[爆卦]คุณเป็นอะไร ภาษาจีน是什麼?優點缺點精華區懶人包

雖然這篇คุณเป็นอะไร ภาษาจีน鄉民發文沒有被收入到精華區:在คุณเป็นอะไร ภาษาจีน這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章

在 คุณเป็นอะไร產品中有4篇Facebook貼文,粉絲數超過244萬的網紅อาจารย์อดัม,也在其Facebook貼文中提到, คำว่า Deal ใช้อย่างไรกันแน่ ? What's the deal? วัทสฺ เดอะ ดีลฺ ตงลงเราจะทำอะไรกันเหรอ หรือตรงตัวว่า ข้อตกลงคืออะไร What's your deal? วัทสฺ...

คุณเป็นอะไร 在 Riety Pahn Instagram 的最讚貼文

2020-09-21 12:47:15

ดริสา คุณเป็นอะไร...

คุณเป็นอะไร 在 Kimberley Anne Woltemas Instagram 的精選貼文

2020-05-11 03:07:22

เช้าวันหนึ่ง..ภรรยาบอกกับสามีว่า"วันนี้ฉันจะกลับบ้านไปเยื่ยมแม่จะไปค้างสักคืนหนึ่งแม่ไม่ค่อยสบาย คุณจะขับรถไปส่งฉันหน่อยได้ไหม ฝนตกหนักแบบนี้ ไปรถโดยส...

  • คุณเป็นอะไร 在 อาจารย์อดัม Facebook 的最讚貼文

    2021-03-01 14:51:14
    有 4,825 人按讚

    คำว่า Deal ใช้อย่างไรกันแน่ ?

    What's the deal?
    วัทสฺ เดอะ ดีลฺ
    ตงลงเราจะทำอะไรกันเหรอ
    หรือตรงตัวว่า ข้อตกลงคืออะไร

    What's your deal?
    วัทสฺ เยอรฺ* ดีลฺ
    ปัญหาของคุณคืออะไร / คุณมีปัณหาอะไร/คุณเป็นอะไร
    *ออกเสียง โยเออรฺ ก็ได้เช่นกันครับ

    What's the problem?
    วัทฺสฺ เดอะ พรอเบลิม
    ปัญหาคืออะไร / มีปัญหาอะไร

    Are we gonna go eat over there or over there?
    ออเออรฺ วี เกอน่ะ โกว อีทฺ โอเฟอรฺ เดเออรฺ โอเฟอรฺ เดเออร

    What do you wanna do?
    วัทฺ ดู ยู วอ-หนะ ดู
    คุณอยากทำอะไร

    Why are you like this?
    วาย ออเออรฺ ยู ไลคฺ ดิส
    ทำไมคุณเป็นแบบนี้

    What's your problem?
    วัทฺสฺ เยอรฺ พรอเบลิม
    ปัณหาของคุณคืออะไร

    Do we have a deal?
    ดู วี แฮฝะ ดีลฺ
    เรามีข้อตกลงมั้ย

    Deal? ดี๊ลฺ* ตกลงมั้ย Deal. ดีลฺ ตกลง
    Right? ไร้ทฺ* ใช่มั้ย Right. ไรทฺ ใช่
    *การขึ้นเสียงสูงทำให้เป็นคำถาม

    deal with ดีลฺ วิตฺ รับมือ, ทน

    I can't deal with this anymore!
    อาย แค็นทฺ ดีลฺ วิต ดิสฺ เอ็นนีโมเออรฺ
    ฉันทนเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว / ฉันทนไม่ไหวแล้ว

