[爆卦]การบริโภค หมายถึง是什麼?優點缺點精華區懶人包

雖然這篇การบริโภค หมายถึง鄉民發文沒有被收入到精華區:在การบริโภค หมายถึง這個話題中,我們另外找到其它相關的精選爆讚文章

在 การบริโภค產品中有19篇Facebook貼文,粉絲數超過35萬的網紅สมองไหล,也在其Facebook貼文中提到, 1. การค้นหาตัวเองก็เหมือนการชิมอาหาร ถ้าคุณไม่เคยลองชิมอาหารอะไรเลย คุณจะรู้ไหมว่า เมนูไหน คือ ของโปรดคุณ เช่นกัน ถ้าคุณไม่ลองลงมือทำ คุณก็ไม่มีทางรู้...

  • การบริโภค 在 สมองไหล Facebook 的最佳解答

    2021-07-19 20:36:48
    有 1,052 人按讚

    1. การค้นหาตัวเองก็เหมือนการชิมอาหาร ถ้าคุณไม่เคยลองชิมอาหารอะไรเลย คุณจะรู้ไหมว่า เมนูไหน คือ ของโปรดคุณ เช่นกัน ถ้าคุณไม่ลองลงมือทำ คุณก็ไม่มีทางรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองชอบ
    .
    การค้นหาตัวเองจึงไม่ใช่การคิดวกไปวนมา แต่คือการ ทดลอง และ ลงมือทำ อะไรหลายอย่าง จนกว่าจะหามันเจอ
    .
    2. มรดกที่มีคุณค่ามากที่สุด ไม่ใช่ทรัพย์สิน แต่คือ ความคิด เพราะต่อให้ได้รับมรดกเป็น ทรัพย์สิน มาเป็นล้าน แต่ขาด มรดกทางความคิด ซึ่งเปรียบเสมือนคู่มือการใช้งาน อีกไม่นานทุกอย่างก็กลับมาเป็น ศูนย์ อยู่ดี
    .
    แต่ถ้ามรดกที่ได้รับมาเป็นความคิด ต่อให้ได้รับทรัพย์สินมามูลค่าเป็น สูนย์ มันก็ยังสามารถนำไปสร้างทรัพย์สิน ให้กลับมาเป็นล้านได้
    .
    3. การไม่มีใบปริญญา อาจไม่ได้ทำให้ทุกอย่างยาก แต่ความคิดที่ว่า ถ้าไม่มีใบปริญญา ชิวิตนี้คงจะทำอะไรไม่ได้ต่างหาก ที่ทำให้ทุกอย่างยาก และ ทำให้คนติดกับดัก จนไม่ลงมือทำอะไรเลย
    .
    4. ใบปริญญา คือ สิ่งที่บอกว่าคุณเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้บอกว่า คุณจบการศึกษา เพราะการศึกษาต้องทำไปตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเป็นเพียงอนุบาลชีวิตเท่านั้น แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ต่างหาก คือ ของจริง
    .
    5. คุณไม่สามารถทำเงิน “แสน” ด้วยวิธีการเดียวกับตอนทำเงิน “หมื่น” และ คุณก็ไม่สามารถทำเงิน “ล้าน” ด้วยวิธีการเดียวกับตอนทำเงิน “แสน” ได้
    .
    เพราะสิ่งที่ทำให้คุณมาถึง “จุดที่ยืนอยู่” จะไม่สามารถพาคุณก้าวไปถึง “จุดที่คุณต้องการ” ได้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากมีชีวิตที่ “ก้าวหน้า” กว่าที่เป็นอยู่ ก็จงเปลี่ยนแปลงตัวเอง และ มองหาวิธีการทำเงินใหม่ๆ อยู่เสมอ
    .
    6. ความรู้ทางการเงิน คือ สิ่งที่คุณต้องมี ถึงจะรวยได้ ไม่ใช่คิดว่ารอให้รวยก่อนถึงค่อยหาความรู้ทางการเงิน เพราะสิ่งที่จะตัดสินว่าคุณจะเป็นคนรวยหรือคนจน ก็คือ ความรู้ทางการเงิน นี่แหละ
    .
    7. ถ้าถามว่าทำไมต้องมี เงินเก็บ ก็เพราะการมีเงินเก็บ จะทำให้คุณมี วิสัยทัศน์ มากขึ้น มองได้ไกลขึ้น ว่าเดือนหน้า ปีหน้า คุณจะทำอะไรบ้าง เพื่อพัฒนาชีวิตของตัวเอง
    .
    แต่ถ้าคุณไม่มีเงินเงินเก็บเลย ความคิดของคุณจะอยู่แค่ วันนี้ จะกินอะไร พรุ่งนี้ จะทำอย่างไรให้ตัวเองยังอยู่รอดได้ก็เท่านั้น ไม่ไกลไปจากนี้
    .
    8. เงินก็เหมือนเกม ถ้าเรารู้กติกา และ เล่นเป็น เราก็จะเป็นผู้ชนะในสนามการเงิน แต่สิ่งสำคัญคือ คุณต้องมีความรู้ทางการเงิน เพราะไม่มีใครทำเงินได้เกินขอบเขตความรู้ของตัวเอง
    .
    9. การขาย คือ ทักษะแห่งการสร้างเนื้อสร้างตัว ถ้าอยากจะมีรายได้มากขึ้น จงฝึกฝนทักษะการขายเป็นสิ่งแรก เพราะถ้าวันนี้คุณยังกลัว และ ปฏิเสธการขาย ก็ไม่ต่างอะไรกับการปฎิเสธรายได้ที่จะเข้ามาหาตัวเอง
    .
    10. เรากำลังอยู่ในยุคที่ ทักษะการเขียน มีผลต่อปากท้อง คนที่เขียนขาย เขียนเรซูเม่ เขียนคอนเทนต์ ได้เก่งกว่า ก็มีโอกาสทำเงินได้มากกว่า ดังนั้น ใครที่ยังไม่เริ่มฝึก ทักษะการเขียน ตั้งแต่วันนี้ ระวังจะกลายเป็นคน ไส้แห้ง โดยไม่รู้ตัว
    .
    11. ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ให้ใช้ “หูฟัง” ก่อนใช้ “ปากพูด” เสมอ เพราะการฟัง คือ กำไร แต่ถ้าเอาแต่พูด มันมีแต่ เสมอตัว กับ ขาดทุน
    .
