยกับลค.เป็นภาษาอ้งกฤษ แต่รายงานเจ้านายเป็นภาษาญี่ปุ่น
    (เรียกได้ว่าต้องโฟกัส 3 ภาษาเลย
    .
    ยิ่งตอนที่มีปัญหานี่ยิ่งเครียด
    เช่น ตอนเครื่องจักรมีปัญหา อุปกรณ์พัง ของส่งไปไม่ครบ
    คอมเพลนจากลูกค้า เป็นอะไรที่เครียดสุดๆ เหมือนเราเป็นที่รองรับ
    เซลเหมือนเป็นคนกลาง ทั้งๆที่ความผิดอาจจะไม่ใช่มาจากเรา
    แต่เราต้องเป็นคนรองรับอารมณ์โกรธจากทุกฝ่าย เช่น
    ความผิดอาจจะมาจากแผนกจัดส่งของที่ส่งของผิด แต่เราโดยลูกค้าด่าแทน
    หรือเวลาลูกค้างอแง ต่อราคา ด่าว่าทำไมเราไม่ลดให้
    พอเราไปพูดกับเจ้านาย เราก็โดนเจ้านายตำหนิ สรุปโดนตำหนิจากทั้งคู่ เป็นต้น
    (คิดว่า ถ้าใครเคยทำงานเป็นเซล อาจจะพอนึกภาพออก😅)
    .
    แต่สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์
    สอนมายให้มีความอดทน ไม่ใช้อารมณ์ในการทำงาน
    เรียนรู้ที่จะจัดการกับลูกค้าในวิธีต่างๆได้ก็จริง
    ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงจะยังเลือกทำงานที่นี่
    เพราะเราได้รับการฝึกวิชาหนักจริงๆ
    เป็นหนึ่งปีที่ใช้เวลาคุ้มมากๆ
    .
    ⛔3. #ฟางเส้นสุดท้ายเลย
    คือ เจ้านายที่เป็นเจ้านายโดยตรง (General Manager)
    จริงๆเขาเป็นคนเก่งนะ และก็ไม่ได้เป็นคนไม่ดี
    แถมยังเคยช่วยสอนงานหลายๆอย่าง
    แต่ข้อเสียของเขาก็คือ
    "เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย"
    คำว่า เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายในที่นี้
    หมายถึง
    "วันไหนที่หัวหน้าอารมณ์ดี
    เราทำอะไรก็ไม่ผิด ทำอะไรก็โอเคไปหมด (ขออะไรส่วนใหญ่อนุมัติหมด)
    แต่วันไหนที่หัวหน้าอารมณ์ไม่ดี
    หรือไปเจอเรื่องอะไรไม่ดีมา
    เราทำอะไรก็โดนว่าไปหมด"
    (สรุปต้องเดาอารมณ์ให้ถูก)
    ซึ่งก็ไม่ใช่เราคนเดียวที่โดน แต่ทุกคนโดยเหมือนกันหมด
    เลยพยายามไม่เก็บมาคิดมาก
    .
    แต่ช่วงหลังๆ
    พอดีมีความคิดลังเลในใจว่า
    อยากจะลาออกอยู่แล้วพอดี
    พอมีเรื่องอะไรไม่ดีเข้ามานิดนึง
    มันก็เลยอาจจะส่งผลให้เรามีอคติต่อเจ้านายมากขึ้น
    .
    เรื่องมีอยู่ว่า
    มีอยู่วันนึงที่ไป business trip ที่มาเลเซียด้วยกัน
    ระหว่างที่พรีเซ็นต์กับลูกค้า
    ลูกค้ายิงคำถามมาคำถามนึงมา
    แต่เราอธิบายไม่ได้เพราะเราไม่เข้าใจหลักการ
    และเป็นเรื่องใหม่ที่นอกเหนือสิ่งที่เตรียมตัวมา
    เจ้านายเลยช่วยอธิบายให้แทน
    .