    ด ใช้แทนเสียง Th แบบก้อง
    ต ใช้แทนเสียง Th แบบไม่ก้อง
    ฟ/ฝ ใช้แทน V

  • คุณเป็นอะไร 在 สมองไหล Facebook 的最佳解答

    2021-02-15 22:46:21
    有 5,682 人按讚

    หมอ คือ นักปิดการขายที่เก่งที่สุด
    .
    หลายคนฟังแล้ว คงเถียงขึ้นมาในใจ ว่าหมอจะเป็นนักปิดการขายได้ไง เพราะไม่เคยเห็นหมอคนไหนขายของสักคน
    .
    งั้นลองนึกภาพตามผมนะครับ...
    .
    ถ้าวันนี้คุณเกิดปวดท้องขึ้นมา แล้วไปหาหมอ สิ่งแรกที่หมอจะถามคุณคือ สอบถามอาการป่วย สอบถามพฤติกรรมต่างๆ เช่น ปวดตรงไหน ปวดมากี่วันแล้ว ส่วนใหญ่ปวดเวลาไหน ถ่ายเหลวมั๊ย ?
    .
    หลังจากสอบถามอาการแล้วทำการตรวจอย่างละเอียด จึงจะวินิจฉัยโรคออกมา แล้วจึงบอกว่า คุณเป็นอะไร
    .
    หลังจากนั้นคุณก็ออกจากห้องตรวจ แล้วก็เดินไปจ่ายเงินค่ายา (สินค้า) โดยที่ไม่สามารถเลือกชนิดของยาได้เลย ว่าจะเลือกยาชนิดไหน ผลิตจากประเทศอะไร แล้วจ่ายเงินเท่าไหร่ ?
    .
    ที่สำคัญ คือ คุณไม่มีทางปฏิเสธการรับยาแล้วบอกว่า “ขอคิดดูก่อน” ที่หน้าห้องรับยาได้เลย
    .
    หน้าที่ของคุณคือ เดินไปจ่ายเงิน แล้วรับยาไปกินที่บ้าน
    .
    นั้นแหละ เท่ากับว่า คุณหมอ “ปิดการขาย” สำเร็จแล้ว
    .
    สิ่งที่ทำให้หมอเป็นนักปิดการขายที่เก่งที่สุด เพราะหมอไม่ได้เน้น “ขายสินค้า” แต่เน้น “แก้ปัญหา” ให้ลูกค้าต่างหาก
    .
    คุณหมอจะไม่อธิบายสรรพคุณของยาก่อนการวินิจฉัยโรค และแทบจะไม่คุยเรื่องของยา (สินค้า) เลยด้วยซ้ำ
    .
    คุณลองนึกภาพดูว่า ถ้าคุณไปหาหมอแล้วหมอบอกว่า “อ๋อ ไม่ต้องตรวจหรอก ผมดูหน้าคุณก็รู้แล้วว่าคุณเป็นอะไร เอายานี้ไปกินแล้วกัน รับรองว่าหายแน่นอน เพราะยานี้มันมีสรรพคุณแบบนี้ ใช้แล้วดีมากๆ”
    .
    ถ้าคุณเจอหมอแบบนี้ คุณจะกล้าไปหาหมอคนนี้อีกไหมครับ แล้วจะกล้ากินยาที่หมอให้มาไหม ?
    .
    แน่นอนว่าคงตอบได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า “ไม่ !!”
    .
    แต่น่าแปลกไหม ที่เวลาคนเราจะขายของ ชอบขายแบบ “หมอที่ไม่มีการตรวจโรคก่อน”
    .
    เพราะทุกครั้งที่นักขายได้โอกาสพูด ก็จะเริ่มร่ายยาวข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า อย่างกับร้องเพลงแร็ปให้ลูกค้าฟัง แล้วก็พยายามบีบให้ลูกค้าซื้อด้วยเทคนิคต่างๆ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้แหละ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ “เกลียดการขาย”
    .
    จำไว้ว่า “ลูกค้าไม่ได้สนใจสินค้าของเราเลย เพราะทุกคนเขาสนใจแต่ปัญหาของตัวเองเท่านั้น”
    .
    และลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้า แต่เขาซื้อวิธีแก้ปัญหาต่างหาก
    .
    และ หมอนี่แหละ คือ “นักแก้ปัญหา” ที่เก่งที่สุด
    .
    เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากจะปิดการขายได้เก่ง คุณต้องปิดการขายแบบหมอ
    .
    ซึ่งนี่แหละคือ กุญแจสำคัญที่ทำให้ผมสามารถ “ปิดการขายหนังสือได้ 6,000 เล่ม ภายในเวลา 8 เดือน”
    .
    เพราะผมไม่ได้เน้น “ขาย” หนังสือ แต่ผมเน้น “แก้ปัญหา” ให้ลูกค้า
    .
    ซึ่งผมมักจะพูดบ่อยๆ ว่าเพจผมไม่ใช่เพจขายหนังสือ แต่เหมือน “คลินิกที่จ่ายยาเป็นหนังสือ” ต่างหาก
    .
    ใครที่เคยเข้ามาซื้อหนังสือกับผมจะรู้ดีว่า ถ้าคุณทักผมมา ผมจะไม่เอาแคตตาล็อกหนังสือมากางให้คุณดู
    .
    แต่จะให้ลูกค้าเล่าปัญหาที่ตัวเองเจอออกมา ไม่ว่าจะเป็น การงาน ธุรกิจ การเงิน ความรัก ความสุข สังคม การค้นหาตัวเอง หรือ เป้าหมายของชีวิต
    .
    จากนั้นก็ค่อยๆ ถามเจาะลึกลงไปจนเจอต้นตอของปัญหา แล้ววินิจฉัยออกมาว่าคุณเป็นอะไร หนึ่ง สอง สาม สี่...
    .
    เมื่อรู้แล้วว่าปัญหาคืออะไร ผมถึงจะค่อยบอกว่า มันสามารถแก้ไขได้ด้วยหนังสือเล่มไหน เปรียบเสมือนการจ่ายยาของหมอ
    .
    ซึ่งลูกค้าเกือบทุกคน ก็ยอมจ่ายเงินซื้อหนังสือกับผม โดยที่ไม่ไปหาร้านอื่นมาเปรียบเทียบราคาเลย
    .
    นี่แหละคือ กุญแจสำคัญที่ทำให้ผมสามารถทำธุรกิจขายหนังสือได้ โดยที่ไม่ต้องไปตัดราคาแข่งกับใคร ไม่ต้องไปลดคุณค่าของหนังสือแข่งกับใคร เพราะสิ่งที่ผมทำอยู่นั้น มันไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
    .
    เพราะความจริงแล้วลูกค้าไม่ได้ซื้อของเพราะราคาอย่างเดียว แต่เพราะคุณขายเหมือนกันหมด มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ลูกค้าจะต้องจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อสินค้าของคุณ
    .
    แล้วก็มานั่งบ่นโทษคนอื่นว่า “ลูกค้าสมัยนี้ก็ซื้อของกันที่ราคาทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่ลดราคาก็ไม่มีใครซื้อหรอก”
    .
    โดยที่ไม่หันมาถามตัวเองเลยว่า “ถ้าอยากจะให้ลูกค้าจ่ายเเพงกว่า แล้วได้ทำอะไรให้มันดีกว่าเจ้าอื่นแล้วหรือยัง ?”
    .
    แล้วถ้าคุณอยากมียอดขายเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเหมือนผม ผมแนะนำให้อ่าน “หนังสือ รู้แค่นี้ขายดีทุกอย่าง” ของโค้ชแบงค์ สุภกฤษ
    .
    นี่คือหนังสือที่ทำให้ผมรู้สึก “สนุก” กับ “การขาย” มากที่สุดแล้ว เพราะแต่ละเทคนิคที่โค้ชแบงค์ได้เขียนไว้นั้น มันช่างแยบยลจนสามารถดึงออกมาใช้ปิดการขายได้ทุกสถานการณ์จริงๆ
    .
    .
    “เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น
    ด้วยการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม”
    .
    แต่ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองควรอ่านเล่มไหน
    ทักมาปรึกษาสมองไหลได้เลย
    .
    สั่งซื้อหนังสือออนไลน์ง่ายๆ ส่งตรงถึงหน้าบ้านคุณ
    ได้ที่ Inbox เพจ #สมองไหล

