雖然這篇การส่งเสริมการขาย鄉民發文沒有被收入到精華區:在การส่งเสริมการขาย這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章
在 การส่งเสริมการขาย產品中有6篇Facebook貼文,粉絲數超過35萬的網紅GamingDose,也在其Facebook貼文中提到, เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง และต่อเนื่องมาก ๆ สำหรับ Resident Evil 7 . ในขณะที่ภาค 8 หรือ Village กำลังจะวางจำหน่ายให้ได้เล่นกันในเดือนพฤษภาคมน...
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過7萬的網紅manopyellow,也在其Youtube影片中提到,รายการอาจารย์มานพพบปัญหา 319 Yellowการบัญชี www.yellowaccounting.com โดย อ.มานพ สีเหลือง...
-
การส่งเสริมการขาย 在 manopyellow Youtube 的最佳貼文
2016-03-07 20:44:52รายการอาจารย์มานพพบปัญหา 319 Yellowการบัญชี www.yellowaccounting.com โดย อ.มานพ สีเหลือง
การส่งเสริมการขาย 在 GamingDose Facebook 的最佳貼文
เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง และต่อเนื่องมาก ๆ สำหรับ Resident Evil 7
.
ในขณะที่ภาค 8 หรือ Village กำลังจะวางจำหน่ายให้ได้เล่นกันในเดือนพฤษภาคมนี้ ตัวเกมภาค 7 ยังคงทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง และสูงถึงปีละ 1 ล้านชุด และปัจจุบันมันขายไปได้แล้วกว่า 8.5 ล้านชุด
.
Antoine Molant ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Capcom เผยว่าตัวเกมยังคงมียอดขายมากกว่า 1 ล้านชุดในทุก ๆ ปี ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก สำหรับเกมที่มีอายุมากกว่า 4 ปีแล้ว และนั่นทำให้ Capcom เล็งเห็นว่า เกมที่มีคุณภาพดีจริง ๆ จะสามารถทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน
.
ของมีคุณภาพ ยังไงก็ขายได้ และมันจะขายได้หลายปี เรายังคงเห็น Resident Evil 7 ขายออกถึงปีละ 1 ล้านชุด ทำให้เราวางแผนการตลาดระยะยาวมากขึ้น ทั้งคุณภาพเกม การส่งเสริมการขาย และช่วงโปรโมชั่นต่าง ๆ ซึ่งมันจะสำคัญมาก หลังอายุเกมผ่านไป 1 ปีแล้ว
.
เห็นอย่างนี้แล้วเชื่อว่าทาง Capcom น่าจะเล็งเห็นถึงความสำคัญของคุณภาพตัวเกม นั่นอาจทำให้เราคาดหวังได้ว่า Resident Evil Village ที่กำลังจะมาถึงในเดือนพฤษภาคมนี้จะต้องออกมาดีไม่แพ้กัน แต่ก็ต้องรอดูด้วยตัวเองกันเท่านั้น
.
Resident Evil Village มีกำหนดวางจำหน่าย 7 พฤษภาคมนี้ บน PC, PS4, PS5, XBOX One, XBOX Series X/S
.
ที่มา : https://gamingbolt.com/resident-evil-7-is-still-shipping-over-1-million-copies-every-year
.
#gamingdose #ข่าวเกม #ResidentEvil7
การส่งเสริมการขาย 在 สมองไหล Facebook 的精選貼文
คำว่า “โปรโมชั่น” แปลเป็นไทย คือ การส่งเสริมการขาย
.
ในเมื่อชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ส่งเสริมการขาย ดังนั้น เป้าหมายของการจัดโปรโมชั่นทุกครั้ง คือ จัดแล้วต้องมียอดขายเพิ่มขึ้น
.
ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้น จะมีที่มาจาก 3 ทาง คือ
.
1) ทำให้คนที่เคยซื้อของกับเราประจำอยู่แล้ว จ่ายเงินซื้อมากกว่าเดิม
2) ช่วยให้คนที่กำลังลังเล ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
3) จูงใจคนที่ไม่เคยซื้อ ให้ทดลองซื้อกับเราเป็นครั้งแรก
.
โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการจัดโปรโมชั่น จะเทียบได้จาก
1) ยอดขายช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
2) ยอดขายเฉลี่ย 3-6 เดือนหลัง
3) ยอดขายตามประมาณการปกติที่ตั้งไว้
.
