รบกวนช่วยแชร์ค่ะ….มอบทุนการศึกษาสำหรับบุตรของผู้ปกครองที่เสียชีวิตจากโรคโควิด19 รายละเอียดตามนี้นะครับ มูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบว...
รบกวนช่วยแชร์ค่ะ….มอบทุนการศึกษาสำหรับบุตรของผู้ปกครองที่เสียชีวิตจากโรคโควิด19 รายละเอียดตามนี้นะครับ มูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ มอบทุนการศึกษาจำนวน ๑๐๐ ทุน ทุนละ ๕,๐๐๐ บาท ไม่จำกัดระดับชั้นการศึกษา
มูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ สนับสนุนทุนการศึกษา เพื่อช่วยเหลือนักเรียน นิสิต นักศึกษา ผู้มีความประพฤติดี ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดจากโรค “โควิด-๑๙” สำหรับบุตรของผู้เสียชีวิตจากโรค “โควิด-๑๙” หรือบุตรของบุคลากรทางการแพทย์ที่เสียสละเพื่อส่วนรวมในสถานการณ์โรค “โควิด-๑๙” โดยไม่มีเงื่อนไขที่ต้องใช้คืนแต่อย่างใด มุ่งหวังให้ทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมให้กำลังใจ และสนับสนุนสร้างคนดี คนเก่ง มีคุณธรรมในสังคม
เพื่อให้การจัดสรรทุนการศึกษา เป็นไปด้วยความเรียบร้อยทั่วถึง และเกิดความยุติธรรมแก่ผู้ประสงค์รับทุนการศึกษา จึงกำหนดวัตถุประสงค์ คุณสมบัติ เอกสารการยื่นใบสมัคร เกณฑ์การคัดเลือกไว้ และกำหนดการ ดังต่อไปนี้
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติคุณ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในโอกาสที่องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้ประกาศยกย่องให้ทรงเป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นระดับโลก ด้านการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ประจำปี ๒๕๖๔ เนื่องในวาระครบ ๑๐๐ ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
๒. เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรค “โควิด-๑๙”
๓. เพื่อขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ที่เสียสละทุ่มเทกำลังกายกำลังใจในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยอย่างเต็มที่
คุณสมบัติของผู้สมัคร
๑. เป็นผู้มีสัญชาติไทย
๒. เป็นบุตรของผู้เสียชีวิตจากโรค “โควิด-๑๙” หรือเป็นบุตรของบุคลากรทางการแพทย์
๓. มีผลการศึกษาในภาคเรียนของปีการศึกษา ๒๕๖๓ ไม่ต่ำกว่า ๒.๐
๔. มีความประพฤติเรียบร้อย เป็นคนดี ไม่ฝักใฝ่ในอบายมุขและยาเสพติด ปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับของสถานศึกษา และไม่เคยต้องโทษทางวินัย
กำหนดการ
๑๑ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ ผู้ประสงค์รับทุนการศึกษาส่งหลักฐาน
๑ - ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ คณะอนุกรรมการคัดเลือกผู้ได้รับทุนการศึกษา
๑๑ - ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔ แจ้งผู้ได้รับการพิจารณาส่งหลักฐานฉบับจริง
๑๖ - ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ผู้ได้รับทุนการศึกษาส่งหลักฐานฉบับจริง
๒ สิงหาคม ๒๕๖๔ โอนทุนการศึกษาเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ได้รับทุน
รายละเอียดเพิ่มเติมทางFacebook มูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ 🙏🙏🙏
ด้านการศึกษา 在 Facebook 的精選貼文
"คนเยอรมันกับการเลี้ยงดูพ่อแม่"
ในความคิดของพ่อบ้าน นี่คือมุมนึงที่คนเยอรมันนั้นจะมองแตกต่างกับสังคมทางเอเชียอยู่ค่อนข้างมาก เพราะโดยพื้นฐานและมุมมองของคนที่นี่นั้นจะอยู่ในรูปแบบของรัฐสวัสดิการ
ที่ทางรัฐนั้นจะทำการจัดสวัสดิการขั้นพื้นฐานให้กับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการรักษาพยาบาลที่ผ่านจากระบบประกันสุขภาพ, ระบบเงินบำนาญ, เงินตกงาน, ด้านการศึกษา และเรื่องอื่นๆ