  • คุณเป็นอะไร 在 สมองไหล Facebook 的最佳解答

    2020-10-12 22:55:51
    有 8,085 人按讚

    หมอ คือ นักปิดการขายที่เก่งที่สุด
    .
    หลายคนฟังแล้ว คงเถียงขึ้นมาในใจ ว่าหมอจะเป็นนักปิดการขายได้ไง เพราะไม่เคยเห็นหมอคนไหนขายของสักคน
    .
    งั้นลองนึกภาพตามผมนะครับ...
    .
    ถ้าวันนี้คุณเกิดปวดท้องขึ้นมา แล้วไปหาหมอ สิ่งแรกที่หมอจะถามคุณคือ สอบถามอาการป่วย สอบถามพฤติกรรมต่างๆ เช่น ปวดตรงไหน ปวดมากี่วันแล้ว ส่วนใหญ่ปวดเวลาไหน ถ่ายเหลวมั๊ย ?
    .
    หลังจากสอบถามอาการแล้วทำการตรวจอย่างละเอียด จึงจะวินิจฉัยโรคออกมา แล้วจึงบอกว่า คุณเป็นอะไร
    .
    หลังจากนั้นคุณก็ออกจากห้องตรวจ แล้วก็เดินไปจ่ายเงินค่ายา (สินค้า) โดยที่ไม่สามารถเลือกชนิดของยาได้เลย ว่าจะเลือกยาชนิดไหน ผลิตจากประเทศอะไร แล้วจ่ายเงินเท่าไหร่ ?
    .
    ที่สำคัญ คือ คุณไม่มีทางปฏิเสธการรับยาแล้วบอกว่า “ขอคิดดูก่อน” ที่หน้าห้องรับยาได้เลย
    .
    หน้าที่ของคุณคือ เดินไปจ่ายเงิน แล้วรับยาไปกินที่บ้าน
    .
    นั้นแหละ เท่ากับว่า คุณหมอ “ปิดการขาย” สำเร็จแล้ว
    .
    สิ่งที่ทำให้หมอเป็นนักปิดการขายที่เก่งที่สุด เพราะหมอไม่ได้เน้น “ขายสินค้า” แต่เน้น “แก้ปัญหา” ให้ลูกค้าต่างหาก
    .
    คุณหมอจะไม่อธิบายสรรพคุณของยาก่อนการวินิจฉัยโรค และแทบจะไม่คุยเรื่องของยา (สินค้า) เลยด้วยซ้ำ
    .
    คุณลองนึกภาพดูว่า ถ้าคุณไปหาหมอแล้วหมอบอกว่า “อ๋อ ไม่ต้องตรวจหรอก ผมดูหน้าคุณก็รู้แล้วว่าคุณเป็นอะไร เอายานี้ไปกินแล้วกัน รับรองว่าหายแน่นอน เพราะยานี้มันมีสรรพคุณแบบนี้ ใช้แล้วดีมากๆ”
    .
    ถ้าคุณเจอหมอแบบนี้ คุณจะกล้าไปหาหมอคนนี้อีกไหมครับ แล้วจะกล้ากินยาที่หมอให้มาไหม ?
    .
    แน่นอนว่าคงตอบได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า “ไม่ !!”
    .
    แต่น่าแปลกไหม ที่เวลาคนเราจะขายของ ชอบขายแบบ “หมอที่ไม่มีการตรวจโรคก่อน”
    .
    เพราะทุกครั้งที่นักขายได้โอกาสพูด ก็จะเริ่มร่ายยาวข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า อย่างกับร้องเพลงแร็ปให้ลูกค้าฟัง แล้วก็พยายามบีบให้ลูกค้าซื้อด้วยเทคนิคต่างๆ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้แหละ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ “เกลียดการขาย”
    .
    จำไว้ว่า “ลูกค้าไม่ได้สนใจสินค้าของเราเลย เพราะทุกคนเขาสนใจแต่ปัญหาของตัวเองเท่านั้น”
    .
    และลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้า แต่เขาซื้อวิธีแก้ปัญหาต่างหาก
    .
    และ หมอนี่แหละ คือ “นักแก้ปัญหา” ที่เก่งที่สุด