หรืออาจจะทำโปรโมชั่นแบบไม่ได้เทียบกับอะไรเลยก็ได้ ซึ่งอาจใช้การตั้งเป้าว่า จะทำยอดขายเท่าไหร่จากการจัดโปรโมชั่นครั้งนี้ อยู่ที่องค์ประกอบ และ บริบทของแต่ละธุรกิจ ไม่มีถูกไม่มีผิด
.
แต่ที่สำคัญคือ ทำไปแล้วต้องสามารถวัดผลได้ ไม่ใช่จัดโปรโมชั่นไป ลูกค้าเต็มไปหมด แต่เงินไม่รู้หายไปได้ กลายเป็นเข้าวลีที่ว่า “ขายดี จนเจ๊ง” ซะอย่างนั้น
.
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากตกอยู่ในชะตากรรมอย่างวลีที่กล่าวไป ก็ต้องรู้จักวางแผนก่อนการทำโปรโมชั่นให้ดี
.
โดยหลักการดูว่า โปรโมชั่นที่ทำไปนั้น ทำแล้วคุ้มไหม โปรฯ แบบนี้ควรทำหรือไม่ ทำแล้วได้กำไรหรือขาดทุน มีวิธีคำนวณได้จาก
.
ขั้นที่ 1 ยอดขายจากโปร - ยอดขายแบบไม่จัดโปร
ขั้นที่ 2 หักต้นทุนสินค้าออกจากยอดขายทั้ง 2 ตัว แล้วเอาค่าที่ได้มาลบกัน
ขั้นที่ 3 รวมต้นทุนของการจัดโปรทั้งหมด เช่น ของแจก ค่าทำโบร์ชัวร์ ทำ Artwork ค่ายิง Ads ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการจัดโปรฯ
.
แล้วมาดูว่า ผลลัพธ์ที่ได้ มากกว่าหรือน้อยกว่าขั้นตอนที่ 2
.
ถ้าผลลัพธ์จากขั้นตอนที่ 2 มากกว่า ขั้นที่ 3 แปลว่าทำโปรแล้วคุ้ม เพราะได้ทั้งยอดขาย และ กำไรเพิ่มขึ้น
.
ยกตัวอย่างเช่น
.
- ขายเสื้อผ้า ปกติ ราคาตัวละ 200 บาท โดยมี ต้นทุนตัวละ 100 บาท
- จัดโปรโมชั่น ส่วนลด 50 บาท เหลือตัวละ 150 บาท
.
ขั้นที่ 1
.
- ช่วงปกติขายได้ 50 ตัว จะเท่ากับยอดขาย 200 x 50 = 10,000 บาท
- ช่วงโปรโมชั่นขายได้ 120 ตัว จะเท่ากับยอดขาย 150 x 120 = 18,000 บาท
.
ขั้นที่ 2
.
- ต้นทุนช่วงปกติ เท่ากับ 100 x 50 = 5,000 บาท แล้วนำมาลบกับยอดขาย 10,000 - 5,000 = 5,000 บาท
- ต้นทุนช่วงโปรโมชั่น 100 x 120 = 12,000 บาท แล้วนำมาลบกับยอดขาย 18,000 - 12,000 = 6,000 บาท
- แล้วนำค่าที่ได้มาลบกัน คือ 6,000 - 5,000 = 1,000 บาท
.
ตอนนี้จะเริ่มเห็นแล้วว่า เราสามารถทำกำไรจากโปรโมชั่นในครั้งนี้ มากกว่าช่วงปกติ 1,000 บาท
.
แต่สิ่งที่หลายคนมักลืมคิดกันคือ ต้นทุนจากการจัดโปรโมชั่น ซึ่งอยู่ใน
.
ขั้นที่ 3
.
ต้นทุนโปรโมชั่นมีอะไรบ้าง ?
.
1.ค่ายิง Ads 1,500 บาท
2.ค่าทำ Artwork 500 บาท
3.ค่ากล่อง ค่าถุง ค่าอื่นๆ ที่ต้องใช้มากขึ้น 1,000 บาท
รวม 3,000 บาท
.
แล้วนำค่าจากขั้นตอนที่ 2 มาลบกับขั้นที่ 3 จะเท่ากับ 1,000 - 3,000 = -2,000 บาท
.
สรุปคือ การจัดโปรโมชั่นในครั้งนี้ เราขาดทุน 2,000 บาท
.
จากตัวอย่างนี้สรุปได้ว่า “โปรโมชั่นที่ดี ไม่ใช่การ “ลดราคา” แต่คือ การทำให้ลูกค้า “จ่ายเงินเพิ่ม” ให้ได้”
.
เช่น
.