    12. สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สำเร็จ เพราะเก่งแต่ตอนตั้ง “เป้าหมาย” แต่ไม่ได้คิดถึง “กระบวนการ” ในการเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้น ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก เพราะการตั้งเป้าหมายแบบไม่มี กระบวนการ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่อยากทำอาหาร แต่ไม่รู้จัก ขั้นตอน
    .
    13. อย่าอ้างว่าไม่มีทางทำอะไรสำเร็จ เพราะไม่มี คอนเนกชั่น ถ้าคุณยังทำตัวไม่คู่ควรกับมัน เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงเอาตัวเองไป คอนเนก กับคนที่ไม่ลงมือทำอะไรเลย เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากจะได้อะไร ก็ต้องทำตัวให้คู่ควรกับมันเสียก่อน
    .
    14. สิ่งที่คุณควรลงทุนเป็นอันดับแรก คือ สมอง เพราะถ้าสมองมีมูลค่า 1 ล้าน ต่อให้เหลือเงิน 1 บาทก็หาทางทำให้เงินกลับมาเป็น 1 ล้านได้ แต่ถ้าสมองมีมูลค่า 1 บาท ต่อให้ถูกหวย 1 ล้าน สุดท้ายก็จะทำมันสลายจนเหลือ 1 บาท อยู่ดี
    .
    15.ในช่วงเริ่มต้นของวัยทำงาน อย่ามองผลตอบแทนแค่มูลค่าของ เงิน ที่ได้รับ เพราะผลตอบแทนสามารถมาในรูปแบบของ ความรู้ คอนเนกชั่น โอกาส และ ประสบการณ์​ ได้เหมือนกัน ตัวแปรสำคัญ 4 อย่างนี้แหละ ที่จะทำให้สามารถ ทำเงิน ได้อย่างมหาศาลในอนาคต
    .
    16. ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็วแบบนี้ การมีทักษะการทำงานแบบตัว T ถือว่าดีที่สุด คือ รู้ลึกหรือเชี่ยวชาญอะไรสักด้าน ขณะเดียวกันก็ต้องมีความรู้กว้างเหมือนเป็ดในด้านอื่นๆ ด้วย เพราะการรู้กว้างจะทำให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนไปทำสิ่งใหม่ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่มีอาชีพเกิดใหม่ทุกวันแบบนี้ การเป็นเป็ดอาจประสบความสำเร็จได้มากกว่า
    .
    17. คนเราเก่งอย่างเดียวไม่พอ มันต้องอยู่ให้ถูกที่ด้วย โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อม คนรอบข้าง ซึ่งมีผลต่ออนาคตของเรามาก ดังนั้น จงเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของเราให้มากที่สุด เพราะโอกาสไม่มีขา เดินมาหาเราไม่ได้
    .
    18. คำว่า ไม่มีเวลา ไม่มีอยู่จริง เพราะประเด็นไม่ได้อยู่ที่ มี หรือ ไม่มีเวลา หรอก แต่อยู่ที่ ใช้ หรือ ไม่ใช้เวลาต่างหาก ถ้ารู้สึกว่าไม่มีเวลาพัฒนาตัวเอง ลองนั่งนิ่งๆ แล้วมองย้อนกลับไป ว่าในแต่ละวันเราใช้เวลาอย่างไร้ค่าไปกับอะไรบ้าง ถ้าคุณกล้าหาญพอที่จะตัดมันออกได้ คุณจะได้เวลากลับมาอย่างมหาศาลเลย
    .
    19. ธุรกิจ เริ่มต้นจากนิสัยการใช้เงินของเรา ว่าจะเลือกใช้เงินที่มีไปกับ “การบริโภค” หรือ “การลงทุน” การลงทุนในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าต้องไปซื้อหุ้น หรือ อสังหาฯ แต่คือการลงทุนกับอะไรก็ได้ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนกลับมา เช่น การลงทุนกับ ความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ แล้วนำสิ่งเหล่านี้ไป เรียนรู้ พัฒนา และ ทำเงิน ต่อไป
    .
    20. การได้ทำงานที่ชอบ จะทำให้เราสามารถดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอนได้เองโดยไม่งัวเงีย เพราะงานจะไม่ใช่แค่งาน แต่จะกลายเป็น ความหมายของชีวิต และ ทำให้รู้สึกราวกับว่าเราไม่ได้ทำงานอีกเลยตลอดชีวิต
    .
    21. กฎเหล็ก ของการทำธุรกิจ คือ ห้ามเอาเงินออกมาใช้ส่วนตัว ถ้าเริ่มทำครั้งแรก ครั้งที่สอง สาม สี่ ก็จะตามมา จนสุดท้ายจะกลายเป็น กฎเล็ก ที่แม้แต่คนขายดี ก็ทำให้ “เจ๊ง” ได้
    .
    22. การทำธุรกิจกับตำแหน่ง “ผู้นำ” มักจะมาคู่กันเสมอ แต่คุณจะมีความเป็นผู้นำอย่างแท้จริงเหมือนชื่อตำแหน่งที่ได้มาหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่อง และสิ่งหนึ่งที่จะเป็นเครื่องยืนยันความเป็นผู้นำในตัวของคุณได้ก็คือ การไม่ทำผิดนิยามของความเป็นผู้นำ ด้วยการ “สังเวยคนของตัวเอง” เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
    .
