雖然這篇ค่าเช่า ภาษาอังกฤษ鄉民發文沒有被收入到精華區:在ค่าเช่า ภาษาอังกฤษ這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章
在 ค่าเช่า產品中有135篇Facebook貼文,粉絲數超過64萬的網紅Money Coach,也在其Facebook貼文中提到, ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับ PASSIVE INCOME . วันนี้มีเวลานั่งดูรายการในช่อง YouTube จับพลัดจับผลูเปิดไปเจอช่องรายการสอนรวยของกูรูธุรกิจและการลงทุน ตอนแรกว...
同時也有25部Youtube影片,追蹤數超過189萬的網紅ครัวพิศพิไล,也在其Youtube影片中提到,ทำอาหารง่ายๆ กับครัวพิศพิไล วันนี้จิมจะมาชวนทำ เมนูข้าวเหนียวมูน ทุเรียน สูตรทำกินก็ได้ ทำขายก็รวย ช่วงนี้เป็นหน้าทุเรียนด้วย เดินไปทางไหนก็หอมแต่ทุเร...
「ค่าเช่า」的推薦目錄
- 關於ค่าเช่า 在 PETER DENMAN Instagram 的精選貼文
- 關於ค่าเช่า 在 Kaartune Choomduang Instagram 的最佳解答
- 關於ค่าเช่า 在 NAN K HANYOTHIN Instagram 的精選貼文
- 關於ค่าเช่า 在 Money Coach Facebook 的最佳解答
- 關於ค่าเช่า 在 Money Coach Facebook 的最讚貼文
- 關於ค่าเช่า 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於ค่าเช่า 在 ครัวพิศพิไล Youtube 的最讚貼文
- 關於ค่าเช่า 在 ครัวพิศพิไล Youtube 的最佳解答
- 關於ค่าเช่า 在 ครัวพิศพิไล Youtube 的最佳解答
ค่าเช่า 在 PETER DENMAN Instagram 的精選貼文
2021-09-10 19:41:02
“Service to Others is the Rent You Pay for Your Room Here on Earth” - Muhammad Ali ska The Greatest. “การช่วยเหลือผู้อื่นคือ ‘ค่าเช่า’ สำหรับพื้นที่ ท...
ค่าเช่า 在 Kaartune Choomduang Instagram 的最佳解答
2021-07-10 07:38:48
#ร้านอาหารกำลังจะตาย เมื่อวันศุกร์ได้รับคำยืนยันจากท่านหัวหน้าเองว่าไม่มีการปิด ไม่มีการ Lockdown เชื่อว่าหลายๆท่านก็เตรียมสั่งของสดมาไว้สำหรับขายอาท...
ค่าเช่า 在 NAN K HANYOTHIN Instagram 的精選貼文
2021-03-31 03:53:55
เซ้ง 📍ฟิตเนส Metro Fit ระยอง ทำเลดี อยู่ถนนท่าบรรทุก เส้นวิ่งลงหาด pmy ปัจจุบันยังเปิดให้บริการอยู่ เซ้งพร้อมฐานลูกค้ามีอยู่แล้ว มีเทรนเนอร์ประจำฟิ...
-
ค่าเช่า 在 ครัวพิศพิไล Youtube 的最讚貼文
2021-05-22 13:00:14ทำอาหารง่ายๆ กับครัวพิศพิไล วันนี้จิมจะมาชวนทำ เมนูข้าวเหนียวมูน ทุเรียน สูตรทำกินก็ได้ ทำขายก็รวย ช่วงนี้เป็นหน้าทุเรียนด้วย เดินไปทางไหนก็หอมแต่ทุเรียน สาวกทุเรียนต้องไม่พลาดข้าวเหนียวมูน น้ำราดทุเรียน ใส่ทุเรียนเยอะๆ ได้ตามที่ใจต้องการได้เลย หรือใครที่อยากจะลองทำขาย หารายได้เสริมอีกทาง จิมก็มีสูตรพร้อมคำนวณต้นทุนให้ด้วยจ้า
ส่วนผสมข้าวเหนียว
- ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
- น้ำสะอาด
ส่วนผสมน้ำมูนข้าวเหนียว
- กะทิไทยโคโค่ 800 ml
- น้ำตาลทรายขาว 400 กรัม
- น้ำ 200 ml
- เกลือ 2 ช้อนชา
- ใบเตย 5-6 ใบ
ส่วนผสมน้ำกะทิทุเรียน สำหรับราดข้าวเหนียวมูน
- กะทิไทยโคโค่ 1200 ml
- เกลือ 3 ช้อนชา
- น้ำตาลทรายขาว 100 กรัม
- น้ำตาลมะพร้าว 200 กรัม
- น้ำสะอาด 500 ml
- ทุเรียน 1 ลูก
ข้อมูลการสั่งซื้อ ลิ้งค์ต่างๆ
Facebook : https://www.facebook.com/kathi.Thaicoco
ช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์
- Shopee : https://bit.ly/3rSUfG9
- Lazada : http://bit.ly/3lvs5yv
ต้นทุน-กำไร สูตรข้าวเหนียว 1 โล และจิมใช้ทุเรียนเยอะมาก ขายราคาสูงได้ค่ะ แต่ถ้าทำตามตลาดนัดลดต้นทุนทุเรียนลงได้ค่ะ
กะทิไทยโคโค่ 2 กล่อง 110 บาท
น้ำตาลทราย 11 บาท
น้ำตาลมะพร้าว 7 บาท
เกลือ 50 สตางค์
ข้าวเหนียว 35 บาท
ใบเตย 5 บาท
ทุเรียน 1 ลูก 350 บาท (ใส่ปริมาณตามราคาขายได้ค่ะ ไม่ต้องเยอะเท่าจิมก็ได้ค่ะ)
กล่องกลมใหญ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 cm กล่องน้ำทุเรียน ขนาด 8 cm รวมราคาชุดละ 4 บาท ใช้ไป 12 ชุด = 48 บาท
รวมต้นทุนทั้งหมด 566.50 บาท (ยังไม่รวมค่าแรง ค่าแก๊ส ค่าเช่า)
ขายกล่องใหญ่ ลองทำดูได้ประมาณ 12 กล่อง ขายกล่องละ 100 บาท รวม 1,200 บาท หักทุน 566.50 = กำไร 633.50 บาท
กล่องเล็กขาย 40-50 บาทได้ค่ะ กำไรไกล้เคียงกันจ้า