- ซื้อของชิ้นแรก ในราคาปกติ ส่วนชิ้นที่ 2 ลด 50% คือ แทนที่ลูกค้าจะซื้อแค่ชิ้นเดียว ก็ทำให้ลูกค้าซื้อมากขึ้น
แต่ถ้าเราจัดโปรโมชั่น ลด 25% ตั้งแต่ชิ้นแรก มันมีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะซื้อแค่ชิ้นเดียว ซึ่งเท่ากับว่า ลูกค้าจ่ายเงินให้เราน้อยลง
.
- ชื้อของ 3 ชิ้น แถมฟรี 1 ชิ้น คือ ทำให้ลูกค้าซื้อมากขึ้นเพื่อให้ได้ของแถม
.
- ซื้อของ 5 ชิ้น จัดส่งฟรี นี่ก็เป็นอีกทางเลือกที่ทำให้ลูกค้าจ่ายเงินซื้อมากขึ้น
.
การจัดโปรโมชั่นทุกเดือนเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องทำอย่างมีแผนการและกลยุทธ์ ไม่ใช่อยากทำอะไรก็ทำ สุดท้ายอาจจะขาดทุนทั้งที่ขายดีโดยไม่รู้ตัว
.
ทุกวันนี้โปรโมชั่น คือ สิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะถึงเราไม่จัด คนอื่นก็จัดอยู่ดี สุดท้ายเงินลูกค้าก็ไหลไปอยู่ร้านอื่นหมด ยุคที่มีการแข่งขันสูงแบบนี้ ใครไม่จัดโปรฯ ถือว่าอยู่ยากจริงๆ
.
ยกเว้นว่าแบรนด์ของเราจะแข็งระดับท้อปในวงการนั้นๆ
.
เพราะฉะนั้น ควรหันมาสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง ซึ่งผมเองก็พยายามสร้างแบรนด์ของ สมองไหล ให้แข็งแรงอยู่ เพราะแบรนด์ที่แข็งแรงจะช่วยลดงานจัดโปรฯ ไปได้กว่า 70-80 % เลย
.
แต่สิ่งที่สำคัญคือ อย่าจัดโปรโมชั่น กับสินค้าที่ขายไม่ดี เพราะ มันคนละเรื่องกัน
.
โปรโมชั่น เอาไว้เพิ่มยอดขาย ซึ่งจะทำกับสินค้าที่ขายดีอยู่แล้วเพื่อให้ลูกค้าซื้อมากขึ้น เพราะลูกค้ามีความชอบสินค้าตัวนั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การจัดโปรฯ คือ การทำให้ลูกค้าซื้อหลายชิ้นขึ้น จ่ายเงินมากขึ้น
.
ส่วนของไม่ดีนั้น เอาไว้ ลด แลก แจก แถม เพื่อระบายของที่ค้างสต๊อกให้กลับมาเป็นเงินสด
.
อย่าเอาสินค้าที่ขายไม่ดีมาจัดโปรโมชั่น เพราะไม่มีลูกค้าคนไหนอยากได้ของพวกนี้ทีละเยอะๆ และ อย่าเอาสินค้าที่ชายดีอยู่แล้ว ไป “ลดราคา” เพราะมันคือการ “ลดคุณค่า” ของสินค้าที่ขายดีในร้านคุณ
.
ดังนั้น ของอันไหนขายดีอยู่แล้ว คุณต้องรักษาคุณค่าของมันไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้...
.
จะเห็นได้ว่าในการทำจัดโปรโมชั่นนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำกันตามความรู้สึก หรือ ทำตามๆ กัน คนที่ทำจัดโปรโมชั่นแล้วยังอยู่ได้เขาคิดมาหมดแล้ว เพราะมันไม่ใช่แค่ทำเพื่อเรียกลูกค้าแล้วก็จบๆ ไป แต่มันคือการทำในเชิงกลยุทธ์
.
ยิ่งถ้าเรารู้หลักการในการวางกลยุทธ์แล้ว เราก็จะสามารถทำได้อย่างแยบยลมากขึ้น แค่คิดก็มันส์แล้ว !
.
เพราะฉะนั้น ถ้าใครอยากรู้วิธีการวางกลยุทธ์ในการทำธุรกิจแบบแยบยล ของจริง ไม่มีมโน ให้ไปอ่านในหนังสือ วิชาธุรกิจ ที่ชีวิตจริงเป็นคนสอน ยังมีกลยุทธ์ที่ให้เราเอามาใช้กับธุรกิจอีกเพียบ
.
ใครอยากได้เล่มนี้ ทักมาได้เลย ที่ inbox เพจ สมองไหล ตอนนี้มีจำนวนจำกัด เพราะเหลือไม่มากแล้วจริงๆ
.