    23. ปัจจัยที่มีผลต่อการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ คือ ความเชื่อใจ ของคนในทีม เพราะถ้าคนในทีมรู้สึกระแวงต่อกัน หรือ ระแวงหัวหน้างาน ทุกคนก็ต้องใช้เวลาและพลังงานไปกับการปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกมองไม่ดี หรือ โดนไล่ออก
    .
    ฉะนั้น การทำธุรกิจไม่ใช่แค่มีเงินทุนหรือความสามารถในการจ้างคนเก่งๆ เท่านั้น แต่คุณในฐานะผู้นำจะต้องสร้าง สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และ ความไว้วางใจ ที่ทุกคนมีต่อกันให้ได้ด้วย
    .
    24. ถ้าอยากทำธุรกิจ ต้องตั้งเป้าหมายว่าอยากทำธุรกิจตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจสมัครงาน เพราะถ้าเราตั้งใจแค่จะไปทำงาน เราจะโฟกัสแค่งานตรงหน้า แต่ถ้าตั้งใจจะทำธุรกิจ สายตาของเราจะกว้างขึ้น และ พยายามเรียนรู้งานทุกอย่าง ศึกษาวิธีการทำงานทุกแผนก และ สามารถเชื่อมโยงกับธุรกิจที่เราอยากทำในอนาคตได้
    .
    25. การทำงานประจำ กับ การทำธุรกิจ มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การทำงานประจำ คุณเก่งแค่งานของตัวเองก็เพียงพอ แต่การทำธุรกิจคุณอาจจะไม่ต้องเก่งที่สุดในทุกงาน แต่คุณต้องรู้ว่างานทุกอย่างมันทำงานอย่างไร
    .
    26. การทำงานประจำจะทำให้คุณเข้าใจมุมมองของพนักงานที่มีต่อองค์กรและหัวหน้ามากขึ้น ว่าหัวหน้าแบบไหนคือแบบอย่างที่ดี แบบไหนคือคนที่ถ่วงความเจริญขององค์กร เวลาไปทำธุรกิจจริง อะไรที่เราไม่ชอบ หรือ เห็นว่าไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจเติบโต จะได้ไม่ทำ
    .
    27. การทำงานในองค์กรขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวสูงแบบสตาร์ตอัพจะมีข้อดีในการเรียนรู้ระบบธุรกิจได้มากกว่าองค์กรขนาดใหญ่ เพราะการทำงานแบบทีมเล็ก คุณจะมีโอกาสได้ทำงานทุกอย่างเกือบทุกแผนก
    .
    28. อีกข้อดีของการทำงานในองค์กรขนาดเล็ก คือ จะมีข้อจำกัดเรื่องเงินทุน เวลาจะออกสินค้าหรือบริการแต่ละอย่าง เราจะได้เรียนรู้วิธีการพลิกแพลงค่อนข้างเยอะ ซึ่งสอดคล้องกับคนส่วนใหญ่ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจแต่ไม่มีเงินทุนมากมายนัก
    .
    29. คอนเนกชั่น กับ การทำธุรกิจเป็นสิ่งที่ขาดกันไม่ได้ งานประจำจึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการเริ่มเก็บคอนเนกชั่น
    .
    30. แต่ก็อย่าหลงตัวเองมากเกินไป เพราะถึงแม้คุณจะได้คอนเนกชั่นจากงานประจำมา ก็ใช่ว่าจะเอามาใช้ในธุรกิจได้เสมอไป เพราะตอนทำงานประจำคุณสวมหมวกบริษัทคุยกับเขา แต่พอมาทำธุรกิจคุณกำลังสวมหมวกอีกใบ ดังนั้น แค่คุณรู้จักเขาไม่ถือว่าเป็นคอนเนกชั่น เพราะคอนเนกชั่นที่แท้จริง คือ คุณต้องเป็นที่รู้จัก และ เป็นที่ยอมรับในฝีมือ ของผู้อื่นต่างหาก
    .
    31. การสังสรรค์ คือ สิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์ออฟฟิศมาอย่างช้านาน แต่ถ้าคุณมีเเป้าหมายอยากทำธุรกิจ ก็ควรเลือกที่จะสังสรรค์ให้ดี เพราะถ้าคุณ “สังสรรค์แบบไม่สร้างสรรค์” พูดง่ายๆ คือ สังสรรค์ไปทั่วคุณจะหลุดโฟกัสได้ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากไปฟังเพื่อนร่วมงานบ่นเจ้านาย แต่ถ้าคุณ เลือกที่ ”จะสังสรรค์แบบสร้างสรรค์” คือ ไปร่วมงานทีไรได้อะไรกลับมาทุกที ซึ่งอาจจะเป็นการสังสรรค์กับเพื่อนที่มีทัศนคติที่ดี มีเป้าหมายคล้ายกัน หรือ อาจจะเป็นกับคนในระดับผู้บริหาร คุณจะพบเลยว่าบทสนทนาที่ออกจากปากของแต่ละคนนั่นมีมูลค่ามากๆ
    .
    32. ถ้ามัวแต่คิดว่าตัวเอง “ไม่มีเงินทุน” จะเริ่มต้นธุรกิจ คุณจะมองเห็นแค่วิธีเริ่มต้นธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุน แต่ถ้าเปลี่ยน “วิธีคิด” เป็นมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เริ่มธุรกิจได้โดย “ไม่ต้องใช้เงินทุน” คุณจะมองเห็น “วิธีพลิกแพลง” ในการเริ่มต้นธุรกิจโดยใช้ “ทรัพยากร” ที่คุณมีอยู่แล้ว ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องใช้ “เงินทุน” เลย
    .