ถ้าทำขายสามารถคูณปริมาณเพิ่ม ได้ทำเยอะขึ้นได้อีกค่ะ
“ถ้าชอบคลิปนี้ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามให้ด้วยนะคะ” -
ค่าเช่า 在 ครัวพิศพิไล Youtube 的最佳解答
2021-04-29 13:00:20ทำอาหารง่ายๆ กับครัวพิศพิไล วันนี้จิมมาชวนทำวุ้นกะทิรวมมิตร สูตรทำขาย ทำตัววุ้นกะทิสูตรเดียว แต่จะมีหน้าต่างๆ หลากหลาย อย่างฝอยทอง มะพร้าวอ่อน ทับทิมกรอบ ใส่เพิ่ม ให้ลูกค้าได้เลือกกินได้ตามชอบ ซึ่งจิมก็จะมีวิธีเลือกวัตถุดิบที่ใช้ วิธีทำ และการคำนวนต้นทุนกำไร มาให้ดูกันแบบง่ายๆ เลย ใครก็ทำตามได้ค่ะ ไปดูกันเลย
#กะทิไทยโคโค่ #กะทิคู่ครัวแม่ครัวตัวจริง#ครัวพิศพิไล
ส่วนผสม
น้ำ 3 ลิตร
กะทิ ไทยโคโค่ 3 ลิตร ( กล่องละ 1 ลิตร ใช้ 3 กล่อง )
หน้ารวมมิตร ท็อปปิ้งต่างๆ (ฝอยทอง ทับทิมกรอบ วุ้นลูกตาล ฟักทองเชื่อม ถั่วแดงต้ม)
น้ำตาลทรายขาว 1 กิโลกรัม
ผงวุ้น 50 กรัม ( ซองละ 25 กรัม 2 ซอง)
เกลือ 3 ช้อนชา
วิธีทำ
เริ่มจากการเตรียมหม้อใส่น้ำสะอาดลงไป โรยผงวุ้นใส่ในหม้อ พักไว้ 10-15 นาที ให้ผงวุ้นจมน้ำ และอิ่มน้ำดี นำขึ้นตั้งไฟ ต้มให้เดือด ดูให้ผงวุ้นละลายดี ใส่น้ำตาลทราย เกลือ รอให้เดือดอีกรอบ ใส่ กะทิไทยโคโค่ ลงไป รอเดือดปุดๆ ปิดไฟได้เลย ไม่ต้องเดือดจัด เดี๋ยวกะทิแตกมัน
ที่จิมเลือกใช้เป็นกะทิกล่อง ไม่ใช้กะทิสด เพราะว่า ถ้าเราทำขาย เราจะคุมคุณภาพและรสชาติได้ดีกว่า รสชาติมีความสม่ำเสมอ อร่อยคงที่ และไม่เสียเร็วด้วยค่ะ
ตักใส่พิมพ์ พักไว้ให้หน้าวุ้นพอเซ็ตตัว ก็ใส่ท็อปปิ้งด้วยรวมมิตรต่างๆ ตามชอบ รอให้เย็นและเซ็ตตัวดีก็ปิดฝา กล่อง แช่เย็นๆ พร้อมขายได้เลยค่ะ สูตรนี้เก็บในตู้เย็นได้ 2-3 วันค่ะ ถ้าจะเอาออกไปขายควรจะเก็บไว้ในที่เย็น อากาศไม่ร้อน ไม่โดนแดดด้วยนะคะ เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพและรสชาติของวุ้นกะทิค่ะ”
สรุปต้นทุนกำไร สูตรนี้ได้ 45 ถ้วย
น้ำ 3 ลิตร = 3 บาท
กะทิ ไทยโคโค่ 3 ลิตร ( กล่องละ 55 บาท )= 165 บาท
หน้ารวมมิตร ท็อปปิ้งต่างๆ รวม = 495 บาท ใช้ไปประมาณ 1 ใน 3 เหลือทำได้อีก 2-3 รอบ = ใช้ไปแค่ 165 บาท
- ฝอยทองเหลือง 80 บาท (500 กรัม)
- ฝอยทองใบเตย 105 บาท (500 กรัม)
- ทับทิมกรอบ ,แห้ว 87 บาท,น้ำตาล 22 บาท,แป้งมัน 15 บาท, รวม 127 บาท
- วุ้นลูกตาล 45 บาท ( 1 ก.ก.)
- ฟักทอง 40 บาท ,น้ำตาลครึ่งโล 11 บาท (ใช้ไปครึ่งลูก)
- ถั่วแดง 40 บาท ,น้ำตาลครึ่งโล 11 บาท
น้ำตาลทรายขาว 1 กิโลกรัม = 22 บาท
ผงวุ้น 50 กรัม ( ซองละ 32 บาท ) = 64 บาท
เกลือ 3 ช้อนชา
ถ้วยพลาสติก ขนาด กว้างประมาณ 10 ซม. สูงรวมฝา 7 ซม. (ราคาห่อละ 135 บาท มี 100 ใบ) ใช้ไป 45 ใบ =60.75 บาท
ค่าแรง ค่าแก๊ส ค่าเดินทาง ค่าเช่า ค่าอื่นๆ ยังไม่ได้คิด
สูตรนี้ได้ 45 ถ้วย ขายถ้วยละ 25 บาท
ก็จะได้ 1,125 บาท
ต้นทุน 479.75
กำไร 645.25 บาท
ติดต่อกะทิไทยโคโค่
Facebook : https://www.facebook.com/kathi.Thaicoco
ช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์
Shopee : https://bit.ly/3rSUfG9
Lazada : http://bit.ly/3lvs5yv
“ถ้าชอบคลิปนี้ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามให้ด้วยนะคะ” ติดต่อโฆษณาหรือสปอนเซอร์
อีเมล์ : [email protected]
โทร : 090-512-4555 (คุณแฟง) ติดต่อโฆษณาหรือสปอนเซอร์
อีเมล์ : [email protected]
โทร : 090-512-4555 (คุณแฟง) -
ค่าเช่า 在 ครัวพิศพิไล Youtube 的最佳解答
2021-03-02 13:00:00ทำอาหารง่ายๆ กับครัวพิศพิไล วันนี้จิมมีสูตรอาหารที่ขายดี ทำขายเมื่อไรก็ขายได้
นั่นก็คือเมนูก๋วยเตี๋ยวเรือนั่นเองค่ะ สูตรนี้เน้นสอนทำขาย ดูคลิปจบก็ลองทำได้เลยจ้า
ส่วนผสมของน้ำซุป ขนาดหม้อก๋วยเตี๋ยว 3 ช่อง 40 เซ็น จุน้ำได้ 50 ลิตร
กระดูกซุป 1 กิโลกรัม ราคา 50 บาท
กระดูกคาตั๊ง 1 กิโลกรัม ราคา 25 บาท
น้ำสะอาด 10 ลิตร ราคา 10 บาท
เครื่องตุ๋นหมูน้ำข้น 2 ห่อ ราคา 20 บาท
อายิโนะโมะโต๊ะ พลัส 2 ช้อนโต๊ะ ราคา 2 บาท
กระเทียมดอง 4 หัว พร้อมน้ำกระเทียม ราคา 10 บาท