    หลังจากจบจากการเจอลูกค้า ก็รู้สึกผิดนิดหน่อย
    ระหว่างที่กำลังรอเครื่องกลับญี่ปุ่นกันอยู่
    ก็เลยขอให้เจ้านายให้ช่วยอธิบายเรื่องหลักการให้ฟัง
    เจ้านายก็อธิบายให้ แต่เราก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
    (อย่างว่า เราไม่ได้จบทางด้านวิศวะมา
    บางทีอธิบายมามันก็ตามไม่ทัน อาจจะเป็นความผิดเราที่ไม่ดูกาลเทศะตอนถาม)
    อยู่ดีๆ เจ้านายก็โมโห และก็ว่าเรา
    “เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมไม่เข้าใจ หา! ซื่อบื้อจัง”
    และก็ทำหน้าเอือมใส่
    .
    ถ้าเป็นปกติ เราอาจจะไม่รู้สึกแย่อะไรมาก
    แต่ตอนนั้น ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ
    พอโดนพูดแบบนี้ ความรู้สึก คือ ชา
    เหมือนสมองมันว่างเปล่า
    รู้สึกเสียความรู้สึก
    ตอนนั้นคิดว่า
    เราเองก็พยายามเต็มที่ แต่เราคงจะไม่เหมาะกับงานนี้จริงๆ
    พอเจ้านายพูดจบ น้ำตาเราก็ไหลออกมาโดยที่กลั้นไม่อยู่
    เป็นครั้งแรกจริงๆที่ร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น
    (ปกติไม่เคยร้องไห้เรื่องงานมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าคนอื่น รู้สึกอายมาก แต่มันกลั้นไว้ไม่ไหวจริงๆ อาจะเป็นเพราะน้อยใจและเหนื่อยสะสม)
    เจ้านายเห็น ก็นิ่งๆ ไม่ได้ปลอบอะไร ทำไม่รู้ไม่ชี้
    อาจจะรู้สึกผิดนิดนึงแหล่ะ
    แต่ทำเก๊กสไตล์คนญี่ปุ่น ก็เงียบๆจนกระทั่งกลับ
    ตอนนั้นในใจเรา คือ ไม่เอาแล้ว ตัดสินใจลาออก
    .
    พอวันต่อมา มาทำงานเจ้านายก็มาทำดีด้วยมากๆ
    (คงง้อทางอ้อม แต่หารู้ไม่ฉันไม่เหมือนเดิมแล้ว55)
    เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มาพูดจาดีใส่
    แต่คือ หลังจากคำพูดเจ้านายวันนั้น คือ เราตัดสินใจแน่นอนแล้ว
    .
    🟠หลักๆ ก็ 3 ข้อนี้แหละค่ะ
    จริงๆถามว่าเป็นความผิดเจ้านายไหม
    ก็ไม่ เพราะมายก็ทำไม่ได้ตามที่เขาคาดหวังไว้จริงๆ
    ถึงเราก็พยายามมากๆแต่ก็เหมือนฝืนตัวเองเกินไป
    (ตอนนั้น ระหว่างที่ทำงานอยู่ แอบคิดว่าถ้าเรียนจบวิศวะมาคงดี)
    ไม่มีใครผิด แค่มันถึงจุดที่เราพอแล้ว
    .
    ทีนี้ ก่อนที่จะไปขอลาออก
    มันก็เป็นอะไรที่อึดอัดมาก เพราะเราไม่รู้จะพูดเหตุผลว่าอะไร
    อีกอย่างเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่จะขอลาออกด้วย
    ไม่รู้ว่าเกิดพูดไป หลังจากนั้น จะโดนปฏิบัติไม่ดีรึเปล่า กังวลไปต่างๆนานาๆ
    แต่ในที่สุด ก็ตัดสินใจ ไปบอกเจ้านายค่ะ
    .
    ที่ญี่ปุ่น เวลาจะลาออก
    เราจะต้องเขียนจดหมายขอลาออก
    ใส่ซองขาวยื่นให้เจ้านายที่เราขึ้นกับเขาโดยตรง
    จะไปยื่นให้ HR หรือข้ามขั้นไปยื่นให้หัวหน้าของหัวหน้า หรือท่านประธานไม่ได้
    .