.
หนังสือราคา 325 บาท รวมส่ง
.
วิธีการสั่งซื้อ
.
1.กดลิงก์ https://m.me/432860907260347?ref=sale_p92e2R3a
.
2.กด “สั่งซื้อ”
.
3.เลือกจำนวน และ กด “ยืนยันคำสั่งซื้อ”
.
จากนั้น ชำระเงิน ตามเลขบัญชีที่ให้ไว้ใน Inbox
ปล. 1 กดสั่งซื้อแต่ไม่ชำระเงิน ระบบจะไม่จองให้นะครับ ให้สิทธิ์แค่ผู้ที่ชำระเงินเท่านั้น ของหมดก็คือหมด
ปล. 2 หากของหมดระบบจะไม่ขึ้น “คำสั่งซื้อให้” นะครับ
การส่งเสริมการขาย 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的精選貼文
จัดโปรโมชัน ก็ต้อง “เสียภาษี” เจ้าของธุรกิจควรวางแผนภาษีการส่งเสริมการขายด้วย!
.
การส่งเสริมการขาย หรือที่เรียกว่า “โปรโมชัน” คือกลยุทธ์ที่สำคัญและจำเป็นในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะการขายสินค้าหรือบริการ หากร้านไหนมีโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม จะยิ่งช่วยดึงความสนใจให้ลูกค้าเกิดการซื้อ ร้านก็จะมียอดขายที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งการทำโปรโมชัน ก็มีความเกี่ยวข้องทางภาษีที่เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องจ่าย
.
ซึ่งส่วนที่เกี่ยวข้องทางภาษีที่เจ้าของธุรกิจต้องใส่ใจมีด้วยกัน 2 ส่วน คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยมีหลักการวางแผนภาษีในการส่งเสริมการขายแยกเป็นกรณี ดังนี้
.
1. กรณีการลดราคาในสินค้าทั่วไป
#ภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องคิดจากราคาที่ลด และต้องมีใบกำกับภาษีที่ชัดเจนประกอบตอนยื่นภาษีด้วย
#ภาษีเงินได้นิติบุคคล แบ่งได้ 2 กรณี ได้แก่
- กรณีที่ส่วนลดเกิดขึ้นขณะที่ซื้อขายสินค้าและบริการเลย ยอดขายที่ได้ ณ ตอนนั้น จะลงบัญชีเป็นรายได้ปกติ โดยไม่ต้องบวกส่วนลดเข้าไปเพิ่ม
- กรณีที่ส่วนลดเกิดขึ้นภายหลังการซื้อขายสินค้าและบริการ ในการรายงานบัญชี ให้ราย
งานรายได้จากยอดขายเต็มก่อน แล้วค่อยเพิ่ม “ส่วนลด” ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เข้าไปในส่วนของ “รายจ่าย” แทน
.
2. กรณีการลดราคาสำหรับสินค้าล้างสต็อก
เนื่องจากการลดราคาสำหรับล้างสต็อกไม่ใช่การลดราคาทั่วไป แต่ลดต่ำกว่าราคาในตลาดเพื่อให้ขายได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีข้อคำนึงทางภาษีเป็นพิเศษ คือ
#ภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับสินค้าที่ลดราคาแบบล้างสต็อก ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในมาตรฐานเดียวกับสินค้าลดราคาทั่วไป
#ภาษีเงินได้นิติบุคคล ถ้าการลดราคาแบบล้างสต็อกไม่ได้มีราคาต่ำกว่าราคาตลาด จะคิดภาษีเหมือนกับสินค้าลดราคาทั่วไป แต่เมื่อไหร่ที่ขายในราคาที่ต่ำกว่าตลาด ก็จะเข้าเงื่อนไขที่เราควรต้องจัดการอย่างพิเศษถึงจะมีประสิทธิภาพทางภาษีสูงสุด หรือพูดในภาษากฎหมายก็คือต้อง “มีเหตุอันสมควร” ในการขายสินค้าราคาต่ำกว่าราคาตลาด โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- ต้องเป็นสินค้าเสื่อมสภาพ มีตำหนิ ไม่เป็นที่นิยมแล้ว รวมถึงสินค้าที่หมดอายุและเป็นเศษซาก โดยเป็นไปตามเงื่อนไขที่แต่ละบริษัทกำหนด สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คำสั่งกรมสรรพากร ป.79/2541 > http://www.rd.go.th/publish/3575.0.html
- สินค้าที่ลดราคาล้างสต็อกต้องได้รับการตรวจสอบ และได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจในการพิจารณาให้เป็นสินค้าที่เสื่อมสภาพ มีตำหนิ ไม่เป็นที่นิยมแล้ว รวมถึงสินค้าหมดอายุและเป็นเศษซาก
- ต้องมีบุคคลร่วมสังเกตการณ์ ได้แก่ ฝ่ายคลังสินค้า ฝ่ายบัญชี ลงลายมือชื่อเป็นพยานในการขาย เพื่อเป็นหลักฐานในการบันทึกบัญชี
ซึ่งถ้าไม่ทำตามเงื่อนไขเหล่านี้ เจ้าพนักงานด้านภาษี จะมีสิทธิ์ประเมินรายได้จากการขายล้างสต็อกของเราในราคาตลาด เช่น ปกติเราขายสินค้าราคา 100 บาท แต่เรานำมาขายแบบลดล้างสต็อกที่ราคา 30 บาท เจ้าพนักงานจะมีอำนาจให้เราเพิ่มรายได้ในบัญชีให้เป็นราคาเดียวกับตลาด เท่ากับว่าเรามีราคาที่ได้จากการขายสินค้านั้น 100 บาท
.