ข่าแก่ ครึ่งถ้วย ราคา 1 บาท
ซีอิ๊วดำ 80 ml ราคา 2 บาท
ซีอิ๊วขาว 250 ml ราคา 8 บาท
ซอสถั่วเหลือง 250 ml ราคา 8 บาท
เลือดหมูสด 500 ml
รากขึ้นฉ่าย 5 ต้น ราคา 5 บาท
หัวกะทิ 250 ml ราคา 25 บาท
ใบเตย 7 ใบ
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลมะพร้าว 200 กรัม ราคา 6 บาท
ใบตะไคร้ 1 กำมือ (สำหรับขยำเลือดหมู)
ลูกกระวาน 7 ลูก ราคา 1 บาท (ขีดละ 100 บาท ได้เยอะมาก ใช้นิดเดียว)
ใบหญ้าหอม 1 หยิบมือ ราคา 1 บาท (ขีดละ 100 บาท ได้เยอะมาก ใช้นิดเดียว)
เต้าหู้ยี้ 1 ถ้วย ราคา 10 บาท
หัวไชเท้า 1 หัวใหญ่ ราคา 10 บาท
รวมราคา น้ำซุป 194 บาท สูตรนี้ตักน้ำซุปได้ประมาณ 50-60 ชาม เฉลี่ย น้ำซุปต่อชามประมาณ 3 บาท
ส่วนผสมหมูหมัก
เนื้อหมูสันนอก 2 กิโลกรัม ราคา 320 บาท
ไข่ไก่ (ไข่ขาว) 3 ฟอง ราคา 8 บาท
แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ ราคา 0.25 บาท
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ ราคา 1 บาท
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ ราคา 2 บาท
น้ำโซดา 1 ขวด ราคา 8 บาท
ส่วนผสมอื่นๆ เส้นก๋วยเตี๋ยวตามชอบ ราคาประมาณ 25 บาท/กิโล (จิมซื้อมา 3 อย่าง 80 บาท) ผักต่างๆ ถั่วงอก ผักบุ้ง ผักชี ต้นหอม ขึ้นฉ่าย ราคารวม 60 บาท กระเทียมเจียว ราคา 20 บาท (เจียวเอง) กากหมู ราคา 50 บาท (เจียวเอง) เครื่องปรุงรส น้ำตาลทราย ถั่วลิสง พริกป่น น้ำปลา น้ำส้มสายชู ราคารวม 50 บาท ลูกชิ้นหมู ราคาประมาณ 100 บาท/กิโล สรุปต้นทุนต่อชาม ไม่เกิน 10-15 บาท แล้วแต่หยิบมากน้อย ชามเล็ก ใหญ่ ไม่เท่ากันค่ะ ต้นทุนทั้งหมด รวม 893 บาท ถ้าขายได้ 60 ชาม ขายชามละ 40 บาท ก็จะได้ 2,400 บาท ยังไม่ได้คิดค่าแรง ค่าเช่า ค่าไฟ นะคะ ถ้าจะทำขายก็แนะนำให้ทำน้ำซุป 2 ช่องใส่อัตราส่วนคูณ 2 ได้เลยค่ะ นอกจากจิมจะมีสูตรก๋วยเตี๋ยวเรืออร่อยๆ มาฝากแล้ว สำหรับร้านก๋วยเตี๋ยวหรือคนที่จะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ก็ยังมีกิจกรรมลุ้นของรางวัลพิเศษจากอายิโนะโมะโต๊ะพลัสด้วยค่ะ ลงทะเบียนร่วมสนุก ได้เลยค่ะ
ถ้าชอบคลิปนี้ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามให้ด้วยนะคะ เจอกันใหม่คลิปหน้า สวัสดีค่ะ
ร้านก๋วยเตี๋ยวน้ำข้นอย่าลืมร่วมลงทะเบียนตอบคำถามในลิงก์ด้านล่าง เพื่อลุ้นเป็นผู้โชคดีรับ ”บัตรเติมน้ำมัน” และของรางวัลพิเศษจากอายิโนะโมะโต๊ะ พลัส
ติดตามประกาศรายชื่อได้ที่ FACEBOOK Fanpage : Umami Lovers
Link ลงทะเบียน : https://forms.gle/ocT9sY37ZeAqaQq29
#อายิโนะโมะโต๊ะพลัสน้ำซุปเข้มข้นสะใจ #อายิโนะโมะโต๊ะพลัสใช้ครึ่งเดียวเข้มข้นกว่าสะใจกว่า #อายิโนะโมะโต๊ะพลัส #ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก
#ก๋วยเตี๋ยวเรือ
ค่าเช่า 在 Money Coach Facebook 的最佳解答
ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับ PASSIVE INCOME
.
วันนี้มีเวลานั่งดูรายการในช่อง YouTube จับพลัดจับผลูเปิดไปเจอช่องรายการสอนรวยของกูรูธุรกิจและการลงทุน ตอนแรกว่าจะข้ามไป แต่เห็นเขาพูดถึง PASSIVE INCOME แถมยกหนังสือ Rich Dad Poor Dad (พ่อรวยสอนลูก) ที่ผมเป็นคนเรียบเรียงขึ้นมาอ้าง ก็เลยนั่งฟังดูสักหน่อย
.
เผลอแพร๊บเดียว นั่งดูไปตั้งหลายคนหลายตอน แต่บทสรุปที่ได้รับจากการดู ก็คือ ทุกคนพูดเรื่อง PASSIVE INCOME ดีเกินจริง ดีเกินไป เหมือนมีแล้วไม่ต้องทำอะไร ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย
.
วันนี้ผมเลยอยากหยิบยก 5 ความเข้าใจผิดๆ ที่พูดถึงกันบ่อยๆ เกี่ยวกับ Passive Income มาเล่าให้ฟังกันครับ
.
1) PASSIVE INCOME เป็นเรื่องง่ายๆ
.
ที่จริงประเด็นนี้ก็ใช่ว่าจะผิดไปทั้งหมดหรอกนะครับ เพราะ PI ที่ทำได้ง่าย มันก็มีจริงๆ อย่างเช่น “เงินฝาก” แค่เอาเงินไปฝากธนาคาร เราก็ได้ “ดอกเบี้ย” เป็น Passive Income แล้ว เพียงแต่อาจต้องมีเงินฝากเป็นกอบเป็นกำจริงๆ ดอกเบี้ยถึงจะพอเลี้ยงตัวเราได้
.