    33. ออนไลน์ คือ ทรัพย์สินตัวใหม่ ที่เรียกกันว่าทรัพย์สินดิจิทัล ซึ่งก็เหมือนกับ ที่ดิน หรือ อสังหาฯ ที่สมัยก่อนไม่ได้มีราคาแพงนัก แต่เมื่อมีคนเข้ามาเดินผ่านไปผ่านมา มีคนเข้ามาสร้างที่อยู่อาศัย เข้ามาทำงาน ที่ดิน และ อสังหาฯ ก็เริ่มราคาสูงขึ้น ช่องทางออนไลน์ อย่าง เพจ เว็บไซต์ ก็เช่นกัน ตอนนี้มันอาจจะไม่มีมูลค่ามาก และคุณสามารถเป็นเจ้าของได้ฟรี แต่ถ้าคุณสามารถทำให้คนเข้ามาเดินผ่านมากขึ้น มีผู้ติดตามมากขึ้นได้ มันจะเป็นทรัพย์สินที่จะทำเงิน สร้างคอนเนกชั่น และ ใช้ต่อรองทางธุรกิจให้กับคุณได้ดีเยี่ยมเลยทีเดียว
    .
    34. ถ้าคุณยังมีรายได้ทางเดียว ให้เพิ่มช่องทางรายได้จาก งานเสริม แล้วทุ่มเทกับมันให้เท่ากับ งานประจำ เพราะสักวันมันอาจกลายเป็นงานหลักที่ดีกว่างานเดิม
    .
    35. คนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ชอบความเสี่ยง เพราะงานวิจัยระบุว่า คนที่ทำธุรกิจควบคู่กับประจำ มีโอกาสล้มเหลวน้อยกว่า คนที่ลาออกมาทำเต็มตัวถึง 33% เพราะคนเรา “เมื่อท้องอิ่ม ก็จะเห็นงานอาร์ต” เมื่อเราพอมีเงินเดือนจากงานประจำใช้เลี้ยงชีพอยู่ เราจะทำทุกอย่างด้วยใจ ไม่เร่งรีบออกสินค้าเกินไป ไม่ขายของยัดเยียดให้ลูกค้า ทำให้ทุกอย่างออกมามีคุณภาพ และ ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากกว่า
    .
    36. เวลาจะเริ่มต้นธุรกิจ อย่าเอาเงินไปซื้อของมาก่อน แล้วค่อยหาลูกค้า แต่ให้หาลูกค้าก่อน ลองเอาของมาโพสต์ทดสอบตลาดว่ามีคนซื้อไหม ถ้ามีคนซื้อก็ค่อยจ่ายเงินซื้อสินค้ามาขายทีหลัง ถ้าลูกค้าทักมาแล้วไม่มีของจะขายก็บอกลูกค้าไปก่อนว่าของหมด ถึงแม้เราจะไม่ได้ขาย แต่เราก็รู้แล้วว่าของแบบไหนขายได้ ของแบบไหนที่ลูกค้าชอบบ้าง จะได้เลือกสินค้า และ วางแผนถูกต้อง เพราะการมีคนซื้อแต่ไม่มีของ มันยังดีกว่าการมีของแต่ไม่มีคนซื้อ
    .
    37. อย่ารอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบแล้วถึงจะลงมือทำ แต่จงลงมือทำ ทั้งที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะเมื่อเราเริ่มทำสิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นจะนำพาเราไปพบกับ ผู้คนใหม่ๆ แล้วผู้คนใหม่ๆ ก็จะนำโอกาสใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตเราเอง แต่หากไม่ยอมเริ่มต้นจุดแรกเสียที ก็ไม่มีทางเลยที่จะมองเห็นจุดต่อไป
    .
    38. สิ่งที่เลวร้ายกว่าการเริ่มต้นธุรกิจ แล้วโดน คนอื่นปฏิเสธ คือ การโดนคำปฏิเสธ ในใจของตัวเอง ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำอะไรเลย
    .
    39. การออกมาทำธุรกิจ ไม่ได้มีเวลามากกว่าทำงานประจำ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกัน คือ คนทำธุรกิจสามารถยืดหยุ่นและจัดการเวลาของตัวเองได้ เพื่อที่จะได้ทำงานที่สำคัญ ในช่วงเวลาที่เหมาะสม จึงสามารถใช้เวลาที่มีทุกนาทีได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ
    .
    40. "ความสำเร็จ" ไม่ได้วัดจากจำนวนเงินที่ทำให้เราสามารถกินข้าวกับไข่ปลาคาเวียร์มื้อละหมื่นบนโต๊ะอาหารสุดหรู แต่การได้กินข้าวต้มปลาเค็มบนโต๊ะอาหารกับครอบครัวโดยที่ตัวเราไม่ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินอยู่ในกรุงเทพฯ ต่างหาก คือ ความสำเร็จ
    .
    .
    หนังสือ งานประจำสอนทำธุรกิจ หนังสือที่ถ่ายทอดเทคนิคจากประสบการณ์จริงของเจ้าของเพจสมองไหลที่เริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์ โดยทำเป็นงานเสริมควบคู่กับงานประจำ
    .
    แต่ในขณะเดียวกันก็นำความรู้จากงานประจำมาใช้เสริมสร้างธุรกิจจนเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนรายได้แซงงานประจำ 6 เท่า ก่อนจะตัดสินใจลาออกหลังจากทำงานประจำไปได้เพียง 1 ปี
    .
    ใครอยากจะสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ โดยใช้ต้นทุนจากงานประจำ สามารถนำวิธีของสมองไหลไปใช้ได้ง่ายๆ เพียงสั่งซื้อ หนังสือ งานประจำสอนทำธุรกิจ
    .
    วิธีการสั่งซื้อ
    .
    1.กดลิงก์ https://m.me/139971470015828?ref=sale_8wje9NxA
    .
    2.กด “สั่งซื้อ”
    .
    3.เลือก “จำนวน” และ กด “ยืนยันคำสั่งซื้อ”
    .
    จากนั้น ชำระเงิน ตามเลขบัญชีที่ให้ไว้ใน Inbox
    .
    ราคา 295 บาท (รวมค่าส่งแล้ว)