    .
    เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากจะปิดการขายได้เก่ง คุณต้องปิดการขายแบบหมอ
    .
    ซึ่งนี่แหละคือ กุญแจสำคัญที่ทำให้ผมสามารถ “ปิดการขายหนังสือได้ 3,000 เล่ม ภายในเวลา 4 เดือนครึ่ง”
    .
    เพราะผมไม่ได้เน้น “ขาย” หนังสือ แต่ผมเน้น “แก้ปัญหา” ให้ลูกค้า
    .
    ซึ่งผมมักจะพูดบ่อยๆ ว่าเพจผมไม่ใช่เพจขายหนังสือ แต่เหมือน “คลินิกที่จ่ายยาเป็นหนังสือ” ต่างหาก
    .
    ใครที่เคยเข้ามาซื้อหนังสือกับผมจะรู้ดีว่า ถ้าคุณทักผมมา ผมจะไม่เอาแคตตาล็อกหนังสือมากางให้คุณดู
    .
    แต่จะให้ลูกค้าเล่าปัญหาที่ตัวเองเจอออกมา ไม่ว่าจะเป็น การงาน ธุรกิจ การเงิน ความรัก ความสุข สังคม การค้นหาตัวเอง หรือ เป้าหมายของชีวิต
    .
    จากนั้นก็ค่อยๆ ถามเจาะลึกลงไปจนเจอต้นตอของปัญหา แล้ววินิจฉัยออกมาว่าคุณเป็นอะไร หนึ่ง สอง สาม สี่...
    .
    เมื่อรู้แล้วว่าปัญหาคืออะไร ผมถึงจะค่อยบอกว่า มันสามารถแก้ไขได้ด้วยหนังสือเล่มไหน เปรียบเสมือนการจ่ายยาของหมอ
    .
    ซึ่งลูกค้าเกือบทุกคน ก็ยอมจ่ายเงินซื้อหนังสือกับผม โดยที่ไม่ไปหาร้านอื่นมาเปรียบเทียบราคาเลย
    .
    นี่แหละคือ กุญแจสำคัญที่ทำให้ผมสามารถทำธุรกิจขายหนังสือได้ โดยที่ไม่ต้องไปตัดราคาแข่งกับใคร ไม่ต้องไปลดคุณค่าของหนังสือแข่งกับใคร เพราะสิ่งที่ผมทำอยู่นั้น มันไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
    .
    เพราะความจริงแล้วลูกค้าไม่ได้ซื้อของเพราะราคาอย่างเดียว แต่เพราะคุณขายเหมือนกันหมด มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ลูกค้าจะต้องจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อสินค้าของคุณ
    .
    แล้วก็มานั่งบ่นโทษคนอื่นว่า “ลูกค้าสมัยนี้ก็ซื้อของกันที่ราคาทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่ลดราคาก็ไม่มีใครซื้อหรอก”
    .
    โดยที่ไม่หันมาถามตัวเองเลยว่า “ถ้าอยากจะให้ลูกค้าจ่ายเเพงกว่า แล้วได้ทำอะไรให้มันดีกว่าเจ้าอื่นแล้วหรือยัง ?”
    .
    แล้วถ้าคุณอยากมียอดขายเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเหมือนผม ผมแนะนำให้อ่าน “หนังสือ รู้แค่นี้ขายดีทุกอย่าง” ของโค้ชแบงค์ สุภกฤษ
    .
    นี่คือหนังสือที่ทำให้ผมรู้สึก “สนุก” กับ “การขาย” มากที่สุดแล้ว เพราะแต่ละเทคนิคที่โค้ชแบงค์ได้เขียนไว้นั้น มันช่างแยบยลจนสามารถดึงออกมาใช้ปิดการขายได้ทุกสถานการณ์จริงๆ
    .
    .
    แต่ต้องบอกก่อนว่า ของมีจำนวนจำกัดมากๆ นะครับ ใครอยากได้ ทัก Inbox มาด่วนเลย...

你可能也想看看

搜尋相關網站