แต่ถ้าเป็น Passive Income จากธุรกิจและการลงทุน ในรูป “ค่าเช่า” “เงินปันผล” หรือ “ค่าลิขสิทธิ์” เช่น เป็นเจ้าของกิจการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า การลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวม รวมไปถึงลิขสิทธิ์ในงานที่เราสร้างขึ้น อันนี้ต้องใช้ทักษะและความรู้เพิ่มขึ้นมาเยอะเลย ถึงจะมีรายได้จากทรัพย์สินได้
.
ทั้งนี้ไอ้ประเภท จ่ายเงินครั้งเดียว กินกำไรกันไปตลอด ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ และน่าจะเป็นการหลอกลวงเสียมากกว่า ยิ่งถ้าโฆษณาการันตีผลตอบแทนสูง ๆ อันนี้ยิ่งต้องระวังครับ
.
2) มี Passive Income แล้วเป็นเสือนอนกิน ไม่ต้องทำอะไร
.
ประเด็นนี้คิดว่าน่าจะเป็น Gimmick เอาไว้หลอกคนขี้เกียจอยากรวย อยู่เฉยๆ แล้วอยากได้เงิน ซึ่งก็ไม่่มีจริงหรอกครับ ผมเองมี Passive Income จากทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ดอกเบี้ย ค่าเช่า เงินปันผล และค่าลิขสิทธิ์ บอกได้เลยว่า ไม่ต้องทำอะไรแล้วจะได้รายได้ เป็นเรื่องไม่จริง
.
การมีทรัพย์สินที่สร้างรายได้ อาจช่วยผ่อนแรงให้คุณไม่ต้องทำงานทุกวัน และเลือกจัดสรรเวลาทำงานได้ แต่ไม่ทำงานเลย อันนี้คงไม่ใช่ ยกตัวอย่างเช่น
.
ถ้าคุณมีธุรกิจ: คุณอาจไม่ได้เข้าออฟฟิศทุกวัน เพราะมีลูกน้องคอยช่วยคุณทำงาน แต่คุณไม่ทำงานเลย ไม่บริหารจัดการ ไม่พบปะลูกค้า ไม่มีปัญหาอะไรให้คุณแก้เลย ก็คงจะไม่ใช่
.
ถ้าคุณมีบ้านเช่า: คุณก็ไม่ต้องทำงานทุกวัน สิ้นเดือนคอยเก็บค่าเช่าก็จริง แต่ระหว่างเดือนมีปัญหามาได้ตลอดนะ ไอ้โน่นเสีย ไอ้นี่พัง ผู้เช่ามีเรื่องทะเลาะกับบ้านข้างๆ วันดีคืนดีผู้เช่าย้ายออก ค่าเช่าหายแว๊บเลยนะ
.
ถ้าคุณมีลิขสิทธิ์: คุณก็ต้องคอยบริหารลิขสิทธิ์และผลประโยชน์ของตัวเอง มีเรื่องสู้กับคนละเมิดลิขสิทธิ์อยู่บ่อยๆ
.
ถ้าคุณมีหุ้น: คงไม่มีหุ้นที่ซื้อไว้ครั้งเดียวแล้วกินปันผลจนตายได้หรอกครับ เวลาเปลี่ยน ธุรกิจมีทั้งเติบโตล้มตาย พอร์ตหุ้นก็ต้องปรับ มีข้อมูลให้ต้องติดตามอยู่ตลอด
.
โดยสรุปการมี Passive Income ไม่ใช่ว่ามีแล้วจะมีไปตลอด มันก็มีเพิ่มมีลดตามความสามารถในการสร้างรายได้ของทรัพย์สินที่เราถือครอง ดังนั้นมันจะขาดการทำงานของเจ้าของทรัพย์สินไปไม่ได้หรอกครับ
.
เพียงแต่ว่าถ้าคุณมีทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสด มันจะเหมือนคุณมี “เครื่องผ่อนแรง” ให้คุณได้พักจากการทำงานแลกเงิน (Active Income) อยู่บ้าง ช่วยให้คุณจัดสรรเวลาในชีวิต มีอิสระทางเวลาที่มากขึ้นเท่านั้น
.
จะสังเกตผมใช้คำว่า “เครื่องผ่อนแรง” เพราะมันทำงานให้เราได้ มันก็หยุดเสียหยุดซ่อมได้ อะไรที่มีคำว่า “เครื่อง” นำหน้า มีลักษณะแบบนี้เหมือนกันหมดครับ
.
3) Passive Inome จะทำเงินให้เราไปตลอด
.
ประเด็นนี้ก็ไม่จริงนะครับ ไม่มีอะไรเป็นอมตะนิรันดร์กาลขนาดนั้นหรอก จำไว้ว่า ทรัพย์สินใดๆ ในโลกล้วน Dynamic มีขึ้น มีลง มีเติบโต มีตกต่ำ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งหมดทั้งปวง (สาธุ)
.
ธุรกิจที่เคยทำเงิน วันหนึ่งก็กลายเป็นธุรกิจที่ล่มสลายได้ (ลองนึกธุรกิจที่เราเห็นในตอนเป็นเด็ก แต่วันนี้ไม่อยู่แล้วดู)
บ้านเช่าที่เคยมีคนอยู่อาศัยไม่เคยขาด วันหนึ่งก็อาจร้าง ไม่มีผู้เช่าได้เหมือนกัน (ช่วงโควิดนี่ชัดเลย)
.
ลิขสิทธิ์เพลง หนังสือ ที่เคยได้รับความนิยม วันหนึ่งคนก็ลืม ไม่ซื้อ ไม่โหลด (วันนึงโค้ชหนุ่มหันหลังให้ยุทธจักร ก็คงไม่มีคนซื้อหนังสือโค้ชหนุ่มแล้ว 555)
.
หุ้นที่เคยปันผล วันหนึ่งกิจการไม่ดี ไม่ทำกำไร ก็คงไม่มีปันผล
.
ไม่มีอะไรทำครั้งเดียวแล้วสบายไปตลอดชาติหรอกครับ ทุกอย่างมันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเสมอ ดังนั้นอย่าเผลอติดกับดักหลอกลวงแบบนี้ การรู้เท่าทันในทรัพย์สินที่เราลงทุน ความรู้ทางการเงินต่างหาก ความพร้อมในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง คือ สิ่งที่จะช่วยให้เรามั่งคั่งและมั่นคงได้จริง
.
4) PASSIVE INCOME ดีกว่า ACTIVE INCOME
.