    วันที่ไปยื่นจดหมายลาออก กับเจ้านาย
    ก็บอกเจ้านายว่า
    “ขอโทษนะคะ ....ซัง มีเรื่องอยากจะปรึกษาหน่อยค่ะ”
    และเจ้านายก็บอก “มีอะไรเหรอ”
    เรา “ขอไปคุยในห้องประชุมได้ไหมคะ”
    จากนั้น เราก็ยื่นจดหมายลาออก
    เจ้านายก็ตกใจ ถามว่า ทำไมล่ะ!
    มีปัญหาอะไรรึเปล่า
    (ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากคุณด้วยนี่แหล่ะ!!55)
    ถ้าคุณออกละก็แย่เลย มีอะไรที่ผมพอช่วยได้ไหม
    ก็เลยตัดสินใจตอบกลางๆ เพราะกลัวโดนเขารั้งไม่ให้ออก ว่า
    “อ๋อ คือพอดี จะกลับประเทศอ่ะค่ะ”
    (แต่ตอนนั้น ส่วนหนึ่งก็คิดว่าอาจจะกลับจริงๆ
    เพราะกำลังเซ็งๆกับเรื่องความรักกับแฟนเก่าญี่ปุ่นด้วย
    หรือจะกลับไปหาหนุ่มไทยดี555)
    เจ้านายก็เลย ไปต่อไม่ถูก ยอมให้เราออก
    .
    หลังจากนั้น ก็มีเวลาเดือนนึงก่อนที่จะออก
    บวกกับวันหยุดที่เหลือเยอะแยะที่ไม่เคยได้ใช้
    เลยได้มาทำงานแค่สองอาทิตย์ อีกสองอาทิตย์หยุด
    บรรยากาศที่ออฟฟิศไม่ได้แย่อย่างที่คิอ
    กลับกันเจ้านายกลับมาพูดดีด้วยมากๆ
    (อาจเป็นเพราะไหนๆเราก็จะเป็นคนนอกแล้ว)
    ระหว่างนั้น ก็ทำการสอนงาน โอนงานต่อให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
    ซึ่งเพื่อนๆร่วมงานที่เข้ามาพร้อมๆกัน
    ก็บ่นว่าไม่อยากให้เราออกเลย เพราะงานคงจะเยอะขึ้น555
    .
    วันสุดท้ายของการทำงาน
    ก็ส่งอีเมลไปหาลูกค้า และซัพพลายเยอร์ทุกคนว่าเราจะไม่ได้ทำงานที่นี่แล้ว
    ต่อไปให้ติดต่อใครแทน ฯลฯ
    และก่อนกลับบ้าน ก็จะต้องไม่ลืมที่จะส่งอีเมลไปหาทุกคนในบริษัทว่าเราจะลาออกแล้ว
    ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ซึ่งเป็นธรรมเนียมของบริษัทญี่ปุ่นทุกที่ที่ต้องทำแบบนี้
    .
    จากนั้น ก็ไปบอกลา เจ้านายแผนกอื่นๆ แต่ละแผนกทีละคนๆ
    มันก็จะเขินๆนิดหน่อย555
    เพราะบางคนก็ไม่ได้สนิทมาก เจอกันไม่กี่ครั้ง แต่ก็เป็นมารยาทที่ควรทำ
    ทุกคนก็จะอวยพรขอให้เราโชคดี
    .
    ปิดตำนานการทำงานที่บริษัทแรกค่ะ
    ยาวนิดนึง555 (พอเขียนแล้วติดลม)😝
    ไว้ตอนหน้า จะมาเล่าประสบการณ์การเข้าทำงานที่บริษัทที่สองให้ฟังนะคะ ^^
    .
    ป.ล. พรุ่งนี้จะต่อเรื่องปสก.มีแฟนคนต่างบาติในญี่ปุ่นต่อ