ดังนั้นถ้าเกิดคุณทำงานถูกต้องเสียภาษีก็จะได้รับผลตอบแทนในสิ่งที่คุณเสียไป และแน่นอนมันก็คือความมั่นคงที่รัฐต้องเลี้ยงดูคุณ
ประกอบกับที่คนเยอรมันนั้นเป็นคนที่มีนิสัยทางการเงินที่ดีและค่อนข้างมีวินัยจึงทำให้เค้านอกจากเงินบำนาญแล้วก็ยังมีเงินเก็บหรือผลตอบแทนจากการลงทุนของเค้าไว้อีกก้อนนึง จนบางคนนั้นเรียกได้ว่าเกษียนก่อนกำหนดเลยทีเดียว
ดังนั้นนี่คือสิ่งที่หล่อหลอมให้คนเยอรมันนั้นไม่ได้คาดหวังว่าลูกๆ ของพวกเค้าจะต้องมาเลี้ยงดูพวกเค้าในยามชราแต่อย่างใด แต่ต้องเป็นสิ่งที่คุณจ่ายให้กับรัฐและมันต้องย้อนกลับมาเลี้ยงดูคุณมากกว่า
และในทางกลับกันพวกเค้าจะเตรียมเงินก้อน, ของขวัญชิ้นใหญ่หรือมรดกไว้ให้ลูกๆ ในช่วงเวลาสำคัญของชีวิตอีก อย่างเช่น
- ของขวัญวันแต่งงาน
- ของขวัญในวันที่หลานเกิด
- สมบัติยามที่เค้าเสียชีวิต
แม้ลูกหลานของคนที่นี่มุมมองบางอย่างอาจจะไม่เหมือนที่ไทย แต่พวกเค้าก็รักครอบครัว รักพ่อแม่ของพวกเค้าไม่น้อยเลยทีเดียว โดยหลายๆ คนนั้นเลือกซื้อบ้านใกล้ๆ พ่อแม่, มาเยี่ยมทุกเทศกาล, หรือไปเที่ยวด้วยกันอยู่บ่อยๆ
และพ่อบ้านกับแม่บ้านเองก็คิดที่จะวางแนวทางนี้ให้กับเจ้าตัวน้อยเช่นกัน โดยที่จะให้เค้าใช้ชีวิตและทำในสิ่งที่เค้าอยากจะทำให้เต็มที่
ไม่จำเป็นต้องมาเลี้ยงดูพวกเราในยามชรา แต่แค่มาเยี่ยมและไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ ก็พอ ส่วนเรื่องอื่นๆ เดี๋ยวป๊ากับม๊า จะคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง และข้างๆ เอง ✌️😊
#พ่อบ้านเยอรมัน #เยอรมนี #เยอรมัน #germany
ด้านการศึกษา 在 สมองไหล Facebook 的最佳貼文
13 พฤษภาคม 2019 เป็นวันที่ผมเริ่มสร้างเพจสมองไหล แต่มาลงบทความแบบสม่ำเสมอจริงๆ ก็ช่วงเดือนกันยายน เพราะตอนนั้นผมให้ความสำคัญกับใน Blockdit เสียมากกว่า
.
จนปัจจุบันเพจสมองไหลมีอายุประมาณ 2 ปี กับผลลัพธ์ที่ได้คือ การมีผู้ติดตามมากกว่า 500,000 คน รวมทุกช่องทาง และสามารถทำเงินจากเพจได้สูงสุด 5 ล้านบาท ภายใน 1 ปี (เริ่มทำเงินในปีที่ 2) ทั้งจากการขายหนังสือ สปอนเซอร์ พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ และ ด้านการศึกษา
.
ทั้งนี้ผมต้องถือโอกาสขอบคุณแฟนเพจทุกท่าน ที่สนับสนุนผมจนถึงวันนี้ เพราะถ้าไม่มีคุณ ก็ไม่มีผมวันนี้เช่นกัน คุณคือ คนที่ผม “นึกถึง” ก่อน “ลูกค้า” เสมอ...
.
“ถ้าเราทำคอนเทนต์ดี เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินยิง Ads แม้แต่บาทเดียว”
.
นี่คือ คำสั้นๆ ที่กลั่นมาจากประสบการณ์ที่ผมได้เรียนรู้มาทั้งหมดจากการทำเพจมาตลอด 2 ปี แล้วในคำสั้นๆ ที่ว่านี้ มันมีอะไรที่คนกำลังเริ่มต้นทำเพจ ทำสื่อ ทำธุรกิจ หรือ ขายออนไลน์ สามารถนำไปปรับใช้ได้บ้าง ผมจะเล่าให้ฟัง…
.
หลายคนเข้าใจว่าการยิง Ads สามารถเพิ่มยอดขายได้ แต่ผมเชื่อว่าหลายคนก็รู้แล้วว่ามันไม่เป็นความจริง
.
การยิง Ads ก็เหมือนการที่เราจ้างคนแจกใบปลิว ไปแจกลูกค้า ยิ่งยิงมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับการจ้างหลายคนมากเท่านั้น
.
แต่คำถาม คือ การมีคนแจกเยอะ ช่วยเพิ่มยอดขายจริงๆ หรอ ?
.
คำตอบ คือ “ไม่”
.
เพราะตัวตัดสินว่าลูกค้าจะซื้อของๆ คุณหรือไม่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “คนแจกใบปลิว” แต่ขึ้นอยู่กับตัวใบปลิว ซึ่งก็คือ “คอนเทนต์” ต่างหาก
.
ถ้าคอนเทนต์ คุณดึงดูดมากพอลูกค้าก็จะเดินมาที่หน้าร้านเพื่อซื้อของคุณจากที่อยู่ในใบปลิวนั้น หรือ ไม่ก็เอาไปส่งต่อให้เพื่อนๆ ดูอีก เปรียบเหมือนการ “แชร์”
.