  • การบริโภค 在 สมองไหล Facebook 的最佳解答

    2021-05-25 21:07:21
    有 7,750 人按讚

    วันก่อนผมพูดถึงเรื่องการ “เก็บเงิน” ว่าถ้าไม่ใช่คนที่ยากจนข้นแค้น ถึงขนาดที่ไม่มีเงินจ่ายแม้กระทั่งค่าอาหารกับที่อยู่อาศัย ทุกคนก็สามารถประหยัดและเก็บออมได้
    .
    พอพูดอย่างนี้ ข้ออ้างที่มักจะเจอก็คือ “รายได้น้อย”
    .
    แต่ถ้าพูดถึงสาเหตุลึกๆ จริงๆ มันเกิดจากรูปแบบการใช้ชีวิตต่างหาก เพราะพอคนเราทำงานแล้วมี “เงิน” ก็เอาเงินไป “สร้างรูปแบบการใช้ชีวิต” ไปเอาเงินในอนาคตมาใช้ จนสุดท้ายรูปแบบการใช้ชีวิตที่เราสร้างขึ้นมาก็ทำให้เรากลายเป็นทาสที่ต้องกลับไปทำงานหาเงินมาแลกไม่จบไม่สิ้น
    .
    เพราะถ้าคนเราไม่ไปสร้างรูปแบบชีวิตที่มันเกินตัว แล้วใช้ชีวิตไม่ให้เกินกว่ารายได้ที่หามา มีเหรอจะไม่มีเงิน “เหลือเก็บ”
    .
    เหลือเก็บในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเหลือเก็บเยอะๆ เอาแค่วันละ 1 บาทก็ถือว่าเก็บได้แล้ว เพราะต่อให้เป็นเงินเล็กเงินน้อยมันก็คือเงินเก็บ อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าสามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้
    .
    พอผมพูดแบบนี้ก็มีคนวิจารณ์ว่า ภาระคนเราไม่เท่ากัน ความจำเป็นไม่เท่ากัน ไหนจะผ่อนรถ ผ่อนบ้าน อีก (แยกให้ออกระหว่างความจำเป็น กับ ความต้องการ) แทนที่จะโลกสวยบอกให้คนอย่าใช้เงินเกินที่หามา ทำไมไม่หาวิธีให้คนหา “รายได้เพิ่ม” ล่ะ
    .
    ซึ่งผมก็ตอบกลับไปว่า “ถ้าติดตามผมจริงๆ ผมทำคอนเทนต์ ประเภทหารายได้เพิ่มเยอะมากๆ นะ ลองไปศึกษาเพิ่มเติมได้”
    .
    พอเห็นอย่างนี้ผมก็โดนสวนขึ้นมาทันทีว่า “เป็นคนที่ทำคอนเทนต์ย้อนแย้ง”
    .
    คือ ใครจะว่าย้อนแย้งมันก็สิทธิ์ของเขา แต่สำหรับผมมันคือเรื่องนี้สอดคล้องกัน เพราะถ้าคุณหาเงินได้มากขึ้น แต่ควบคุมรายจ่ายไม่ได้มันจะมีประโยชน์อะไร ซึ่งส่วนใหญ่คนที่หาเงินได้เยอะๆ นั่นแหละ คือ คนที่ “เพิ่มรายจ่าย” ได้เก่งที่สุด เพราะสามารถกู้ขอสินเชื่อต่างๆ ง่ายกว่าคนอื่นๆ แล้วพอรายได้ที่หามาหายไป ด้วยวิกฤตก็ดี หรือ อายุที่มากขึ้นก็ดี แต่รายจ่ายเท่าเดิม สุดท้ายก็ไม่พ้นปัญหาทางการเงิน
    .
    ดังนั้น ผมบอกเลยว่า “ต่อให้หาเงินเก่ง แต่บริหารไม่เป็น ก็ไม่มีประโยชน์”
    .
    ที่สำคัญ ถ้าวันนี้คุณยังจัดการเงินที่มีอยู่ไม่ได้ มีปัญหาสภาพคล่อง เงินไม่พอจ่าย คุณจะเอาพลังสมองที่ไหนไปคิดวิธีการหารายได้เพิ่ม
    .
    และเมื่อเราบริหารเงินไม่ได้ เราก็อยากจะหารายได้เร็วๆ แล้วคนที่อยู่ในภาวะร้อนเงิน อยากได้เงินเร็วๆ ผมบอกเลยว่าคนเหล่านี้จะไม่มีทางได้เงินเร็วๆ เพราะเขาจะใจร้อนจนไม่สามารถติดสินถูกผิดได้ สุดท้ายก็จะโดนหลอกเอาง่ายๆ
    .
    ฉะนั้น หากคุณอยากเป็นคนที่สามารถเพิ่มรายได้และทรัพย์สินได้อย่างยั่งยืน คุณจะเก่งแต่ “หาเงิน” อย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย โดย จิม คิม ได้อธิบาย 4 องค์ประกอบสำคัญในการบริหารจัดการเงิน เอาไว้ในหนังสือ จงคบค้ากับความร่ำรวย ซึ่งประกอบด้วย
    .
    1) ความสามารถในการหาเงิน
    .
    แน่นอนสิ่งแรกที่คุณต้องมีคือ ต้องสามารถหาเงินได้ เพราะถ้าหาเงินไม่ได้ก็คงไม่มีทางที่เงินในกระเป๋าจะเพิ่มขึ้น
    .
    ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นในสังคม ส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานหรือทำธุรกิจได้เก่งมาก มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลกว่าคนทั่วไป ขายเก่ง มองโลกในแง่ดี ไม่ล้มเลิกอะไรง่ายๆ
    .
    ใครมีความสามารถในการหาเงินนับเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าหากขาดความสามารถในมิติอื่น ก็อาจจะกลายเป็นหนี้และถูกหลอกลวงได้ เพราะถนัดแต่หาเงิน แต่จัดการเงินไม่เป็น แต่ละวันมีเงินไหลออกกระเป๋าไปเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยจะรู้ เผลอๆ ถูกลูกน้องหลอกเอาเงินโดยไม่รู้ตัวก็มี
    .
    สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะคนกลุ่มนี้มักคิดเอาเองว่า “ขอแค่หาเงินได้เท่ากับที่จ่ายไปก็คงพอแล้ว” จนเพิกเฉยต่อรายละเอียดต่างๆ ไม่ชอบอ่านและทำความเข้าใจกับงบการเงิน ไม่ศึกษาการลงทุน ซึ่งเป็นความเชื่อที่อันตรายมาก เพราะอย่าลืมว่าคนเราไม่สามารถทำงานหาเงินได้เต็มประสิทธิภาพตลอดชีวิต คุณต้องแก่ลงในอนาคต และมีโอกาสที่จะหารายได้น้อยลงด้วย อย่าคิดว่ายิ่งแก่ยิ่งหาเงินได้เยอะนะครับ
    .
    ถ้าใครหาเงินเก่งอย่างเดียว แต่บริหารไม่เป็น บอกเลยว่าไม่มีประโยชน์ เพราะต่อให้หาเงินได้มากแค่ไหน ก็รักษามันเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี
    .
    2) ความสามารถในการเก็บเงิน
    .
    เป็นความสามารถที่แตกต่างจากการหาเงิน ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปนิสัยโดยตรง ผมจึงบอกเสมอว่า การออม ไม่ใช่เรื่องของ “จำนวนเงิน” แต่เป็นเรื่องของการ “สร้างนิสัย” ต่างหาก
    .
    คนที่หาเงินได้เยอะ แต่เก็บเงินไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเหนื่อยไปตักน้ำจากลำคลอง มาเทใส่โอ่งที่ก้นรั่ว พูดง่ายๆ ก็ คือ “เหนื่อยฟรี” นั่นเอง
    .
    หากคุณหาเงินเก่ง และ เก็บเงินได้ คุณจะรู้สึกว่าควบคุมชีวิตตัวเองได้ เมื่อรู้สึกว่าควบคุมชีวิต
    ตัวเองได้ ก็จะมีความ “มั่นใจ” มากขึ้น แล้วพอคนเรามีความมั่นใจ “วิสัยทัศน์” ก็จะกว้างไกลขึ้น คิดถึงอนาคตมากขึ้น ส่งผลให้คนเรามี “พลังสมอง” ไปเรียนรู้เพื่อ “สร้างรายได้” เพิ่มต่อไปได้
    .
    สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อสร้างนิสัยทางการเงินที่ดีก็คือ ปรับสมดุลตัวเอง ให้มีทักษะในการจัดการค่าใช้จ่ายทุกระเบียบนิ้ว จัดการทุกอย่างให้เป็นระบบ ส่วนตัวผมจะใช้แอพพลิเคชั่นบันทึกรายรับ-รายวัน และ ทำงบการเงินรายเดือน เพื่อตรวจสอบว่าเงินไหลเข้าไหลออกอย่างไรบ้าง รวมไปถึงการหมั่นศึกษาอัตราดอกเบี้ย การลงทุน และ ภาษี ด้วย
    .
    ซึ่งทักษะในการเก็บเงินนั้น ไม่ได้หมายความเพียงแค่ตัว “เงิน” เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ด้วย อะไรที่ซื้อมาก็จัดเก็บให้ดี วางให้เป็นระเบียบ เพราะสิ่งเหล่านี้คุณใช้เงินแลกมา การที่คุณทิ้งขว้างวางของไม่เป็นที่จนหาไม่เจอ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทิ้งขว้างเงินของตัวเอง
    .
    ฉะนั้น หากคุณไม่ได้วางเงินไว้อย่างสะเปะสะปะฉันใด คุณก็ไม่ควรวางข้าวของเครื่องใช้สะเปะสะปะฉันนั้น เพราะทุกอย่างล้วนใช้เงินแลกมาทั้งสิ้น
    .
    3) ความสามารถในการรักษาเงิน
    .
    เก็บเงิน กับ รักษาเงิน อาจจะดูเหมือนกัน แต่เป็นคนละเรื่องกันนะครับ การเก็บเงินก็เหมือนการตักน้ำมาใส่โอ่ง (โดยไม่เอาออกมาใช้โดยไม่จำเป็น) แต่อย่าลืมว่าถ้าน้ำมันอยู่ในโอ่งเฉยๆ วันหนึ่งมันก็ระเหยออกไปอยู่ดี ก็ไม่ต่างอะไรกับการเก็บเงินในบัญชี แล้วให้เวลาผ่านไปเฉยๆ จนเงินเฟ้อกัดกินให้ด้อยค่าลง
    .
    การ “รักษาเงิน” จึงเป็นเรื่องยากกว่าการ “หาเงิน” และ “เก็บเงิน” เพราะมันไม่ได้ใช้แค่ความขยันและวินัยอย่างเดียว แต่ต้องใช้ความรู้ในการลงทุน ซึ่งมันถือเป็นศาสตร์ จึงต้องอาศัยการศึกษาอย่างละเอียด ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าการลงทุนเป็นเรื่องยาก แต่บอกเลยว่า การไม่ทำอะไรเลย คือ การลงทุนที่เลวร้ายที่สุด