ได้ยินการพูดถึง Passive Income ที่ไหน ก็มักจะมีการหยิกกัดรายได้จากการทำงาน หรือ Active Income เสียทุกครั้งไป พาลกันไปว่าการเป็นพนักงานประจำนั้นไม่ดี เงินเดือนมีเพดาน ไม่ทำหรือหยุดทำก็ไม่มีรายได้
.
โดยส่วนตัวผมมองว่า รายได้จากการทำงานไม่ใช่สิ่งเลวร้าย และหลายคนก็ใช้มันเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรายได้จากทรัพย์สิน ด้วยการเก็บออม แล้วก็นำเงินไปลงทุนต่อยอด และจากเหตุผลในข้อ 3 ที่ว่า ไม่มีรายได้ช่องทางใดที่เป็นอมตะนิรันดร์กาล Passive Income ที่เรามี อยู่ดีๆ ก็อาจวูบหายไปเลยก็เป็นได้
.
ทางที่ดีผมว่าเราควรมีแหล่งรายได้จากหลายช่องทาง หรือ Multi-Income Stream คือ มีทั้งรายได้จากทรัพย์สินคอยช่วยผ่อนแรง ไม่ให้เราต้องเหนื่อยไปตลอด และมีรายได้จากการทำงาน คอยเติม คอยสะสมต่อยอดความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้น่าจะดีกว่า
.
นอกจากนี้ สิ่งที่ผมอยากจะบอกจากใจของคนที่มี Passive Income พอเลี้ยงตัวแล้วก็คือ ผมเองยังรักและชอบรายได้จากการทำงาน หรือ Active Income อยู่นะ เพราะแม้มันจะต้องทำงานถึงได้เงิน ต้องเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ผมรู้สึกว่าการทำงานมันทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า และได้รับความรู้สึกดีๆ ที่ได้ทำงาน ยิ่งถ้าได้ทำงานที่รัก ที่เราชอบ และเลือกทำมันด้วยตัวเองแล้วละก็ ยิ่งแจ่มกันไปใหญ่ ส่วน Passive Income ผมชอบที่มันช่วยผ่อนแรง ช่วยลดความกังวลทางการเงิน ทำให้เรามีเวลามากขึ้น และมีทางเลือกที่มากขึ้น
.
สรุปเลยดีกว่าไอ้โค้ช ชอบอะไรมากกว่าระหว่าง Active กับ Passive Income
คำตอบคือ “ทำอะไรที่สนุกแล้วได้ตังค์ กูเอาหมดครับ” 555
.
5) ต้องมี Passive Income ถึงจะมีอิสรภาพการเงิน
.
ถ้ายึดเอาตามนิยามหนังสือพ่อรวยสอนลูก ที่ว่าคนเราจะมีอิสรภาพการเงินได้ ก็ต่อเมื่อมีรายได้จากทรัพย์สินมากกว่ารายจ่ายรวม อิสรภาพทางการเงินแบบนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับ Passive Income แต่ถ้าเรามองว่า อิสรภาพทางการเงินนั้น แก่นของมันคือ อิสระทางเวลา และการเบาบางความกังวลทางการเงิน ก็อาจไม่จำเป็นที่จะต้องมี Passive Income เยอะแยะมากมาย
.
ตัวผมเองตอนเริ่มต้นไม่ได้ตั้งโจทย์ว่าต้องมีรายได้จากทรัพย์สินดูแลตัวเองไปได้ตลอดชีวิต เพราะคิดว่าชีวิตคนเรามันเปลีี่ยนตลอด โจทย์มันถูกปรับตลอดตามเวลาและสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ตอนนั้นเลยคิดโจทย์ง่ายๆ ว่า จะเก็บสะสมเงินให้พอใช้ได้ 5 ปี ให้ได้เร็วที่สุด
.
ลองนึกภาพว่า ถ้า 5 ปีต่อจากนี้ ไม่มีเงินรายได้เลยแม้แต่บาทเดียว เป็นเวลา 1,825 วัน แต่คุณมีเงินพอใช้จ่ายได้ทุกวัน ไม่เดือดร้อน มันทำให้คุณรู้สึก 1) มีอิสระทางเวลาขึ้นนิดนึงหรือเปล่า และ 2) มันเบาบางความกังวลทางการเงินของคุณไปได้บ้างมั้ย
.
ถ้าใช่! ในมุมมองผมนี่ก็เป็น “อิสรภาพทางการเงินเล็กๆ” แล้วเหมือนกันนะครับ ตัวผมเองตอนเก็บเงินพอใช้ 5 ปี มีหยุดพักเที่ยวอยู่ช่วงใหญ่ๆ เลย ประมาณว่าอยากซึมซับอิสระทางเวลาสักหน่อย ตอนแรกกะว่าจะพักผ่อนเต็มๆ 1 ปี สุดท้ายผ่านไปได้ 3 เดือน ก็เหมือนได้พักเต็มที่ คราวนี้กลับมาจัดหนักกว่าเดิม ขยับสู่ความสำเร็จทางการเงินที่เติบโตมากขึ้นได้อีก
.
นี่คือ 5 ประเด็นที่ผมอยากจะเคลียร์และอธิบายให้ฟังเกี่ยวกับ Passive Income หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับคนกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว และสร้างชีวิตกันทุกคนนะครับ
.
สุดท้ายแล้วการมีรายได้จากทรัพย์สิน ก็ดีกว่าไม่มีแหละครับ แต่การมีความคิดความเข้าใจที่ผิด จะทำให้เราเสียเวลาและไปสู่ความสำเร็จทางการเงินได้ช้า ยังไงก็ลองนำข้อคิดในวันนี้ไปปรับใช้กันดูนะครับ
.
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากมีอิสรภาพการเงินครับ
.
#โค้ชหนุ่ม #TheMoneyCoachTH
ค่าเช่า 在 Money Coach Facebook 的最讚貼文
3 ตะกร้าตัวช่วยเก็บออมเงิน 🧺💰
มีคำถามเข้ามาว่า “ควรจัดแบ่งเงินออมยังไงดี?” เพราะหลายคนเอาเงินออมไปกองไว้ในที่เดียวกัน แล้วก็หยิบใช้ และออมเพิ่มในที่เดียวกัน สุดท้ายเงินออมเลยไม่เติบโตสักที
.
วันนี้เลยอยากพูดถึงการ “แบ่ง” หรือ “จัดสรร” เงินออม สำหรับผู้ที่เริ่มออมเงินได้และมีเงินกับกันครับ
.