3. กรณีการแถมสินค้าหรือแจกสินค้าฟรี
#ภาษีมูลค่าเพิ่ม การให้ของแถม ไม่ถือว่าเป็นการสร้างรายได้ ซึ่งในทางภาษีจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และจะต้องเสียตามมูลค่าตลาดด้วย ถ้าไม่เข้าข่ายข้อยกเว้นต่าง ๆ ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40) เรื่องกำหนดลักษณะ เงื่อนไข ค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษี ที่ระบุไว้ว่า
- มูลค่าของสินค้าที่แถม ไม่ว่าจะเป็นประเภทเดียวสินค้าที่ขายหรือไม่ มูลค่าของสินค้าแถม ต้องไม่เกินมูลค่าของสินค้าที่ขาย หากเป็นไปตามลักษณะนี้ ก็ไม่ต้องนำมูลค่าของสินค้าแถม มาคำนวณรวมกับสินค้าที่ขายเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ถ้าเป็นสินค้าที่ได้รับการยกเว้น เช่น หนังสือ สินค้าเกษตร ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และไม่ต้องนำมูลค่าของสินค้าแถมมาคำนวณรวมด้วย ซึ่งสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ มาตรา 81 (1) ของประมวลรัษฎากร > http://www.rd.go.th/publish/5206.0.html
#ภาษีเงินได้นิติบุคคล จะคิดเหมือนกับการขายสินค้าที่ราคาต่ำกว่าตลาดแบบเดียวกับการลดล้างสต็อก คือ ถ้าไม่มีเหตุสมควร เจ้าพนักงานมีอำนาจในการสั่งให้เอาสินค้าแถม มาคิดเป็นรายได้ของบริษัทตามราคาตลาด ที่ต่อให้เราจะนำสินค้าราคา 100 บาท มาลดเหลือ 30 บาท เจ้าพนักงานก็มีสิทธิ์สั่งให้เราเพิ่มรายได้ในบัญชีเป็นราคาเต็ม คือ 100 บาท
ดังนั้น ของแถม ที่มีประสิทธิภาพในทางภาษี จะต้องเป็นสินค้าที่เสื่อมสภาพ มีตำหนิ ไม่เป็นที่นิยมแล้ว หมดอายุและเป็นเศษซาก ซึ่งผ่านกระบวนการต่างๆ ให้มันมี “เหตุสมควร” ในการที่บริษัทจะขายออกไปในราคาต่ำกว่าตลาด เช่นเดียวกับที่ได้อธิบายไว้แล้วในหัวข้อการลดล้างสต็อก
.
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นการทำโปรโมชันแบบใด ลดราคาทั่วไป ลดล้างสต็อก หรือ การให้ของแถม ล้วนแล้วแต่มีมิติทางภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น รวมถึงเพื่อให้การทำส่งเสริมการขาย จัดโปรโมชัน มีประสิทธิภาพมากที่สุด เจ้าของธุรกิจ หรือร้านค้า จึงควรศึกษาและวางแผนทางภาษีในส่วนนี้ไว้ ก่อนเริ่มจัดโปรโมชันส่งเสริมการขายต่างๆ
.
ที่มา : https://sme.ktb.co.th/sme/productListAction.action
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#เจ้าของธุรกิจ #ร้านค้า #โปรโมชัน #การส่งเสริมการขาย
#Promotion #Tax #ลดราคา #ล้างสต็อก #ภาษี #เสียภาษี