แต่ถ้าคอนเทนต์ที่คุณทำออกมามันไม่สามารถทำให้ลูกค้าอยากซื้อได้ ต่อให้มีคนแจกใบปลิวมากเท่าไหร่ หรือแจกสักกี่ใบ ลูกค้าก็เอาไปทิ้งถังขยะ ซึ่งเปรียบเหมือนการ “เลื่อนผ่าน” อยู่ดี
.
ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องกลับมาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือ การทำ “คอนเทนต์” เมื่อทำคอนเทนต์ได้อย่างทรงพลังแล้ว การยิง Ads หรือ การจ้างคนแจกใบปลิวถึงจะใช้ได้ผล
.
.
# แต่ก่อนจะทำคอนเทนต์ เราต้องเข้าใจก่อนว่าคอนเทนต์นั้นมีกี่ประเภท ซึ่งโดยหลักแล้วมันจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
.
1) Topical Content หรือ เรียกง่ายๆ คือ คอนเทนต์ที่ทำออกมาตามกระแสต่างๆ ส่วนใหญ่จะพูดถึงเหตุการณ์ข่าวสารในแต่ละวัน ว่าอะไรที่เขากำลังฮิต อะไรที่คนพูดถึงในช่วงนี้ และต้องลงให้ถูกจังหวะเวลาด้วย คือ ถ้าช้าเพียง 1 ชั่วโมง ก็อาจจะไม่มีประโยชน์แล้ว ซึ่งข้อดีของมันคือเรียก Traffic ได้ดีมาก แต่ข้อเสียของมันคือ มันอยู่ได้ไม่นาน ใช้ได้ครั้งเดียว ผ่านแล้วก็ผ่านไป
.
คนที่ติดตามผมมาตลอดจะรู้ว่าผมไม่ค่อยทำคอนเทนต์ประเภทนี้สักเท่าไหร่ อาจจะมีบ้างบางครั้ง แต่ไม่บ่อย
.
2) Evergreen Content หรือ เรียกง่ายๆ คือ คอนเทนต์แนว ความรู้, ปรัชญา, How to ข้อดีของมันคือมันจะไม่เสื่อมค่าไปตามกาลเวลา แม้จะผ่านไป 1 วัน 1 เดือน 1 ปี ก็ยังสามารถอ่านได้ไม่มีเบื่อ และนำมาใช้ได้จริงในชีวิตเสมอ แต่คอนเทนต์ประเภทนี้ถ้าไปลงในช่วงที่มีกระแสเรื่องอื่นอยู่ อาจจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก และทำยากกว่าแบบเเรกมาก
.
ซึ่งผมจะทำคอนเทนต์ประเภทนี้เป็นหลัก
.
3) Value Content หรือ คอนเทนต์แบบเน้นคุณค่า นี่คือ สุดยอดคอนเทนต์เลยก็ว่าได้ เพราะมันคือการนำ 2 ข้อแรกมาผสมผสานกัน จึงทำให้คอนเทนต์แบบนี้สามารถเรียกได้ทั้งกระแส และ มีการสอดเเทรกความรู้ลงไปด้วยไม่ให้เสื่อมค่าตามการเวลา ทำให้คอนเทนต์มีความสมบูรณ์แบบและเป็นอมตะ แต่ประเด็นคือ มันทำโคตรยาก เพราะต้องทำให้มันทั้งมีคุณค่าและถูกที่ถูกเวลาด้วย แต่ถ้าทำได้ บอกเลยว่าผลของมันคุ้มค่ามากๆ
.
ซึ่งผมเคยทำคอนเทนต์แบบนี้ได้ประมาณ 10 ครั้ง ตลอด 2 ปี เช่น คอนเทนต์เรื่อง ทิลลี่ สมิธ ช่วยคนชาวจังหวัดไม้ขาวให้รอดชีวิตจากสึนามิ และ เผยแพร่ในวันรำลึกสึนามิพอดี ซึ่งผลลัพธ์ของมันคือ บทความนี้ได้ถูกหยิบยกไปในรายการข่าวใส่ไข่ ทางช่องไทยรัฐทีวี
.
ส่วนอีกเรื่องคือ บทความ ประวัติศาสตร์โรคระบาดร้ายแรง ที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 100 ปี เผยแพร่ในช่วงไวรัส covid-19 ระบาดแรกๆ ซึ่งผลของมันคือ คุณหนุ่มกรรชัย เชิญผมไปออกรายการโหนกระแส ทางช่อง 3 จากบทความนี้
.
รวมทั้งบทความอื่นๆ อย่าง คนขับรถของลีกาซิง, โรงงานผลิตยาสีฟัน, เด็กอเมริกันจะหยุดเรียน 2 ปี เพื่อค้นหาตัวเองก่อนเข้ามหาลัย, จุดประสงค์ที่แท้จริงของเทศกาล 11.11 ของอาลีบาบา และธนบัตรญี่ปุ่น ที่มีผู้แชร์มากกว่า 20,000 ครั้ง ซึ่งส่งผลให้ยอดการติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 3,000 เป็น 150,000 คนภายใน 4 เดือน
.
# ทำคอนเทนต์เพื่อให้คน "กดแชร์" มากกว่าแค่ "กดไลค์"
.
เป้าหมายในการทำคอนเทนต์ของผม คือ การทำให้คนแชร์มากกว่าคนกดไลค์ และเเน่นอนว่าการทำให้คนแชร์นั้นยากกว่ายอดกดไลค์อยู่แล้ว เพราะผมเชื่อเสมอว่า การที่คนยอมกดแชร์คอนเทนต์เราออกไปหมายความว่า เขาอยากจะบอกต่อคอนเทนต์นั้น ซึ่งสำหรับผมมันมีคุณค่ามากกว่าการที่เขาแค่กดไลค์หรือชอบมันเพียงคนเดียว
.
แต่ก่อนที่เราจะทำคอนเทนต์ให้คนแชร์ได้ เราต้องรู้เหตุผลที่ทำให้คนแชร์คอนเทนต์ของเราก่อน ซึ่งหลักๆ มันมีอยู่ 5 อย่าง คือ
.
1) ภาพลักษณ์ทางสังคม การที่เขาแชร์อะไร หน้าฟีตของเขา มันต้องทำให้เขามีภาพลักษณ์ดีขึ้น เพราะคงไม่มีใครอยากแชร์อะไรที่ทำให้คนอื่นมองตัวเองไม่ดีอยู่แล้ว
.
2) ตัวกระตุ้น คือ บทความที่ช่วยกระตุ้นให้เขาได้ฉุกคิดหรือลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างได้ ซึ่งมันคือ คอนเทนต์สั้นๆ ที่ผมลงทุกเช้า ให้คุณได้อ่านก่อนออกไปทำงาน เพื่อช่วยกระตุ้นและให้กำลังใจคุณ ซึ่งคนมักจะแชร์เสมอ
.
3) อารมณ์ความรู้สึก คือ อ่านแล้วเกิดอารมณ์ร่วม ส่วนใหญ่เป็นบทความแนวเรื่องเล่า
.
4) ความมีประโยชน์ อันนี้ชัดเจน ถ้ามีประโยชน์ใครๆ ก็อยากแชร์ไว้ให้ตัวเองอ่านซ้ำๆ หรือ อยากส่งต่อมันให้คนอื่น
.
5) เป็นเรื่องเล่า เพราะธรรมชาติของคนชอบเรื่องเล่ามากที่สุด และสิ่งที่คนจดจำได้ดีที่สุดคือเรื่องเล่า และเรื่องเล่าเป็นสิ่งที่คนชอบนำไปเล่าต่อ
.
ผมใช้หลักการนี้ในการทำคอนเทนต์เสมอ นั่นจึงทำให้ถึงแม้บางคอนเทนต์จะเป็นโฆษณา แต่คนก็ยังอยากจะแชร์มันอยู่ดี
.
.
# พาดหัว คือ “จุดชี้เป็นชี้ตาย” ของคอนเทนต์ เพราะมันคือตัวตัดสินว่าคนจะหยุดอ่านคอนเทนต์ของเราหรือไม่ ?
.
นี่ คือสิ่งที่ผมให้ความสำคัญ 70% เลยก็ว่าได้ เพราะคนจะอ่านตรงนี้ก่อน ถ้ามันไม่โดนใจ เนื้อหาดีแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
.
ซึ่งพาดหัวนั้นมีส่วนประกอบอยู่ 2 อย่างหลักๆ คือ “ตัวอักษร” และ “ภาพ” ต้องผสมผสานระหว่างสองอย่างนี้ให้ลงตัว
.
ซึ่งการคิดคำพาดหัวนั้นบอกเลยครับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากใช้เทคนิคแล้ว ต้องอาศัยการฝึกฝนด้วย บอกเลยว่าตรงส่วนนี้ผมใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 40 นาที กว่าจะคิดคำพาดหัวที่สมบูรณ์แบบออกมาได้
.
และสิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ ผู้อ่านมีเวลาแค่ 2 วินาทีเท่านั้น ในการตัดสินว่าจะอ่านคอนเทนต์ของเราหรือเลื่อนผ่านไป ซึ่งสิ่งที่ตัดสินก็คือ “พาดหัว” เพราะฉะนั้น เราต้องตอบให้ได้ ผู้อ่านจะได้อะไรจากคอนเทนต์ของเรา ใส่มันลงไปในพาดหัวให้ได้
.
แล้วสิ่งที่เราต้องการสื่อทั้งหมด ค่อยมาใส่ตรง “เนื้อเรื่อง”
.
และสุดท้าย คอนเทนต์ของเรามีผลกระทบอะไรกับผู้อ่านบ้าง ใส่ลงไปใน “สรุป” ช่วงท้าย
.
ทั้งหมดนี้ คือ เทคนิคที่สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จในการทำเพจได้โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณามากมาย เพราะต่อให้ยิง Ads หนักแค่ไหน แต่ถ้าคอนเทนต์ไม่ดี คนก็เลื่อนผ่านอยู่ดี...
.
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ ผมไปเอามาจากไหน ?
.
คำตอบ คือ ผมไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด หรือ รู้ด้วยตัวเองทั้งหมดหรอกครับ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมันเกิดจากการฝึกฝน การลองผิดลองถูก และ เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาตลอด 2 ปี
.
แต่ถ้าอาศัยแค่การลองผิดลองถูกอย่างเดียว มันก็คงต้องใช้เวลามากกว่านี้ เพราะเราต้องนั่งงมไปกับสิ่งที่ไม่รู้ ลองโดยไม่มีเป้าหมาย ซึ่งมันเสียเวลามากๆ
.
แต่โชคดีที่ตอนทำงานประจำผมรู้จักกับพี่คนหนึ่ง ซึ่งมีประสบการณ์ด้านนี้มา 8 ปี เป็นเจ้าของเพจชื่อดังที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้าน ซึ่งคอยสอน คอยชี้แนะ ให้คำปรึกษา บอกเป้าหมายที่จะต้องเดินไป มันจึงทำให้เส้นทางการลองผิดลองถูกของผมนั้น ไม่ค่อยจะพลาดเป้า และ เสียเวลามากนัก
.
ผมกล้าพูดเลยว่า ถ้าไม่มีพี่คนนี้ ก็คงไม่มีผม ไม่มีสมองไหล และ ไม่มีหนังสืองานประจำสอนทำธุรกิจ เช่นกัน เพราะหลายสิ่งที่ผมทำ ผมได้เรียนรู้มาจากเขาเกือบทั้งหมด
.
เพราะจริงๆ แล้วชีวิตคนเราไม่ได้ยาวพอที่จะเสียเวลาเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะการลองผิดลองถูกแบบไม่มีเป้าหมาย มันอาจจะนานกว่าที่คิด
.
และ แน่นอนว่า คุณเองก็คงไม่อยากเป็นคนที่ลองผิดลองถูกเองแบบไม่มีเป้าหมาย ทำมาตั้งนานแต่จับทางยังไม่ถูก ทำไปเท่าไหร่ก็ยังไม่ก้าวหน้าสักที
.
วันนี้ผมจึงกลั่นบทเรียนจากประสบการณ์ทั้งหมดในการทำธุรกิจออนไลน์มาตลอด 2 ปี มาให้คุณเรียนรู้ ลงมือทำ และ ได้ผลลัพธ์ทันทีภายใน 2 เดือน ในคอร์ส Online Signature Master Class 2021 ซึ่งตอนนี้มีพี่น้องมากกว่า 300 คน เข้ามาลุย และ ได้ผลลัพธ์จริงนับไม่ถ้วนแล้ว
.
ยกตัวอย่างเช่น
.
# คุณอานนท์ ซึ่งทำอาชีพขายประกัน ทักมาบอกผมทันทีที่เรียนจบคอร์สไปเพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์ ว่า…
.
ผมใช้วิธีการขายแบบเสียงย่างเนื้อ ก็สามารถทำยอดขายประกันได้ 3 ล้านภายในเดือนเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากช่องทางออนไลน์ทั้งหมด”
.
# คนต่อมาที่เติบโตแบบก้าวกระโดดไม่แพ้กัน คือ คุณชมพู เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายตัวหนึ่ง เธอบอกกับผมว่า
.
“ตอนเริ่มต้นทำแบรนด์ คือ ตอนอายุ 20 ค่ะ แต่ตอนนั้น ทำไปเพราะแค่อยากมีรายได้ ไม่มีทุนโปรโมต ไม่มีการวางแผนอะไรทั้งนั้น ลองผิดลองถูกเอา คือ ตอนนั้นสั่งของมาทดลองใช้เอง ใช้แล้วผิวดีขึ้น ก็เริ่มโพสต์ขายเลย ดั้นด้นขายแบบออแกนิคมา 2 ปีค่ะ ขายใน Shopee เฟซบุ๊ก และ ไอจี ซึ่งตอนนั้นก็ทำแบบขำๆ ตัดภาพเองแบบตลกๆ ก็เลยไม่ค่อยน่าซื้อเท่าไหร่ และในช่วง 2 ปีนี้ ก็มีลองยิงแอดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำออกมาได้ดีเท่าไหร่
.
จนมา ปีที่ 3 ปีนี้ (ปัจจุบัน) เป็นปีการเปลี่ยนแปลง ช่วง ต้นปี 64 เดือนมกราคม ก็ยังโพสต์ขายอยู่ แบบเรื่อยๆ เดือนมกราคมยอดไลค์ ยอดผู้ติดตามอันน้อยนิด แบบ 2 ปีที่ผ่านมาเลย
.
แต่พอได้มาเรียนในคอร์สนี้ แล้วลองทำ ลองโพสต์ และลองทำตามเทคนิคไปสักระยะ บวกกับมาลองยิงแอดอีกครั้ง คือ งง มาก มันปังค่ะพี่ เป็นครั้งแรกที่ได้แตะออเดอร์วันละ 100 บ้าน ด้วยงบยิงแอดแค่ 90 บาท พอรู้สึกว่ามันดี ก็เลยไปสอนตัวแทนขายต่อค่ะ สอนเค้าแบบบ้านๆ เลย .
.
สรุปคือ ตัวแทนทำตาม นางขายได้ แลดูจะเข้าใจง่ายด้วย คือ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
.
**ผลลัพธ์ในปัจจุบัน
.
2 ปีที่ ขายมา
ปีแรก 62 มีเงินเก็บแค่ 10,000 บาท/ปี
ปีสอง 63 มีเงินเก็บถึง 50,000 บาท/ปี
(ดั้นด้นเอง มึนๆ มั่วๆ)
.
ปีที่สาม (ปัจจุบัน 64) แค่ช่วง 5 เดือนนี้ มีเงินเก็บ เกือบ 1 ล้านบาท (ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ค่ะ)
.
**ความต่างที่ชัดคือ ในระยะ 5 เดือนนี้ ที่ตัดสินใจเติมความรู้ เหมือนได้เบิกเนตร คือ มันต่อยอดได้แบบสุดจริงค่ะ**
.
.
# อีกคนหนึ่งคือ น้องภัค สาวน้อยวัย 19 ปี ที่เข้ามาในคลาส Online Signature ทั้งที่ยังไม่ได้ทำธุรกิจใดๆ แต่เมื่อเรียนไปถึงบทที่ 3 ผมก็ให้ทุกคนทำ Workshop ชิ้นหนึ่ง คือ ให้ขายสินค้าของตัวเองโดยใช้เทคนิคที่สอนไป แต่ถ้าใครยังไม่มีธุรกิจของตัวเอง ก็ให้หยิบของในบ้านมาทำ Workshop ไปก่อน ซึ่งน้องภัคก็ไปหยิบสเปรย์ระงับกลิ่นกายของตัวเองมาขาย
.
ผลปรากฎว่ามีเพื่อนๆ ในคลาสดูการบ้านที่น้องภัคทำส่ง แล้วก็สั่งซื้อจริงๆ เธอก็เลยลองไปเปิดเพจขายจริงดู จนล่าสุดเธอมาบอกผมว่า “ลองเริ่มขายไปได้แค่เดือนเดียว ยอดขาย 5,000 บาท แล้วค่ะ ตอนนี้กำลังจะลองยิงแอดตามเทคนิคที่สอนในคลาสเพิ่ม เพื่อกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้นอีก”
.
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพี่น้องอีกกว่า 300 คน เท่านั้น ที่ผมหยิบยกมาเล่าให้ฟัง ซึ่งถ้าจะให้ผมเล่าเคสทั้งหมดทุกคน ก็คงเขียนเป็นหนังสือเล่มนึงได้ เอาเป็นว่าหากคุณอยากจะรู้ว่าพี่น้องแต่ละคนในคลาสเขาเติบโตก้าวกระโดดขนาดไหน ก็เข้ามาลุยกับพวกเราในคลาส Online Signature ได้ครับ .
.
# โดย คลาส Online Signature Master Class 2021 จะลุยกันทั้งหมด 10 บทเรียน ประกอบด้วย
.
Module 1 : Overview เข้าใจภาพรวมการตลาดออนไลน์
Module 2 : กลยุทธ์สร้างความต่างทางธุรกิจ โดยไม่ต้องแข่งราคา
Module 3 : จิตวิทยาปิดการขาย
Module 4 : Inbound Content Marketing การตลาดคอนเทนต์แบบแรงดึงดูด
Module 5 : การเขียนโพสต์ขายแบบป้ายยา
Module 6 : ศิลปะการเขียนโพสต์ขายตรง ให้ทำเงินได้แบบ Passive Income (Copy Writing)
Module 7 : การตลาด เพิ่มยอดขาย 2-10 เท่า แบบยั่งยืน
Module 8 : เทคนิคสร้างเพจให้พรีเมี่ยมด้วย Canva
Module 9 : Data thinking
Module 10 : การยิง Ads ขั้นสูง
.
✅ Bonus class : วิธีสร้างธุรกิจ ทดลองตลาด โดยไม่ต้องใช้เงินทุน
✅ Bonus class : การบริหารเงินธุรกิจ
.
และผมจะอัพเดทเนื้อหาและเทรนด์การตลาดออนไลน์ใหม่ๆ แบบเรียลไทม์เป็น Bonus ให้ทุกเดือนจนถึงสิ้นปี 2021
.
ทั้งหมดนี้เราจะเรียนกันแบบออนไลน์ เรียนที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ และ สามารถเรียนซ้ำได้ตลอดชีพครับ
.
คอร์ส Online Signature Master Class 2021
จากปกติราคา 46,000 บาท
ช่วงโปรโมชั่นเหลือเพียง 18,000 บาท
.
แต่เดี๋ยวก่อน !! เฉพาะคนที่แชร์โพสต์นี้ และ สมัครเข้ามา 10 คนแรก
คุณสามารถเข้ามาลุยในคอร์สนี้ในราคาเพียงพิเศษ 10,860 บาท เท่านั้น !!
.
# พร้อมรับของขวัญสุดพิเศษ เป็นคำเชิญเข้ากลุ่มลับ War Room ที่อาจารย์เจษแห่งสำนัก Ohmpiang นักขายมือโปร ที่สามารถขายของทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัว ในแบบที่เหมือนเพื่อนคุยกัน แต่ทุกคนที่ฟังต้องควักกระเป๋าเงินออกมาซื้อแบบ งงๆ ทุกที โดย อ.เจษ จะแอบมา Live เรื่อง “การขาย” ให้ฟังพร้อมเปิดรับคำถามและแจกสคริปต์การขายเรื่อยๆ แบบฟรีๆ
.