    .
    ยิ่งไปกว่านั้น พอคุณเริ่มมีเงินมากขึ้น ทุกคนจะปฏิบัติต่อคุณเหมือนคนรวย เมื่อคุณเริ่มมีชื่อเสียง คุณก็จะมีความหรูหราฟุ้งเฟ้อรออยู่ เราจะเริ่มแสวงหาบ้าน รถ อาหารหรู เพื่อน และ สินค้าแบรนด์เนม เรียกได้ว่าแค่ก้าวออกจากบ้านก็เสี่ยงจะเสียเงินแล้ว เพราะต้องหน้าใหญ่ไว้ก่อน แน่นอนบางครั้งเราอาจจะไม่อยากจ่ายเงิน แต่ความหน้าใหญ่คือสิ่งที่พรัดพรากเงินไปจากเรา ฉะนั้น จงระวังให้ดี
    .
    4) ความสามารถในการใช้เงิน
    .
    ใช้เงินเก่งไม่ได้หมายความว่าจะใช้เงินเยอะ เพราะความสามารถในการใช้เงินก็เหมือนความเก๋าเกม รู้ว่าควรใช้จ่ายเงินไปกับอะไร ผมพูดเสมอว่าการใช้เงินมี 2 แบบ คือ การบริโภคที่ใช้แล้วหมดไป กับ การลงทุนที่จ่ายแล้วได้ผลตอบแทนกลับมา ฉะนั้น ก่อนจะควักเงินออกจากกระเป๋า ให้คิดก่อนเสมอ ว่ามันคือ การบริโภค หรือ การลงทุน
    .
    นอกจากการใช้จ่ายแล้ว ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็ต้องจ่ายให้ตรงกำหนด เพราะมันคือ เครดิต ความน่าเชื่อถือ และ การให้เกียรติผู้อื่น แม้กระทั่งเงินที่จะต้องส่งให้พ่อแม่ก็ควรกำหนดวันให้ชัดเจน
    .
    อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากๆ คือ การเคารพในเงินของผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่น ในชีวิตเราจะมีเพื่อนอยู่ 2 ประเภท คือ คนที่ชอบขอลดราคาเวลาซื้อของจากร้านเพื่อน กับ คนที่รู้สึกว่ายิ่งเป็นเพื่อน ยิ่งต้องจ่ายเต็ม ต่อให้เพื่อนลดให้ก็ไม่เอา เพราะคิดว่าเป็นการสนับสนุนกัน
    .
    การอ้างสิทธิ์ความเป็นเพื่อนเพื่อขอลดราคา ไม่ใช่คนที่ใช้เงินเก่ง แต่คือคนที่ไม่รู้จักเคารพเงินของคนอื่นต่างหาก เพราะการที่เราขอลดราคา เท่ากับว่าเพื่อนจะได้เงินน้อยลง มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราไปเอาเงินเขามา ฉะนั้น ใครที่เป็นแบบนี้ บอกเลยว่า อย่าหาทำ แล้วให้เลิกซะ
    .
    เพราะการที่คุณทำแบบนี้ คนที่เสียหายที่สุดก็คือตัวคุณเอง เพราะถ้าคุณไม่เคารพเงินของคนอื่น คนอื่นก็จะไม่เคารพเงินของคุณ ถ้าวันไหนคุณทำธุรกิจ ก็คงไม่มีเพื่อนคนไหนอยากจะมาสนับสนุนหรอก เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของความเก่ง ความขยัน วินัย หรือ ความรู้ แต่เป็นเรื่องของ “สามัญสำนึก”
    .
    ทั้ง 4 นี้ ทุกคนต้องพยายามเรียนรู้และเข้าใจว่า ความสามารถแต่ละชนิดนั้นต่างกัน หากพลาดข้อใดข้อหนึ่งไป ถึงแม้จะมีเงินมากมาย ก็ไม่อาจจะรักษามันให้อยู่กับเราอย่างยืนยาวได้ และ บอกเลยว่า การหาเงินได้มาก แต่เสียไปหมด มันทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าหาเงินได้น้อย แต่เหลือเก็บเสียอีก
    .
    ดังนั้น ผมขอให้ทุกคนเรียนรู้และฝึกฝนทั้ง 4 ข้อนี้ และขอให้คุณเป็นคนที่หาเงินได้มากๆ เก็บสะสมได้เยอะๆ รักษาไว้ได้ดี และ ใช้เงินเป็น นะครับ
    .
    .
    หากคุณเป็นคนหนึ่งที่…
    - บริหารเงินไม่เป็น จนไม่มีเงินเก็บ
    - โดนคนอื่นเอาเปรียบเรื่องเงินเป็นประจำ
    - อยากลงทุน แต่ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นอย่างไร
    .
    หนังสือเล่มนี้ มีคำตอบ “จงคบค้ากับความร่ำรวย”
    .
    ราคา 325 บาท รวมส่ง
    .
    วิธีสั่งซื้อ
    ,
    1.กดลิงก์ https://m.me/432860907260347?ref=sale_PB4jwZmq
    .
    2.กด “สั่งซื้อ”
    .
    3.เลือกจำนวน และ กด “ยืนยันคำสั่งซื้อ”