ที่จริงก่อนจะไปถึงเรื่องการจัดสรรเงินออม ก็ต้องชื่นชมก่อนครับ เพราะเอาเข้าจริงคนที่จะเก็บออมเงินได้ มีเงินออมให้บริหาร ในบ้านเราก็อาจเรียกได้ว่า “ครึ่งต่อครึ่ง” เลย
.
คือ ไม่มีเงินออมครึ่งนึง (รีบทำให้มีนะ) และอีกครึ่งคือมีเงินออม แต่ก็บริหารจัดการไม่ถูกต้อง เอาเงินออมทั้งหมดที่มีไปออมไว้ในที่เดียวกัน พอจะลงทุน ก็ยกโขยงไปลงทุนพร้อมกันทั้งหมด ที่ถูกต้องเราควรจัดสรรเงินออมที่มีออกจากกัน โดยแบ่งตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจจะใช้เงินก้อนนั้นในอนาคต
.
โดยส่วนตัวผมมักจะแนะนำคนที่มาเรียนด้วย ให้แบ่งเงินออมเบื้องต้น ออกเป็นสามตะกร้า ดังนี้ (มีมากกว่านี้ได้นะ ถ้ามีวัตถุประสงค์อื่นๆ เช่น เก็บเงินซื้อของ เก็บเงินเรียนต่อ ฯลฯ อันนี้แล้วแต่ละบุคคลเลยครับ)
.
1. ตะกร้าเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน (Emergency Basket)
.
ตะกร้านี้เป็นแหล่งเก็บเงินสำรองเผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ที่อาจจะส่งผลกระทบกับการเงินของเรา เช่น ตกงาน ไม่ได้รับค่าจ้าง เจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ฯลฯ เป็นตะกร้าเงินที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันความเสี่ยงปกป้องสภาพคล่องของการเงินเรา
.
ขนาดที่เหมาะสมของตะกร้านี้ คือ 6-12 เท่าของรายจ่ายรวมต่อเดือน โดยควรเก็บออมในทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องดี รักษามูลค่าได้ไม่ผันผวนมาก เช่นเงินฝาก สลากออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ หรือทองคำ
.
2. ตะกร้าเงินเกษียณรวย (Retirement Basket)
.
ตะกร้านี้เป็นแหล่งเก็บสะสมเงินไว้สำหรับใช้จ่ายยามเกษียณจากการทำงาน เน้นทยอยสะสมและลงทุนในเครื่องมือกลุ่มตราสารการเงิน ใช้วิธีการที่ไม่ซับซ้อน ลงทุนแบบระยะยาว เป้าหมายคือ มีกินใช้หลังเกษียณสบายๆ 20-25 ปี
.
เครื่องมือที่ช่วยเก็บเงินสำหรับตะกร้านี้ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ , กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) , กองทุนรวมต่างๆ (ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น), กองทุนรวมที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี (RMF และ SSF), ประกันชีวิต ประกันบำนาญ หุ้นสหกรณ์ หุ้นสามัญ เป็นต้น
.
ที่ดีควรเริ่มต้นวางแผนเงินเกษียณนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นทำงาน ควบคู่ไปกับการวางแผนชำระหนี้ให้หมดก่อนเกษียณ เริ่มต้นลงทุนทีละน้อยสร้างประสบการณ์ ที่สำคัญ! เงินก้อนนี้ห้ามแบ่งให้ใครเด็ดขาด เพราะมันคือเงินที่เราต้องเก็บไว้กินใช้ในวันที่รายได้ลดลง
.
3. ตะกร้าเงินเกษียณเร็ว (Money Freedom Basket)
.
ตะกร้านี้เป็นแหล่งเงินสะมที่จะนำไปลงทุนในทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสด (Passive Income) เพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว ทำให้หมดกังวลเรื่องการเงินได้ก่อนเกษียณอายุจากการทำงาน
.
เป้าหมายของตะกร้านี้คือ รายได้จากทรัพย์สิน (Passive Income) มากกว่ารายจ่ายรวมต่อเดือน (Total Expenses) เครื่องมือที่ช่วยของตะกร้าเกษียณเร็วก็คือ ธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สินทางปัญญา ที่ให้รายได้เราในรูปแบบ ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า และค่าลิขสิทธิ์ (หรือปัจจุบันจะมาในรูปแบบค่าโฆษณาก็ได้)
.
ทั้งหมดนี้คือ ตะกร้าเงินพื้นฐานที่ควรจะจัดแบ่งเงินออมไว้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อย่างไรก็ดี แต่ละคนมีความต้องการแต่ปัจเจก แตกต่างกันไปในแต่ละคน ดังนั้นหากจะมีตะกร้าเงินอื่นๆ เพิ่มเติมจากนี้ หรือแบ่งเงินแตกต่างไปจากนี้ ก็ไม่ถือว่าผิดกติกา
.
ยังไงลองวางแผนจัดการเงินออมของตัวเองดูนะครับ หวังว่าแนวทางข้างต้นจะเป็นประโยชน์กับทุกคนครับ
#TheMoneyCoachTH
ค่าเช่า 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
สรุป SiriHub Investment Token โทเคนดิจิทัลแรกที่อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ ช่วยให้คนทั่วไปได้รับส่วนแบ่งรายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์
ลงทุนแมน X เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล
มีเงินเพียงหลักสิบบาท ก็สามารถลงทุนเพื่อได้รับส่วนแบ่งรายได้จากค่าเช่าอสังหาฯ ได้ ประโยคนี้อาจดูเป็นไปไม่ได้ในสายตาคนส่วนใหญ่ แต่วันนี้ สิ่งนี้กำลังจะเกิดขี้นแล้วในประเทศไทย
ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โลกของการลงทุนก็ได้พัฒนาตาม
ทำให้มีช่องทางการระดมทุนและลงทุนใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์นักลงทุน รวมถึงคนทั่วไปในปัจจุบันมากขึ้น
ภาพจำเดิม ๆ ที่ว่าหากเราต้องการลงทุนในอสังหาฯ สักแห่ง เพื่อที่จะได้รับค่าเช่าที่จะเป็นกระแสเงินสดเข้ากระเป๋า
เราก็ต้องมีเงินทุนหลักล้านบาทนั้น อาจไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
เพราะสิ่งที่จะมาปูทางสร้างทางเดินใหม่ให้เกิดขึ้นในเมืองไทย
และกลายเป็นการปฏิวัติการระดมทุนและการลงทุนของวงการอสังหาฯ คือ SiriHub (สิริฮับ)
SiriHub เป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token)
ที่อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์
หรือที่เรียกว่า Real Estate-backed Token
และรู้หรือไม่ว่า SiriHub ยังถือเป็น Real Estate-backed Token ตัวแรกของประเทศไทยที่ได้รับการอนุญาตจาก ก.ล.ต. อีกด้วย
แล้วโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน คืออะไร ?
โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนคือโทเคนดิจิทัลที่สร้างขึ้นบนเทคโนโลยี Blockchain และมีกลไกการให้สิทธิแก่ผู้ถือโทเคนผ่านสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง โปร่งใส และสามารถตรวจสอบธุรกรรมได้ตลอดเวลา
ซึ่งผู้ถือโทเคนดิจิทัลจะได้รับสิทธิในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการ เพื่อรับผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ส่วนแบ่งรายได้จากค่าเช่า หรือสิทธิอื่นใด ตามที่กำหนดไว้ใน White Paper หรือหนังสือชี้ชวน
คล้าย ๆ กับการถือหุ้นในบริษัท ที่ทำให้ผู้ถือหุ้นมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ มีสิทธิในส่วนแบ่งกำไรและได้รับเงินปันผลจากบริษัท
เพียงแต่การถือโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน ปกติแล้วผู้ถือโทเคนดิจิทัลจะมีเพียงสิทธิในการร่วมลงทุนเฉพาะในโครงการนั้น ๆ ที่เราสนใจ และรับผลตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้ แต่ไม่ได้มีสิทธิในการเป็นเจ้าของโครงการแต่อย่างใด
สำหรับโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน SiriHub ออกโดยบริษัท เอสพีวี 77 จำกัด
และเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรกโดยบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด (XSpring Digital)
ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต.
โดยมีความเชี่ยวชาญในการเป็นที่ปรึกษาด้านการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคนดิจิทัล
และมีทรัสตีคือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่เก็บทรัพย์สินและกำกับดูแลการดำเนินงานของผู้ออกโทเคนดิจิทัลให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในหนังสือชื้ชวน
ซึ่งวัตถุประสงค์ของการออกโทเคนดิจิทัล SiriHub ก็เพื่อระดมทุนเป็นจำนวน 2,400 ล้านบาท ประกอบด้วย
(1) การลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินจำนวน 2,186 ล้านบาท โดย
(ก) ลงทุนในสัญญา RSTA (Revenue Sale and Transfer Agreement) เพื่อรับกระแสรายรับ เช่น ค่าเช่า รายได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินโครงการ และผลตอบแทนอื่น ๆ จากกลุ่มอาคารสำนักงาน “Siri Campus (สิริ แคมปัส)” จากบริษัท สิริพัฒน์ โฟร์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโครงการ
(ข) ลงทุนในหุ้นร้อยละ 100 ของบริษัท สิริพัฒน์ โฟร์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในกลุ่มอาคารสำนักงาน สิริ แคมปัส และโอนเข้ามาเป็นทรัพย์สินของกองทรัสต์
(2) การชำระต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมการออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัล ชำระคืนเจ้าหนี้ที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนครั้งนี้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทผู้ออกโทเคนดิจิทัลจำนวน 214 ล้านบาท
ซึ่งผลประโยชน์หลัก ๆ ที่ผู้ถือโทเคนดิจิทัล SiriHub ได้รับก็คือกระแสรายรับสุทธิที่ได้จากกลุ่มอาคารสำนักงาน Siri Campus ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้อ้างอิงในการระดมทุนนี้
แล้ว Siri Campus น่าสนใจขนาดไหน?
Siri Campus เป็นกลุ่มอาคารสำนักงาน ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพสูงอย่าง T77 Community ในซอยสุขุมวิท 77 ที่เป็นเมืองต้นแบบแห่งอนาคตในย่านอ่อนนุช บนพื้นที่ 7 ไร่ 1 งาน 42.2 ตารางวา
ซึ่งในย่านนี้ รายล้อมไปด้วยแหล่งที่อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน
ทั้งรถไฟฟ้า BTS ไลฟ์สไตล์คอมมิวนิตีมอลล์ “HABITO Mall” โรงเรียนนานาชาติ “Bangkok Prep International School” และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดย Siri Campus มีทั้งหมด 5 อาคาร ซึ่งถูกออกแบบมาให้เป็นออฟฟิศยุคใหม่
ที่เน้นคำนึงถึงการทำงานของคนรุ่นใหม่ ผ่านการดีไซน์พื้นที่ทำงานและสภาพแวดล้อมให้มีความยืดหยุ่น จนเกิดการ Collaboration และสื่อสารกันได้ตลอดเวลา เพื่อกระตุ้นให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ และความคิดสร้างสรรค์
มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ห้องสมุด ฟิตเนส และสวน
เป็นสถานที่ซึ่งรวมพื้นที่ทำงานและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตไว้ในที่เดียวกันได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ Siri Campus ยังถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ด้วยการสอดแทรกธรรมชาติ ไว้ทุกพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคาร
และติดตั้งนวัตกรรมที่แปลงแสงและลมให้เป็นพลังงานยามค่ำคืน เช่น แผง Solar Cell
ที่สำคัญ กลุ่มอาคารสำนักงาน Siri Campus ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
ที่เป็นผู้เช่าระยะยาว ด้วยสัญญาเช่า 12 ปี ยังเป็นอาคารที่ได้รับการประเมินมาตรฐาน Fitwel Certificate ระดับสูงสุด 3 ดาวจากองค์กร Center for Active Design (CfAD) ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าเป็นโครงการที่ส่งเสริมสุขภาวะที่ดีต่อผู้ใช้อาคาร ทั้งด้านส่งเสริมสุขภาพ และประสิทธิภาพในการทำงานที่ดี
สรุปแล้ว ผู้ถือโทเคนดิจิทัล SiriHub ก็จะได้รับผลตอบแทนส่วนหนึ่งมาจากส่วนแบ่งค่าเช่าจากสัญญาเช่าระยะยาวของแสนสิริ นั่นเอง
ซึ่ง SiriHub มีอายุโครงการ 4 ปี (เว้นแต่มีการต่ออายุโครงการ เนื่องจากเหตุจำเป็นตามที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน) โดยในปีสุดท้ายของโครงการ ผู้ออกโทเคนดิจิทัลจะดำเนินการจำหน่ายทรัพย์สินโครงการ เพื่อนำมาจัดสรรเป็นส่วนแบ่งรายได้ ให้แก่ผู้ถือโทเคนดิจิทัลตอนครบกำหนดอายุโครงการ
แล้วผู้ถือโทเคนดิจิทัล SiriHub จะได้รับผลตอบแทนอย่างไร ?