หากใครอยากจะลุยไปด้วยกัน ก็ทักไลน์มาได้ครับที่ @samounglai (ใส่ @ ข้างหน้าด้วย) จากนั้นบอกทีมงานว่า “ลุย OSM”
.
ปล1. ราคาพิเศษ 10,860 บาท และ คำเชิญเข้ากลุ่มลับ War Room นี้ เฉพาะ 10 คนแรก เท่านั้น !!
.
ปล2. สามารถชำระผ่านบัตรเครดิต หรือ ผ่อน 0% นาน 10 เดือนได้ (บัตรเครดิตที่ร่วมรายการ)
.
ปล3. เมื่อเข้ามาเรียนแล้วคิดว่าไม่คุ้ม ผมยินดีคืนเงินให้เต็มจำนวน ภายใน 7 วัน
ด้านการศึกษา 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
สตาร์ตอัป ด้านการศึกษา ใหญ่สุดในโลก คือใคร? /โดย ลงทุนแมน
เทคโนโลยี ได้เข้ามามีบทบาทในทุกด้านของชีวิต ซึ่งรวมถึงเรื่องการศึกษา
ที่ได้รวมกันกลายมาเป็น “EdTech” หรือธุรกิจแพลตฟอร์มการศึกษาออนไลน์
เพื่อทำให้การเรียนรู้ ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน
และในปัจจุบัน บริษัทสตาร์ตอัปด้าน EdTech ที่มูลค่ามากที่สุดในโลก มีมูลค่ากว่า 4.8 แสนล้านบาท
แล้วบริษัทนี้ มีความเป็นมาอย่างไร และมีอะไรเป็นจุดเด่น ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ถ้าพูดถึงแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์
หลายคนคงคุ้นเคยกับ Coursera, edX และ Udemy จากประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเป็นแหล่งรวมคอร์สออนไลน์ จากหลากหลายมหาวิทยาลัยชั้นนำ และหลากหลายแขนงวิชาให้เลือกเรียน เมื่อเรียนจบก็จะได้ใบ Certificate ที่นำไปใช้ประกอบการสมัครงานได้อีกด้วย
อีกรูปแบบที่ได้รับความนิยม ก็คือแพลตฟอร์มสอนภาษา
อย่างเช่น Duolingo ที่จะเน้นการเรียนภาษาในรูปแบบที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนในห้องเรียน
จะเห็นได้ว่าจุดเด่นร่วมของแพลตฟอร์มเหล่านี้
ก็คือ การเรียนรู้เพื่อยกระดับทักษะเดิมให้เก่งขึ้น
รวมถึงเรียนรู้เพื่อสร้างทักษะใหม่ และใช้ต่อยอดในการทำงาน
แต่รู้หรือไม่ว่า..
สตาร์ตอัปด้าน EdTech ที่มูลค่ามากที่สุดในโลก 3 อันดับแรกนั้น
ไม่ได้มีจุดเด่นในด้านที่ว่านี้ แต่เป็นแพลตฟอร์ม “กวดวิชา” ออนไลน์
ที่ถูกก่อตั้งขึ้นจากชาวเอเชียทั้งหมด
ปัจจุบัน สตาร์ตอัป EdTech ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
มีชื่อว่า “Yuanfudao” อ่านว่า หยวนฝู่เต่า ที่แปลว่าติวเตอร์
Yuanfudao เริ่มก่อตั้ง ในปี 2012 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
โดยคุณ Yong Li, Xin Li และ Shuai Ke
โดย Yuanfudao เป็นแพลตฟอร์มสำหรับเรียนกวดวิชาทางออนไลน์
ทั้งแบบสอนสด รวมถึงแบบที่ดูย้อนหลังได้
ซึ่งหลักสูตรก็ครอบคลุมกลุ่มนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงมัธยม
โดยมีติวเตอร์ที่ร่วมสอนกว่า 30,000 คน
และสำหรับผู้ปกครอง ก็สามารถเช็กการเรียนของลูกผ่านแอปพลิเคชันได้อีกด้วย
ที่สำคัญก็คือ Yuanfudao ได้ทำฐานข้อมูลที่รวบรวมข้อสอบเก่าไว้มากมาย
และยังมีบริการช่วยตรวจการบ้าน ตรวจโจทย์ที่ฝึกทำ
รวมไปถึงบริการถามตอบแบบออนไลน์
และสิ่งที่ Yuanfudao ให้ความสำคัญที่สุด ก็คือการพัฒนา AI
จึงได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยด้าน AI และการทดลองด้านเทคโนโลยี ในปี 2014
ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ อย่างเช่น Tsinghua University, Peking University และ Chinese Academy of Sciences
โดยมีเป้าหมายเพื่อนำ AI มาใช้ศึกษาว่าเหล่านักเรียนยังมีจุดอ่อนในด้านใดบ้าง
แล้วนำข้อมูลที่ได้ ไปพัฒนาหลักสูตร รวมถึงผลิตภัณฑ์ในด้านอื่น ๆ
เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น
จนในปัจจุบัน Yuanfudao มีผู้ใช้งานกว่า 400 ล้านคนทั่วประเทศจีน
หรือคิดเป็นกว่า 28% เมื่อเทียบกับประชากรจีน 1,440 ล้านคน
ซึ่งที่ผ่านมา Yuanfudao ได้ระดมทุนไปแล้วกว่า 128,000 ล้านบาท
โดยมี Tencent เป็นผู้ลงทุนหลัก และมีมูลค่าบริษัทในปัจจุบันที่ 480,000 ล้านบาท
ในขณะเดียวกัน คู่แข่งในจีนที่สำคัญของ Yuanfudao ก็คือ Zuoyebang
ซึ่งก็เป็น EdTech ที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 3 ของโลก และมี Baidu เป็นผู้ลงทุนหลัก
แล้วถ้าถามว่าอันดับที่ 2 คือใคร ?
สตาร์ตอัปแห่งนั้นก็คือ Byju’s ซึ่งเป็น EdTech กวดวิชาออนไลน์ที่ใหญ่สุดในประเทศอินเดีย และเคยมีมูลค่ามากที่สุดในโลกมาโดยตลอด ก่อนที่จะโดน Yuanfudao แซงเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของ EdTech ในประเทศจีน
ก็ได้ทำให้ทั้ง Yuanfudao และ Zuoyebang กลายมาเป็นคู่แข่ง
คนสำคัญของสถาบันกวดวิชาที่ใหญ่ที่สุดในจีนอย่าง TAL Education
ที่แต่เดิมสอนผ่านทางออฟไลน์และได้เพิ่มช่องออนไลน์ขึ้นในภายหลัง
แต่ยังคงมีรายได้หลักมาจากการสอนที่สถาบันกวดวิชา
และผลกระทบจากโควิด 19 ก็กลายเป็นปัจจัยเร่งให้ธุรกิจเรียนออนไลน์เติบโตได้เร็วขึ้น
โดยสัดส่วนการเรียนออนไลน์ในจีน เมื่อเทียบกับการเรียนจากทุกช่องทาง
ปรับเพิ่มขึ้นจาก 15% ในปี 2019 มาเป็น 35% ในปี 2020
และคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนถึง 55% ในปี 2022
หากมองถึงโอกาสในอนาคต ธุรกิจกวดวิชาในจีนคงยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง
เพราะด้วยระบบการศึกษาในแถบเอเชีย โดยเฉพาะในจีน
ที่ยังคงให้ความสำคัญกับการสอบและคะแนนสอบ
ซึ่งนอกจากนักเรียน ที่ต้องยอมสมัครเรียนเพื่อแข่งขันกันเองแล้ว
ผู้ปกครองก็ยังคงเต็มใจสนับสนุน แม้ราคาค่าเรียนจะสูงแค่ไหนก็ตาม
และด้วยโอกาสการเติบโตที่น่าสนใจนี้ จึงดึงดูดให้เม็ดเงินลงทุนจาก Venture Capital
ที่ลงทุนใน EdTech มีสัดส่วนเงินลงทุนในจีนมากที่สุดในโลกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2015
โดยในปี 2020 เงินลงทุนจาก Venture Capital ใน EdTech
คิดเป็นสัดส่วนในประเทศจีนกว่า 63%
ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกาที่ 15% และอินเดีย 14%
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ทั้ง Yuanfudao และ Zuoyebang
ต่างก็หนีไม่พ้นกับการถูกรัฐบาลจีนปรับ บริษัทละ 12 ล้านบาท
ด้วยเหตุผลในเรื่องการโฆษณาเกินจริงและชี้นำในทางที่ผิด
และรัฐบาลยังต้องการคุมเข้มมากขึ้น กับธุรกิจการเรียนการสอนนอกโรงเรียน
แต่อย่างไรก็ตาม เงินค่าปรับนี้ คิดเป็นเพียง 0.04% ของมูลค่าแต่ละบริษัท เท่านั้น
ถึงตรงนี้ การเติบโตของสตาร์ตอัปกวดวิชา
ในประเทศจีนก็ถือว่าเป็นไอเดียที่น่าสนใจที่เป็นตัวอย่างให้ประเทศไทย
เพราะจริง ๆ แล้ว ระบบการศึกษาในประเทศไทย
ก็แทบไม่ต่างจากประเทศจีนที่เน้นการกวดวิชา
หรือที่เรียกอีกอย่างว่าเรียนเพื่อไปทำข้อสอบ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.holoniq.com/edtech-unicorns/
-https://techcrunch.com/2018/12/26/yuanfudao-raises-300-million/
-https://techcrunch.com/2020/10/22/chinese-live-tutoring-app-yuanfudao-is-now-worth-15-5-billion/
-https://technode.com/2020/04/02/yuanfudao-is-now-one-of-chinas-most-valuable-ed-tech-startups/
-https://www.scmp.com/tech/big-tech/article/3132937/beijing-slaps-edtech-unicorns-zuoyebang-yuanfudao-steep-fine-over
-https://www.linkedin.com/pulse/2020-china-edtech-industry-what-happened-expect-joey-niantao-jiao/
-https://www.crunchbase.com/organization/yuanfudao