  • การบริโภค 在 คุยการเงินกับที Facebook 的最讚貼文

    2021-04-30 08:00:01
    有 109 人按讚

    การลงทุนหุ้นเด้งที่ยังเป็นโอกาสในไทยยังมีอยู่เสมอสำหรับผู้ที่มองหา

    สำหรับนักลงทุนทุกท่านคงจะได้เห็นกันในหลายๆ เพจ หรือ หลายๆอาจารย์ที่บอกหุ้นไทยหมดอนาคต หรือ ไม่มีหวังเเล้ว เเต่ ผมก็ยังเห็นนักลงทุนเก่งๆหลายท่านที่ยังทำให้พอร์ทเติบโตได้ ในช่วง 3-4 ปีมานี้ เเละ โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา ก็มีหุ้น กลุ่มสินเชื่อ หุ้นเรือ เเละ อีกหลายๆกลุ่มในไทย ที่มีคนทำผลตอบเเทนได้ 500-1000% เลยทีเดียว

    ซึ่งผมคงจะสรุปได้ว่า โอกาสในไทยยังมีอยู่ เพียงเเต่คุณต้องมองหามันเท่านั้น

    ผมได้ไปศึกษาเเละรวบรวมมา พบว่า หุ้นกลุ่มที่มีโอกาสจะเติบโตในไทยได้จะอยู่ในกลุ่มเหล่านี้

    •การบริโภค

    อย่างที่หลายๆคนรู้ ประเทศไทยไม่มีหุ้นที่เติบโตเร็วมหาศาลเเบบพวก startup เเต่ไทยก็ยังมีการบริโภคภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น การกิน ท่องเที่ยว ห้าง หรือ สินเชื่อ ที่เเน่นอนว่ายังมีตัวที่จะเติบโตหลังจากนี้ได้อย่างเเน่นอน เเละยังมี กลุ่มนักท่องเที่ยวที่จะกลับมาหลังโควิด 19 ว่าจะไปขับเคลื่อนหุ้นอีกหลายsector

    •โรงพยาบาล

    กลุ่มนี้นับว่าตลาดรับรู้ไปเรียบร้อยเเล้ว ทำให้มีการเทรดใน PE สูงๆระดับ 30-40 เท่ามาตลอด ทำให้ผลตอบเเทนอาจจะยังไม่โดดเด่น เเละ อาศัยการลงทุนเยอะ ต่อการเติบโต ดังนั้นควรหาจังหวะการลงทุนที่ดี คือ PE ไม่สูงมาก เเละ กำลังจะ breakeven

    •กลุ่มturnaround

    เป็นหุ้นกลุ่มที่ยากที่สุด เพราะ เเม้เเต่บัฟเฟต์ ก็เคยบอกว่า หุ้น turnaround ส่วนใหญ่มักจะturnไม่ไหว ซึ่งถ้าคุณเจอ หุ้นที่จากขาดทุน เเละทำrebussiness model เเละมองออกถีงการเติบโต ย่อมสร้างผลตอบเเทนเป็นกอบเป็นกำได้อย่างเเน่นอน

    •หุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์

    หุ้นจำพวกนี้จะมีรอบของมัน อย่างล่าสุดหุ้นกลุ่มเรือ ที่มาถึงรอบของมันก็ทำให้ค่าระวางพีคสุดในรอบหลายปี จนกำไรหลายบริษัทเติบโตกันมหาศาล ทำให้ตัวหุ้นเองก็วิ่งไปอย่างมากมาย
    ซึ่งผมบอกเลยว่า หุ้นเเบบนี้ก็จะวนมาเคาะประตูหน้าบ้านให้เราเรื่อยๆ เพียงเเต่เราต้องประเมินมันให้ออกเท่านั้นเอง

    เเม้ทางเราจะเริ่มมาสนใจเกี่ยวกับการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น เเละ มองว่าจะเป็นเส้นทางที่ต้องไป เเต่ เราก็มองว่าการลงทุนในประเทศยังไม่หมดหนทางเเน่นอน เพียงเเต่ต้องอาศัยความพยายาม เเละ ความไม่ย่อท้อ พวกเราก็จะประสบความสำเร็จกันได้เเน่นอน
    ........................................

    ติดตามข้อมูล เศรษฐกิจ การลงทุนในต่างประเทศ ในไทย ได้ที่คุยการเงินกับที

    ........................................
    Trin T