โทเคนดิจิทัลของ SiriHub จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ SiriHubA และ SiriHubB
โดยทั้งสองประเภท เสนอขายในราคา 10 บาทต่อโทเคน
1) SiriHubA จำนวน 160 ล้านโทเคน (มูลค่าเสนอขาย 1,600 ล้านบาท)
ผู้ถือจะได้รับส่วนแบ่งรายได้ เป็นรายไตรมาส (ทุก ๆ 3 เดือน) ไม่เกิน 4.5% ต่อปี และได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการจําหน่ายทรัพย์สินโครงการ สูงสุดไม่เกิน 1,600 ล้านบาท ก่อนผู้ถือโทเคนดิจิทัล SiriHubB
พร้อมกับมีสิทธิในการลงมติอนุมัติให้มีการจำหน่ายทรัพย์สินโครงการ
หากรายได้ส่วนสุดท้ายที่ได้รับจากการจำหน่ายทรัพย์สินโครงการต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท
2) SiriHubB จำนวน 80 ล้านโทเคน (มูลค่าเสนอขาย 800 ล้านบาท)
ผู้ถือจะได้รับส่วนแบ่งรายได้ เป็นรายไตรมาส (ทุก ๆ 3 เดือน) ไม่เกิน 8.0% ต่อปี
และได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการจําหน่ายทรัพย์สินโครงการ เฉพาะส่วนที่เกิน 1,600 ล้านบาทเป็นต้นไป ต่อจากผู้ถือโทเคนดิจิทัล SiriHubA
แต่จะไม่มีสิทธิในการลงมติอนุมัติให้มีการจำหน่ายทรัพย์สินโครงการ
หากรายได้ส่วนสุดท้ายที่ได้รับจากการจำหน่ายทรัพย์สินโครงการต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท
มาถึงตรงนี้สรุปได้ว่าโทเคนดิจิทัล SiriHub มีความน่าสนใจหลากหลาย เช่น
- ได้รับส่วนแบ่งรายได้เป็นรายไตรมาส ซึ่งไม่เกิน 4.5% หรือ 8.0% ต่อปี ขึ้นอยู่กับประเภทของโทเคนดิจิทัล
- ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินโครงการเมื่อสิ้นสุดโครงการ
- อสังหาริมทรัพย์ที่ใช้อ้างอิงมีผู้เช่าระยะยาว โดยผู้ถือโทเคนจะได้รับมีส่วนแบ่งรายได้มาจากค่าเช่า Siri Campus ที่มีแสนสิริ เป็นผู้เช่าระยะยาว 12 ปี ซึ่งปัจจุบันเหลือระยะเวลาการเช่าอีก 10 ปี และแสนสิริได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ BBB+ จาก Tris Rating
ทำให้มั่นใจว่าจะได้รับกระแสเงินสดที่ค่อนข้างแน่นอน
- ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Blockchain และ Smart Contract ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใสในเรื่องของการทำธุรกรรม การใช้สิทธิ และการจัดสรรผลตอบแทน
- เป็นโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งก็คือ สัญญา RSTA และทรัพย์สินโครงการ Siri Campus
จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่าโทเคนดิจิทัลที่ไม่มีอะไรมาอ้างอิง
- ถูกต้องตามกฎหมายไทย และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.
- สามารถลงทุนเริ่มต้นเพียง 10 บาท และสามารถลงทุนได้ผ่านโทรศัพท์มือถือ
ทำให้เกิดการกระจายโอกาสการลงทุนไปยังนักลงทุนรายย่อยมากขึ้น
ผู้ลงทุนธรรมดาที่ไม่มีทรัพย์สินมากก็สามารถลงทุนเพื่อรับส่วนแบ่งรายได้จากค่าเช่าจากอสังหาฯ ได้
- มีสภาพคล่อง ด้วยการซื้อขาย SiriHub ในตลาดรอง
ซึ่งสามารถซื้อขายโทเคนดิจิทัล ได้ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น ERX ที่เปิดบริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ SiriHub Investment Token ทั้งสองประเภท ปัจจุบันผ่านการอนุมัติจาก ก.ล.ต. แล้ว และจะเปิดให้จองซื้อ ICO ระหว่างวันที่ 21 กันยายน 2564 เวลา 00.01 น. - 4 ตุลาคม 2564 เวลา 15.30 น. ผ่านแอปพลิเคชัน XSpring
โดยมีมูลค่าการจองซื้อขั้นต่ำเพียง 10 บาทต่อโทเคน (ชำระเป็นเงินบาทเท่านั้น)
โดยนักลงทุนรายย่อยจะสามารถลงทุนได้ไม่เกินรายละ 300,000 บาทต่อโครงการ ตามกฎของ ก.ล.ต. ในขณะที่ผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ นิติบุคคลร่วมลงทุน หรือกิจการเงินร่วมลงทุน สามารถลงทุนได้ไม่จำกัดจำนวน
อ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจสงสัยว่า
แล้วการลงทุนใน SiriHub จะต่างจากการลงทุนใน REITs (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) อย่างไร ?
จริง ๆ แล้ว Real Estate-backed Token จะมีความคล้ายคลึงกับกอง REIT
แต่ยังมีจุดที่แตกต่างกันไปตามกฎเกณฑ์ของแต่ละประเทศ
อย่างในประเทศไทยมีจุดที่ต่างกันคือ ส่วนใหญ่ REITs จะลงทุนในอสังหาฯ หลายประเภทหรือหลายโครงการ และสามารถเพิ่ม-ลดทรัพย์สินในกองทรัสต์ได้ อีกทั้งนักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าลงทุนได้ไม่จำกัดมูลค่า
แต่ Real Estate-backed Token ส่วนใหญ่จะเข้าลงทุนในทรัพย์สินหรือโครงการใดโครงการหนึ่งเท่านั้น
และไม่มีการเพิ่ม-ลดทรัพย์สิน รวมถึงนักลงทุนรายย่อยสามารถลงทุนได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อโครงการ
และความต่างที่สำคัญก็คือเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง โดย Real Estate-backed Token จะใช้เทคโนโลยี Blockchain และ Smart Contract ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใสในการทำธุรกรรม การใช้สิทธิ และการจัดสรรผลตอบแทน นั่นเอง..
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับ SiriHub ได้ที่ https://xspringdigital.com/th/project/sirihub
นักลงทุนที่สนใจลงทุนในโทเคนดิจิทัลผ่าน XSpring Digital สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน XSpring ได้ที่ http://onelink.to/efumnu
และดูวิดีโอคำแนะนำการเปิดบัญชีกับ XSpring Digital ได้ที่ https://youtu.be/bPSTTUTDgxI
คำเตือน: ก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนเพื่อทำความเข้าใจลักษณะของผลิตภัณฑ์ เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง